วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สรงสนานภายใต้สายวารี แห่งสรวงสวรรค์


เมื่อความหรูหราใน อดีต ได้กลายมาเป็น "สิ่งจำเป็น" ของเราทุกเช้า การได้สัมผ้สความสดชื่นใต้ "ฝักบัว" นั้น ราวกับได้รับน้ำที่หล่นมาจากสรวงสวรรค์

"สายฝน" และ "น้ำตก" เคยสร้างความ เย็นชุ่มฉ่ำให้กับหัวใจอย่างไร หลักการของฝักบัว ก็อาศัยแนวความคิดเย็นฉ่ำนั้นมาสร้างความฉ่ำใจได้ในบ้านเช่นนั้น ฝักบัว เป็นวิวัฒนาการของวัฒนธรรมการอาบน้ำ เริ่ต้นตั้งแต่มนุษย์เราจำความได้เลยทีเดียว อาณาจักรโรมันนั้น ขึ้นชื่อเรื่องการอาบน้ำมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแช่ลงไปในน้ำเฉยๆ การอบไอน้ำ การนวดน้ำมัน การขัดถู ซึ่งเป็นการอาบน้ำหลายรูปแบบนั้น เน้นไปที่ชำระล้างร่างกาย ความสวยงาม การรักษาโรค

ชาวอียิปโบราณ อาศัยน้ำมันหอมในการอาบน้ำ มิใช่เพื่อทำให้ร่างกายสะอาดหมดจดเท่านั้น หากทว่ายังช่วยในเรื่องของการทำจิตใจให้สดชื่นขึ้นด้วย ชาวกรีกเมื่อกาลก่อนนั้น มักจะตระเตรียมน้ำอุ่นๆ เจือกลิ่นหอมไว้เป็นของกำลัลพิเศษไว้ให้ผู้มาเยือน ซึ่งพวกเขาเห็นว่า สิ่งนี้สำคัญพอๆกับการให้แขกได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญ เนื่องเพราะพวกเขาเชื่อว่า การอาบน้ำคือการได้ใกล้ชิดกับเทพเจ้า

แต่เริ่มแรกนั้น การอาบน้ำ เริ่มต้นในอ่างอาบน้ำในธรรมชาติ โดยวัตถุประสงค์ มิได้อยู่ที่การชำระล้างร่างกาย หากแต่เป็นการรชำระให้ร่างกายและใจบริสุทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอิงเรื่องทางศาสนามากกว่าความต้องการของเรือนร่าง ก่อนจะย้ายมาสดชื่นในอ่างอาบน้ำ ที่สร้างขึ้นเมื่อสมัยโรมัน

ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้สัมผัสกับความสด ชื่นภายใต้น้ำตก นอกจากนี้ ยังได้รู้สึกได้ว่า การรชำระร่างกายได้สะอาดเอี่ยมอ่องกว่านอนแช่ในอ่าง การยืนอาบน้ำ จึงกลายเป็นไอเดียใหม่ที่นำมาพัฒนาให้สนองกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด

ความหรูหราในอดีต - ความจำเป็นในยามเช้าวันนี้

ต้องขอแสดงความยินดีกับมนุษย์ยุคใหม่ ทุกๆ คน ที่ได้สัมผัสกับฝักบัว ราวกับน้ำจากสรวงสวรรค์ เนื่องเพราะเมื่อกลาครั้นั้นในอดีต ทั้งอ่างอาบน้ำและฝักบัว เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหรูหราฟุ่มเฟือย คนมีฐานะร่ำรวยมหาศาลเท่านั้นจึงจะมีสิทธิครอบครอง "ฝักบัว" ในบ้านอันยิ่งใหญ่แบบคฤหาสน์ของตัวเอง

ในยุคเก่า บรรดาเศรษฐีมั่งมีทั้งหลาย อาศัยคนรับใช้ยืนบนเก้าอี้ คอยรดน้ำเย็นใส่ตัวเขา ซึ่งฟังดูแล้วช่งห่างไกลความชื่นเย็นและความสะดวกสะบายในยุคใหม่เสียจริงๆ ที่แต่ละผู้ผลิตได้พัฒนาฝักบัวออกมามากมายหลายรูปแบบ ทั้งยังมีน้ำร้อน-เย็น ให้เลือกในตัว ยิ่งไปกว่านั้น ฝักบัว ยังพัฒนาไปถึงสายน้ำเพื่อการบำบัดกันแล้ว

