วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

" ความรัก "

ความรัก เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับ การชอบ, การผูกพันทางจิตใจกับบางสิ่งบางอย่าง คำว่ารักมีความหมายในหลายแง่มุมซึ่งทั้งลึกซึ้งและกว้างขวาง ต่างคนต่างมีความรักต่อผู้อื่นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงยากต่อการอธิบายและให้คำนิยามคำว่ารักแบบเฉพาะเจาะจง รักเป็นความสัมพันธ์ซึ่งไม่ได้อยู่ลอยๆ หากมีรักก็จะต้องมีผู้ซึ่งเป็นฝ่ายรักและอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกรัก ความรักเป็นนามธรรมจึงไม่อาจมองเห็น, ไม่อาจจับต้อง ไม่อาจวัดปริมาณได้. โดยทั่วไปแล้ว ความเสียหายหรือการจากไปของสิ่งรักจะนำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ผู้รัก เนื่องจากผู้รักได้ให้คุณค่าแก่สิ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความโศกเศร้าจะมากหรือน้อยขึ้นกับคุณค่าที่ผู้รักกำหนดให้กับสิ่งที่ตนรักนั้น ความรักไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงมนุษย์ สัตว์ต่างๆ ก็แสดงปรากฏการณ์ทางความรักให้เห็น เช่น การปกป้องลูก
นักปราชญ์ทั่วโลกพยายามหาความหมายที่แน่นอน หรือหานิยามของคำว่าความรัก แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปได้ว่าความรักนั้นมีนิยามเช่นไร
เทวดาที่เกี่ยวข้องกับความรัก คือ กามเทพของศาสนาฮินดู และคิวปิดในตำนานความเชื่อของกรีก
สัญลักษณ์ที่หมายถึงความรัก คือ รูปหัวใจสีแดง, การชูมือออกมา แล้วกางเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อย ซึ่งหมายถึง ฉันรักเธอ (I Love You) นอกจากนี้บางทีดอกกุหลาบก็หมายถึงความรักด้วย
วันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งมักจะมีการแสดงความรักโดยการให้ของขวัญหรือให้ดอกกุหลาบ โดยถือว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้แห่งความรัก


รูปแบบของความรัก
ความรักต่อบุคคล:
ความรักต่อทายาท - รักที่พ่อแม่มีให้กับลูกผู้ซึ่งตนให้กำเนิด
ความรักต่อบุพการี - รักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความรักต่อญาติพี่น้อง - รักที่มีระหว่างญาติพี่น้อง
ความรักต่อเพศตรงข้าม - รักที่อาจมีอารมณ์ และ/หรือ ความรู้สึกทางเพศมาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ได้
ความรักต่อเพื่อน - รักที่มีระหว่างผองเพื่อน
ความรักต่อสถาบัน - รักที่ผู้รักมีต่อสถาบันที่ตนมีส่วนผูกพัน เช่น รักชาติบ้านเมือง, รักศาสนา, รักพระมหากษัตริย์, รักโรงเรียน, รักภาษาไทย ฯลฯ
ความรักต่อสิ่งต่างๆ - รักที่ผู้รักมีต่อสิ่งซึ่งตนเป็นเจ้าของหรือมีส่วนผูกพัน เช่น รักรถยนต์, รักหนังสือ, รักรถไฟ, รักเพลงคลาสสิก, รักฟุตบอล ฯลฯ
ความรักต่อตนเอง - รักที่ผู้รักมีต่อตนเอง
จากการแบ่งนี้ช่วยให้เราเห็นความแตกต่าง เช่น ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่นั้นแตกต่างจากความรักที่เรามีต่อแฟน. ความรักต่อพ่อแม่ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ความรักจึงยากต่อการวัดหรือการเปรียบเทียบ

ความรักในมุมมองของศาสนา
ศาสนาพุทธ

ความรักคือความทุกข์ รักน้อยทุกข์น้อย รักมากทุกข์มาก ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ที่ใดมีรักที่นั้นมีชีวิต
หากแต่คำกล่าวนี้ แท้จริงไม่ได้สื่อความว่าไม่ให้คนเรารักกัน แต่ความรักที่ให้แก่กันจะต้องเป็นความรักที่มอบให้อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีเมตตา
ไม่คิดยึดติดในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียงหรือความรู้สึกต่อความรักนั้นๆ การแผ่เมตตาก็ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่ง
ศาสนาพุทธแบ่งความรัก (ปิยัง) เป็น 4 อย่าง คือ
ราคะ ความรักที่เกิดจากความต้องการทางเพศ
สิเนหา ความรักที่เกิดจากสัญชาติญาณ
เปมัง ความรักที่เกิดจากความผูกพัน ช่วยเหลือกันมา
เมตตา ความรักที่เกิดจากการฝึกให้คุณธรรมเกิดมีขึ้นใจจิตใจ
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ถือว่าความรักคือสิ่งสูงสุด คือทุกสิ่ง คือพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้า พระเจ้าคือความรัก ความรักของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความรักย่อมอดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัวไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียวไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในการประพฤติผิดแต่ชื่นชมยินดีในความประพฤติชอบความรักให้ทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสิ้นสุด
เปรียบเสมือนความรักที่พระเยซูมีต่อเรา โดยลงมาตายบนไม้กางเขน ที่หาค่าไม่ได้ และไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ปรารถนาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับคืนดีกับเราอีก
นอกจากนี้ ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่มีรักใดจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน''
และ
เหตุฉะนั้นจึงตั้งอยู่ 3 สิ่ง ความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
นอกจากนั้นพระคัมภีร์ยังเตือนว่าการมีทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ดี แต่ถ้าหากปราศจากความรักแล้วจะมีคุณค่าก็หามิได้เลย
แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไป เผาไฟ(สำเนาโบราณบางฉบับว่า เอาตัวไปเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้) แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า ...
ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป...
พระองค์เอง ยังทรงย้ำอีกว่า คนที่เป็นสาวกของพระองค์ต้องมีความรัก หากไม่มีความรัก ไม่ใช่สาวกของพระองค์
เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา
ความรักในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ใช่การตามใจ แต่คือ การเตือนสติกันด้วยความรักด้วย เพื่อมุ่งปรารถนาให้คนๆนั้นกลับตัวกลับใจเสียใหม่ในเรื่องที่ทำผิด
เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจเสียใหม่
นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"วันไหว้ครู"

ประโยชน์ของการไหว้ครู
หากการแสดงคุณธรรมด้วยการไหว้ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ประเพณีน่าจะเลิกกันเสียที แต่ที่ต้องไหว้กันอยู่ประจำทุกปี ทุกโรงเรียน แสดงว่าต้องมีประโยชน์ ประโยชน์ของการไหว้ คือ
1. ผู้ไหว้ได้รับความเมตตาจากผู้ถูกไหว้
2. ผู้ไหว้ได้รับความสบายใจ
3. ช่วยให้ผู้ถูกไหว้หันมาสำรวจตรวจตราพัฒนาตนเอง
4. ได้รักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยไว้
5. บรรเทาโทษเสียได้
โบราณท่านกล่าวว่า "ศรต้องมีพิษ ศิษย์ต้องมีครู ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ศิษย์ไม่มีครู เหมือนงูไม่มีพิษ" ไม่น่ากลัวอะไร ไม่ต่างอะไรกับปลาไหล รอเวลาให้เขาผัดเผ็ดเท่านั้น "ศิษย์ดีต้องมีคุณธรรม ศิษย์ไม่ได้ความคุณธรรมไม่มี" นักเรียนจะต้องรู้จักข้าว ข้าวรวงโตที่มีวิตามิน เวลามันออกรวง จะน้อมรวงถ่วงยอดแสดงอาการดุจคารวะแม่พระธรณี แต่ข้าวรวงใดที่ชี้เด่แทบจะทิ่มก้นเทวดา แสดงว่าข้าวรวงนั้นไม่มีวิตามิน เป็นข้าวขี้ลีบ คนก็เหมือนกัน หากรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงว่าเป็นคนมีคุณภาพเป็นผู้มีคุณธรรม บางคนเป็นโรคสันหลังแข็งก้มไม่ลง บุคคลนั้นไม่ต่างอะไรกับข้าวขี้ลีบ
พิธีไหว้ครู
พิธีไหว้ครู หรือ การไหว้ครู มีหลายอย่าง เช่น การไหว้ครูนาฏศิลป์ไหว้ครูดนตรี ไหว้ครูโหราศาสตร์ ไหว้ครูแพทย์แผนไทย เป็นต้น ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไป เมื่อเอ่ยถึง พิธีไหว้ครู เรามักจะหมายถึง การไหว้ครูในสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำในช่วงเปิดภาคการศึกษา การไหว้ครู เป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพและระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต โดยทั่วไป พิธีไหว้ครูมักจะจัดในวันพฤหัสบดี ด้วยถือว่าพระพฤหัสเป็นเทพที่ส่งเสริมวิทยาการและความเฉลียวฉลาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของครู จึงถือเอาวันนี้เป็นวันไหว้ครู เพื่อความเป็นสิริมงคล
คำสวดไหว้ครูทำนองสรภัญญะ
ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอรปเกิดประโยชน์ศึกษา ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน อยู่ในศีลธรรมอันดี ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี แก่ข้าและประเทศไทย เทอญ
ปัญญา วุฑฒิ กเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหํ
คำปฏิญาณตน
เราคนไทย ใจกตัญญู รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เรานักเรียนจักต้องประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน
มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
เรานักเรียนจักต้องปฏิบัติตนไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น