จากหลักฐานในอดีต พบสิ่งที่คาดว่าจะเป็น ห้องอาบน้ำ แบบฝักบัว อยู่มากมาย แม้จะยังไม่อาจชี้ชัดลงไปว่า อารยธรรมใดกันแน่ที่ให้กำเนินการอาบน้ำแบบสุขสันต์ โดยอาศัยเทน้ำจากที่สูงเช่นนี้ ในการขุดค้นทางประวัติศาสตร์ บริเวณที่เคยเป็นเมืองอักห์เคนเท็น เมืองเก่าแก่ของอียิปต์ ที่ เทล-เอล- อะมาร์นา ซึ่งมีอายุเก่าแก่ย้อนหลังไปถึง 1,350 ปีก่อนคริสตกาล นักโบราณคดีพบห้องเล็กๆ ในบริเวณที่เชื่อว่าเป็นห้องสำหรับการชำระร่างกายของฟาโรห์ โดยต่างสรุปกันว่า สิ่งที่เขาพบนี้คือ ตู้อาบน้ำ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับห้องน้ำในปัจจุบัย ที่เรียกว่า Shower

สำหรับหลักฐานก่าแก่ที่สุดที่พบอีกแห่ง ย้อนไปถึงยุคบาบิโลน ซึ่งวัฒนธรรมในการอาบน้ำใน "ห้องอาบน้ำ" นั้นล้ำยุคมาก ขณะท่คนทั่วไปใช้แหล่งน้ำธรรมชาติในการชำระร่างกาย แต่กษัตริย์เนบูคันด์เนชชาร์ (605-560 ปีก่อนคริสต์กาล) มีห้องอาบน้ำแบบ Shower ซึ่งอาศัยทาสคอยบัคับน้ำที่จะรินรดพระองค์ให้สรงกายาด้วยสบู่ที่ทำจากผงขึ้ เถ้าและไขมันสัตว์ ระบบชลประทานและการสูบปั๊มน้ำพัฒนาสูงมาก กษัตริย์บาร์บิโลเนียนพระองค์นี้ ไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเรื่องน้ำจะขาดสายเลย หลังจากนั้น ระบบการปั๊มน้ำก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จเท่าชาวบาบิโลเนียน จนกระทั่งศตวรรษที่ 19

ในสมัยโบราณ ประชาชนชาวกรีกออกมายืนอาบน้ำแบบ Shower ใต้สายน้ำจากน้ำพุกลางเมือง ภาพเช่านี้เห็นได้จากงานจิตรกรรมที่ศิลปินชาวกรีกบรรจงถ่ายทอดไว้บนแจกัน

โชคไม่ดีที่วัฒนธรรมแห่งการอาบน้ำฝัก บัวของชาวตะวันตก ต้องหยุดชะงักลง เมื่อพวกไม่รู้สึกว่า การอาบน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตปรัจำวันเช่นผู้คนในยุคเก่ก่อน เล่าขานกันว่า พระราชินีอิซาเบลลา แห่งสเปน ผู้สนับสนุนหลักของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นั้น ทรงสรงน้ำเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ตลอดชีวิตของพระองค์ ในช่วงต้นๆ คริสต์กาลนั้น ชาวคริสต์หลีกเลี่ยงการอาบน้ำ เนื่องเพระพวกเขามองว่าการอาบน้ำเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ และเขาไม่ต้องการกระทำมันอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป แต่สงวนไว้เฉพาะวาระสำคัญจริงๆ เท่านั้น เซนต์ฟรานซิส แหล่งอัสชีชี แถลงว่า ความสกปรก คือเครื่องหมายที่แสดงถึงการเป็นคนผู้ศักดิ์สิทธิ์ เซนต์แคเธอรีน แห่งเซียนา ก็หลีกเลี่ยงการอาบน้ำ และเซ็นต์แอกเนส ผู้ลาโลกไปตั้งแต่อายุ 13 นั้น เกิดมาไม่เคยอาบน้ำสักครั้งในชีวิต

หลังยุคมืด ในปี ค.ศ.1598 ห้องอาบน้ำได้รับการออกแบบไปในพระราชวังวินเซอร์ ที่กรุงลอนดอนด้วย เนื่องจากเป็นกฎมนเฑียรบาล ว่า พระราชินีอลิซาเบธ ที่ 1 จะต้องสรงน้ำเดือนละครั้ง ไม่ว่าพระองค์จะทรงพอพระทัยหรือไม่ก็ตาม