สิ่งที่ต้องเตรียมในการไหว้ครู
การไหว้ครู ในอดีตนั้น มักจะใช้ หญ้าแพรก ข้าวตอก ดอกมะเขือ และดอกเข็ม เป็นองค์ประกอบในพานดอกไม้แต่ละอย่างล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น
- หญ้าแพรก เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความเข้มแข็ง อดทนถึงแม้จะแห้งแล้ง คนเดินเหยียบย่ำ หญ้าแพรกก็จะไม่ตาย พอได้รับโอกาสที่เหมาะสม ได้รับความชุมชื้น ก็จะแตกยอดเจริญงอกงามเป็นอย่างดี ครูจึงต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งอดทนต่อปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนนักศึกษามากมาย และค่อย ๆสะท้อนปลูกฝังความมุ่งมั่นอดทน เข้มแข็งไปสู่นิสัยของนักเรียน นักศึกษา ฝึกให้เขาเข้มแข็งอดทนให้จงได้
-ข้าวตอก เป็นข้าวที่เกิดจากการใช้เมล็ดข้าสารไปคั่ว โดยมีฝาครอบไว้ เมื่อได้รับความร้อนระดับหนึ่ง เมล็ดข้าวก็จะพองตัวและแตกตัวออกเป็นข้าวตอก มีกลิ่นหอม เช่นเดียวกับการให้การศึกษา ครูผู้สอนต้องให้การอบรมคู่กันไปด้วย "อบเพื่อให้สุกรมเพื่อให้หอม" เช่นเดียวกับการทำข้าวตอก
การสั่งสอนอบรมของครู บางครั้งต้องมีการว่ากล่าวตักเตือน ติติงหรือทำโทษ ในการกระทำที่ไม่เหมาะสมเสมือนการใช้ความร้อนกับเมล็ดข้าว โดยมีกฏระเบียบหรือแนวปฏิบัติ เสมือนเป็นฝาครอบ ไม่ให้ลูกศิษย์กระเด็นกระดอนออกนอกลู่นอกทาง ครูจึงต้องทำหน้าที่สั่งสอนอบรมให้นักเรียน นักสึกษาเป็นดังเช่นข้าวตอก คือ "สุกและหอม" ซึ่งหมายถึง การสั่งสอนแนะนำให้เขามีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีที่ยอมรับนั่นเอง
- ดอกมะเขือ ลักษณะของดอกมะเขือ เวลาบานจะสีขาวสะอาดและดอกจะโน้มคว่ำลงพื้นดินซึ่งก็เป็นปริศนาธรรม แสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจ เป็นคนซื่อสัตย์ อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ
- ดอกเข็ม ลักษณะของดอกเข็มจะมียอดดอกแหลม ซึ่งเป็นปริศนาธรรมว่า ครูต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังความคิด ให้นักเรียนนักศึกษาเป็นคนฉลาด(หัวแหลม) รู้จักวิเคราะห์วิจารณ์ ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่พบเห็น ความเฉียบคมทางความคิดจะทะลุทะลวงทุกปัญหาได้
คนโบราณช่างชาญฉลาดที่จะสอนศิษย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แม้กระทั่งการใช้ดอกไม้ต้นไม้ ฯลฯ เป็นสื่อการสอนทำให้ลูกศิษย์ให้ยุคก่อนเก่าได้เรียนรู้จากธรรมชาติ และรู้จักกตัญญูรู้คุณผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่ตลอดไป และการที่เราใช้ "หญ้าแพรกดอกมะเขือ" ในการไหว้ครูนั้น เพราะเป็นของหาง่าย งอกงามอยู่ทั่วไป
ตอนเช้าตรู่วันพฤหัสซึ่งเป็นวันไหว้ครู เด็กๆจะไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ เพื่อ่ไปช่วยกันจัดพานดอกไม้ ซึ่งอาจมีการปักดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบบ้าน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือ พานดอกไม้นี้เด็กนักเรียนหญิงจะเป็นคนถือ ส่วนเด็กผู้ชายจะถือธูปเทียนและช่อดอกไม้ ( ช่อดอกไม้หมายถึงดอกไม้ที่หาได้เอามารวมกัน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือเช่นกัน)
พิธีไหว้ครูจึงเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันมาแสดงความเคารพและระลึกบุญคุณของครูอาจารย์อย่างแท้จริง