ใน ปี 1812 การอาบน้ำ ยังคงเป็นเรื่องเล่นๆ มิใช่สิ่งที่จำเป็นของชีวิต ท่านนายกเทศมาตรีของลอนดอน สั่งให้สร่ง "ตู้อาบน้ำ" ไว้ในแมนชั้นของตัวเอง เขาถูกสกัดดาวรุ่งของสภาเทศบาล เนื่องจากไม่มีใครเห็นความจำเป็นของการอาบน้ำ พวกเขาต้องใช้เวลาอีกกว่า 20 ปี แมนชั่นของนายกเทศมนตรีจึงมีห้องน้ำติดตั้งอยู่ภายใน

แจ้งเกิด "ฝักบัว" แท้ ในยุโรป

"ฝักบัว" เริ่มต้นกันจริงๆ ในรูปแบบที่ไม่ต้องมีข้ารับใช้มาคอยรินรดน้ำ เมื่อราวๆ ปลายทศวรรษที่ 18 ฝักบัว ชิ้นแรกของโลก มี วิลเลี่ยม ฟีตแฮม ชาวอังกฤษ เป็นจ้าของ ในปี 1767

เจ้าฝักบัวตัวแรกที่อาศัยแรงคนช่วยปั๊ม น้ำนี้ เป็นที่นิยมกันแพร่หลายหลังจากนั้น เนื่องจากมันต้องการเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะผ่านหัวฝักบัว ออกมาเป็นน้ำอันฉ่ำใจราวได้อาบสายฝนที่หล่นมาจากสรวงสวรรค์ นอกจากนี้ ยังสามารถที่จะติดตั้งในตู้อาบน้ำ ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับฝักบัว หรือจะนำไปติดตั้ง ณ บริเวณที่เคยเป็นอ่างอาบน้ำมาก่อนก็ได้ เนื่องจากมีขนาดเล็ก ต้องการเนื้อที่เพียงน้อยนิด และก็ยังง่ายต่อการติดตั้งแถมราคาถูกอีกต่างหาก นอกจากเป็นที่ติดใจของเจ้าของบ้านแล้ว ยังเป็นที่ถูกอกถูกใจคนรับใช้ ที่ตั้งแต่นั้นมา บริเวณที่เช็ดถูทำความสะอาดห้องน้ำ ก็แคบลง

ไม่นานนัก การผลิตฝักบัวก็กลายเป็นอุตสาหกรรม โดยบริษัทอิงลิช ชาวเวอร์ รีเจนซี่ เป็นรายแรกที่ผลิต ฝักบัว แบบมีดีไซน์ ออกมา ลักษณะคือ เป็ฝักบัว ที่มีความสูง 12 ฟุต หรูหราด้วยสีโครเมี่ยม ลวดลายไม้ไผ่ ในปี 1930 บริษัทอเมริกัน เวอร์จิเนีย สตูล ชาวเวอร์ ออกผลิตภัณฑ์ห้องอาบน้ำ ฝักบัว แบบมีที่นั่งอาบ โดยการผสมฃสานระหว่างอ่างอาบน้ำกับฝักบัว โดยอาศัยหลักการปั๊มน้ำขึ้นไปพักบนแท้งค์น้ำเล็กๆ ข้างบนเช่นเคย ที่นั่งอาบน้ำฝักบัวนี้แสนสบาย เนื่องจากมีพนักพิงและเบาะรองศีรษะนุ่มนิ่ม และยังมีส่วนของแปรงขัดผิวติดมากับบริเวณท่อตั้งฝักบัว อีกด้วย

ฝักบัวยังพัฒนาการมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลากวิธีการปล่อยสายน้ำออกมาจากหัวฝักบัว หรือว่าจะเป็นความพยายามที่จะทำให้น้ำที่สูบขึ้นไปเก็บไว้บนแท้งค์พักน้ำ เป็นน้ำอุ่น และยังมีการพัฒนาระบบปั๊มน้ำที่ทำให้ระบบการอาบน้ำฝักบัวมีอิสระยิ่งขึ้น จะว่าไปแล้ว การอาบน้ำฝักบัวในศตวรรษที่ 19 จนมาถึงยุคสมัยนี้ โดยหลักการแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน นอกจากเรื่องของการดีไซน์แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนก็เห็นจะเปลี่ยนจากระบบใช้มือ มาเป็นระบบอัตโนมัติ เท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น