นิยามคำว่า"เพื่อน"

เพื่อนบางคน...อาจคอยมองดูคุณอยู่แบบห่างๆ แต่ไม่กล้าแสดงออก
แต่เพื่อนบางคน...อาจจะเข้ามายุ่งกับคุณโดย เพราะเขาเป็นคนกล้า
เพื่อนบางคน...อาจทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณได้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่ได้ยินคำขอร้องของคุณด้วยซ้ำ
เพื่อนบางคน...อาจพูดอะไรตรงๆ กับคุณเพราะรัก
แต่เพื่อนบางคนของคุณ...อาจพูดแต่คำหวานๆ ซึ่งแฝงไปด้วยความน่ากลัว
เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่ไม่อดทน มักบ่นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เสมอ
แต่จริงๆ แล้วเขา...อาจเป็นคนที่มีความอดทน มากกว่าที่คุณคิดเสียอีก
เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยมีความลับกับคุณ อาจแม้กระทั่งให้คุณอ่านไดอารี่แสนหวงของเขา
แต่เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยแม้แต่จะเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวให้คุณฟัง
เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยโทรศัพท์หาคุณเลย มีแต่คุณเท่านั้นที่มัวแต่โทรหาเขาทุกวัน
เพื่อนบางคน...อาจโทรมาหาคุณได้โดยที่คุณไม่ต้องขอร้องเลยด้วยซ้ำ
เพื่อนบางคน...อาจจะอยู่เคียงข้างคุณ ในยามที่คุณต้องการใครซักคน โดยที่ไม่มีใครขอ
แต่เพื่อนบางคน...ไม่อาจแม้แต่จะรับรู้ความรู้สึกของคุณได้
เพื่อนบางคน...อาจถึงขนาด นั่งร้องไห้กับคุณ ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่สนด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ที่ไหน
เพื่อนบางคน...อาจเคยทำผิดกับคุณบ้าง แต่เขาก็ยังพยายามที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดต่อคุณ
เพื่อนบางคน...อาจหมายความตามที่เขาพูด เช่น ขอโทษก็คือขอโทษ
ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดขอโทษ แต่หมายถึงสมน้ำหน้า
เพื่อนบางคน...อาจจำได้ว่าพยายามโทรหาคุณข้ามวันข้ามคืน ถึงแม้ว่าเขาจะติดต่อคุณไม่ได้ แต่ก็ยังคงพยายาม
ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจจำได้ไม่เกินครึ่งวันด้วยซ้ำว่าคุณโทรหาเขา
เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่มีอารมณ์แปรปรวน อาจทำอะไรที่คุณคาดไม่ถึง แต่ไม่แน่เขา...อาจเป็นน้อยกว่าคุณก็ได้ เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว
เพื่อนบางคน...อาจชอบอยู่กับกลุ่มคนเยอะๆ ที่สนุก เฮฮา
แต่เพื่อนบางคน...อาจจะภูมิใจกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า
เพื่อนบางคน...อาจมัวนั่งเงียบๆ จนให้คุณไม่อาจรู้ได้ว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดมากเสียจนคุณรำคาญ
เพื่อนบางคน...อาจอยากให้คุณรับรู้ความรู้สึกจากเขาทางสายตา
แต่เพื่อนบางคน...อาจเดินมาบอกความรู้สึกกับคุณด้วยตัวเอง
เพื่อนบางคน...อาจจะไม่มีการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าคุณจะทำให้เขาเสียใจเพียงใด
แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจเดินเข้ามาต่อว่าคุณ จนคุณไม่เหลือซากก็ได้
เพื่อนบางคน...สามารถอ่านใจคุณได้ ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่อาจรับรู้และเข้าใจ ความรู้สึกของคุณได้ แม้ว่าคุณจะบอกเขาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม

คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง คอยฟัง ยามเพื่อนขอ
คอยรอ ยามเพื่อนสาย คอยพาย ยามเพื่อนพักคอยทัก ยามเพื่อนทุกข์
คอยปลุก ยามเพื่อนท้อคอยง้อ ยามเพื่อนงอน คอยสอน ยามเพื่อนผิด
คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ คอยเจอ ยามเพื่อนหาคอยลา ยามเพื่อนกลับ
คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยนคอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว
คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่นคอยเย็น ยามเพื่อนร้อน
คอยหอน ยามเพื่อนเห่าคอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ
คอยอุบ ยามเพื่อนปิดคอยคิด ยามเพื่อนถาม
คอยปราม ยามเพื่อนหลงคอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง
คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมดคอยอด ยามเพื่อนทาน
คอยคาน ยามเพื่อนล้มคอยชม ยามเพื่อนชนะ คอยสละ ยามเพื่อนชอบ

เพื่อน คือ กระดาษทิชชู....ตอนเราร้องไห้ไม่หยุดซะที
เพื่อน คือ หัวไหล่....ให้เราซบ เมื่อเรารู้สึกย่ำแย่
เพื่อน รับฟังทุกอย่าง...เวลาเรามีเรื่องจะพูด
เพื่อน คือ สัปดาห์...เมื่อคุณต้องการวัน
เพื่อน คือ ไม้ดามหัวใจ...ยามเราอกหัก
เพื่อน คือ กาว...เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูจะแตกสลาย
เพื่อน คือ แสงอาทิตย์...เมื่อฝนไม่หยุดตก
เพื่อน คือ คล้ายๆกับแม่นะ...หากเราต้องขึ้นโรงพัก
เพื่อน คือ โทรศัพท์ เมื่อคุณไม่สามรารถออกจากบ้านได้
เพื่อน คือ มือ...เมื่อเรารู้สึกเปล่าเปลี่ยว..(ขอจับมือหน่อยนะ)
เพื่อน คือ ปีก....หากคุณอยากจะบิน
เพื่อน...จะเข้าใจเราทุกอย่าง โดยปราศจากคำถามว่า ทำไม
เพื่อน คือ หู...เพื่อเอาไว้ฟังทุกเรื่อง..(โดยเฉพาะเรื่องลับๆ)
เพื่อน คือ แอสไพลิน....เมื่อเราปวดหัว
เพื่อน คือ ความรัก...ที่คุณไม่ต้องค้นหาฉันหวังว่า...... มิตรภาพระหว่างเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

คุณค่าของคำว่าเพื่อน คือ สิ่งที่ช่วยให้คุณมองเห็นค่าของมิตรภาพ หากมีเพื่อนแท้แม้เพียงสักหนึ่งคน เท่ากับว่าคุณได้เติมชีวิตให้เต็มเปี่ยม ทำไมชีวิตที่มีเพื่อนช่างเป็นชีวิตที่แสนดี คุณอาจถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายซาฮารา และลมอาจพัดเอาฝุ่นทรายเข้าตา แต่คุณยังคงจำลายมือของเพื่อนที่คุณรักที่สุดได้ คุณมีใครสักคนที่บ่นให้ฟังได้เสมอ คุณใส่เสื้อผ้าที่ดูแย่ที่สุดเมื่ออยู่กับเพื่อนได้ เมื่อคุณเล่าความลับให้เพื่อนฟัง เพื่อนจะเก็บไว้เป็นความลับ เพื่อนจะไม่ถือสาหาความ แม้ว่าคุณจะโทรไปปลุกแต่เช้า เมื่อเพื่อนถามคุณว่า สบายดีหรือเปล่า? คุณไม่จำเป็นต้องตอบว่า " สบายดี " คุณสามารถตั้งคำถามโง่ ๆ กับเพื่อนได้ โดยที่เพื่อนไม่หัวเราะเยาะคุณ เพื่อนอยู่ข้างคุณเสมอไม่ว่ากฎหมายจะว่าอย่างไร เพื่อนจะนินทาคนอื่นในแบบที่คุณนินทาเสมอ คุณสามารถยกเลิกอาหารมื้อค่ำได้ โดยที่ไม่ถูกตัดพ้อต่อว่าจากเพื่อน เสื้อผ้าของเพื่อน ก็เหมือนเสื้อผ้าของคุณยืมใช้กันได้เสมอ ถ้าไม่มีเพื่อน สมุดจดที่อยู่ก็ว่างเปล่านะสิ เพื่อนจะไม่บ่น ถ้าคุณยืนกินอาหารในครัว แทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย มิตรภาพแตกหักได้ยากกว่าชีวิตคู่ เพื่อนยอมรับคุณได้เสมอ ไม่ว่าคุณจะหนักเพิ่มขึ้นเท่าใด เพื่อนจะยังคงรักคุณเหมือนเดิมคุณไม่จำเป็นต้องนำอะไรติดไม้ติดมือไปด้วยเมื่อโผล่หน้าไปเยี่ยมเพื่อน เพื่อนสามารถกลับมาคืนดีได้หลังจากทะเลาะกัน เพื่อนจะพูดความจริง เกี่ยวกับสีผมที่คุณเพิ่งไปทำ เพื่อนจะคอยเลี้ยงลูกให้ยามที่คุณยุ่ง เพื่อนจะให้คุณยืมเงินได้ง่ายกว่าไปเรา้ธนาคาร คุณหยิบของในตู้เย็นของเพื่อนมากินได้โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน คุณสามารถโทรชวนเพื่อนออกมาดูหนังในคืนวันเสาร์ได้โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้า คุณสามารถนั่งเงียบๆ ไปตลอดทางโดยไม่ต้องหาเรื่องมาคุยกัน เพื่อนคือใครสักคนที่คุณสามารถหลบออกจากที่ทำงาน และไปนั่งกินกาแฟด้วยกันได้ เพื่อนจะไม่ต่อว่าถ้าคุณเลิกนัดเพราะเจอคนถูกใจ เพื่อนจะไม่ทอดทิ้งคุณแม้ขณะติดคุก แม้ว่าเพื่อนจะไม่พบกันนานนับสิบปี แต่ความรู้สึกของคุณกับเพื่อนก็ยังคงเหมือนเดิม

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1

ข่าวคราวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก จนคร่าชีวิตผู้คนไป ซึ่งผู้เสียชีวิตเฉพาะในประเทศเม็กซิโก มีถึง 81 คน (ตัวเลขทางการ ณ วันที่ 26 เมษายน 2552) เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนานาชาติเป็นอย่างมาก ล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศเตือนว่า สถานการณ์ขณะนี้มีความรุนแรงมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะลุกลามไปทั่วโลก ทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับโรคชนิดนี้ เกิดความสงสัยว่า "โรคไข้หวัดหมู" คืออะไร และจะสามารถป้องกันได้อย่างไร
รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก
"โรคไข้หวัดหมู" เป็นไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สามารถพบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้ง H1N1, H1N2 และ H3N2 ไข้หวัดหมูส่วนใหญ่มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แต่สามารถพบเชื้อได้ตลอดทั้งปี สำหรับโรคไข้หวัดหมูที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกานั้น เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน ซึ่งไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์, ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อ H1N1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดหมู คือ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู คนฆ่าหมูหรือชำแหละเนื้อหมู คนขายเนื้อหมู รวมทั้งผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับหมู และผู้บริโภคเนื้อหมูที่ปรุงไม่สุก
การติดต่อโรคไข้หวัดหมูหรือ ไข้หวัดใหญ่แม๊กซิโก
เชื้อไข้หวัดหมู มีการติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนทั่วไป และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามปกติคนจะไม่ติดเชื้อไข้หวัดหมู ยกเว้นผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับหมู ก็อาจติดเชื้อไข้หวัดหมูมาได้ แต่มักไม่ค่อยพบกรณีนี้ ทั้งยังไม่ค่อยพบกรณีไข้หวัดหมูระบาดจากคนสู่คนอีกด้วย แต่กรณีโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโกอยู่ขณะนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า มีการติดต่อจากคนสู่คน เพราะผู้ป่วยบางรายไม่เคยมีประวัติสัมผัสหมูแต่อย่างใด
ทั้งนี้เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด และสามารถติดต่อได้จากมือ หรือสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา แต่ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู
ขณะที่นักวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า โรคไข้หวัดหมู มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่าโรคซาร์ส และไข้หวัดนก แต่อัตราการเสียชีวิตมีน้อยกว่า คืออยู่ที่ร้อยละ 5-7 ขณะที่โรคไข้หวัดนกมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60
อาการของโรคไข้หวัดหมูหรือ ไข้หวัดใหญ่แม๊กซิโก
เมื่อเชื้อไข้หวัดหมูเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรากฎอาการที่คล้ายกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่า และรวดเร็วกว่า นั่นคือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ ปอดบวม คลื่นไส้ อาเจียน จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต จึงทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีการทรงตัวผิดปกติ เดินเอนไปเอนมาเหมือนคนเมาสุรา นอกจากนี้อาจสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การรักษาโรคไข้หวัดหมูหรือ ไข้หวัดใหญ่แม๊กซิโก
ทางสหรัฐอเมริกา ระบุว่า โรคไข้หวัดหมูสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ คือ วัคซีนแอนตี้ไวรัส "ทามิฟลู" (Tamiflu) และ "รีเลนซา" (Relenza) แต่ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า วัคซีนเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด เนื่องจากไข้หวัดหมูที่แพร่ระบาดอยู่ขณะนี้ เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น จึงต้องมีการศึกษาพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ เพื่อใช้ในการรักษาให้มีประสิทธิผลมากขึ้นต่อไป
การป้องกันโรคไข้หวัดหมูหรือ ไข้หวัดใหญ่แม๊กซิโก
โรคไข้หวัดหมู แม้จะเป็นสายพันธุ์หมู แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมูโดยตรง เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นจึงสามารถรับประทานหมูได้ หากไม่แน่ใจ ให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกเสียก่อน คือ ผ่านความร้อนที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือต้มในน้ำเดือด ก็จะสามารถทำลายเชื้อให้หมดไปได้
ทั้งนี้ วิธีการป้องกันการติดต่อของโรคได้ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด และล้างมือบ่อยๆ
ในส่วนของผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก รวมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียและเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศใกล้เคียง ควรติดตามสถานการณ์และคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด และหากมีอาการไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
สำหรับประเทศไทยนั้น ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ยังไม่พบการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศ ดังนั้นก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอกค่ะ แต่ถ้าหากยังไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์จากโรคไข้หวัดหมู แนะนำว่าให้รับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกแล้วดีกว่า และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อีกทั้งติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต

โรคชิคุนกุนยา

โรคชิคุนกุนยา
ลักษณะโรค
โรคชิคุนกุนยา เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีอาการคล้ายไข้เดงกี แต่ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงมีการช็อก
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) ซึ่งเป็น RNA Virus จัดอยู่ใน genus alphavirus และ family Togaviridae มียุงลาย Aedes aegypti, Ae. albopictus เป็นพาหะนำโรค
วิธีการติดต่อ
ติดต่อกันได้โดยมียุงลาย Aedes aegypti เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นเกิดอาการของโรคได้
ระยะฟักตัว
โดยทั่วไปประมาณ 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยประมาณ 2-3 วัน
ระยะติดต่อ
ระยะไข้สูงประมาณวันที่ 2 – 4 เป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดง (conjunctival injection) แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว ส่วนใหญ่แล้วในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคืออาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ อาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก อาจพบ tourniquet test ให้ผลบวก และจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้
ความแตกต่างระหว่างDF/DHF กับการติดเชื้อ Chikungunya
1. ใน chikungunya มีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันกว่าใน DF/DHF คนไข้จึงมาโรงพยาบาลเร็วกว่า
2. ระยะของไข้สั้นกว่าในเดงกี ผู้ป่วยที่มีระยะไข้สั้นเพียง 2 วัน พบใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในDF/DHF โดยส่วนใหญ่ไข้ลงใน 4 วัน
3. ถึงแม้จะพบจุดเลือดได้ที่ผิวหนัง และการทดสอบทูนิเกต์ให้ผลบวกได้ แต่ส่วนใหญ่จะพบจำนวนทั้งที่เกิดเองและจากทดสอบน้อยกว่าใน DF/DHF
4. ไม่พบ convalescent petechial rash ที่มีลักษณะวงขาวๆใน chikungunya
5. พบผื่นได้แบบ maculopapular rash และ conjunctival infection ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี
6. พบ myalgia / arthralgia ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี
7. ใน chikungunya เนื่องจากไข้สูงฉับพลัน พบการชักร่วมกับไข้สูงได้ถึง 15% ซึ่งสูงกว่าในเดงกี ถึง 3 เท่า
ระบาดวิทยาของโรค การติดเชื้อ Chikungunya virus เดิมมีรกรากอยู่ในทวีปอาฟริกา ในประเทศไทยมีการตรวจพบครั้งแรกพร้อมกับที่มีไข้เลือดออกระบาดและเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย เมื่อ พ.ศ. 2501 โดย Prof.W McD Hamnon แยกเชื้อชิคุนกุนยา ได้จากผู้ป่วยโรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพมหานคร
ในทวีปอาฟริกามีหลายประเทศพบเชื้อชิคุนกุนยา มีการแพร่เชื้อ 2 วงจรคือ primate cycle (rural type) (คน-ยุง-ลิง) ซึ่งมี Cercopithicus monkeys หรือ Barboon เป็น amplifyer host และอาจทำให้มีผู้ป่วยจากเชื้อนี้ประปราย หรืออาจมีการระบาดเล็กๆ (miniepidemics) ได้เป็นครั้งคราว เมื่อมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อนี้อยู่ และคนอาจนำมาสู่ชุมชนเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุมมาก ทำให้เกิด urban cycle (คน-ยุง) จากคนไปคน โดยยุง Aedes aegypti และ Mansonia aficanus เป็นพาหะในทวีปเอเซีย การแพร่เชื้อต่างจากในอาฟริกา การเกิดโรคเป็น urban cycle จากคนไปคน โดยมี Ae. aegypti เป็นพาหะที่สำคัญ ระบาดวิทยาของโรคมีรูปแบบคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อที่นำโดย Ae. aegypti อื่นๆ ซึ่งอุบัติการของโรคเป็นไปตามการแพร่กระจายและความชุกชุมของยุงลาย หลังจากที่ตรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย ก็มีรายงานจากประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ เขมร เวียดนาม พม่า ศรีลังกา อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์โรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เมื่อประชากรยุงเพิ่มขึ้นและมีการติดเชื้อในยุงลายมากขึ้น พบโรคนี้ได้ในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งต่างจากไข้เลือดออกและหัดเยอรมันที่ส่วนมากพบในผู้อายุน้อยกว่า 15 ปี ในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา 6 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2531 ที่จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. 2534 ที่จังหวัดขอนแก่นและปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2536 มีการระบาด 3 ครั้งที่จังหวัดเลย นครศรีธรรมราช และหนองคายการรักษา ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง (specific treatment) การรักษาเป็นการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เช่นให้ยาลดอาการไข้ ปวดข้อ และการพักผ่อน

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

ปัจจุบันนี้ เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การออกกำลังกายนั้น สามารถช่วยลดอัตราการ เกิดโรคหลายๆอย่างได้ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังสามารถนำมาใช้ประกอบการรักษาโรคต่างๆเหล่านี้ นอกจากการรับประทานยาได้อีกด้วย การออกกำลังกายมีหลายอย่างแต่ที่ถือว่ามีประโยชน์ ต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก ก็คือการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความทนทานของหัวใจและปอด ซึ่งเรามักจะใช้การออกกำลังกายแบบแอโรบิก
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้น ไม่ได้หมายความถึงการเต้นแอโรบิก แต่เป็นการออกกำลังกายอะไรก็ได้ ที่เราสามารถทำซ้ำๆกันต่อเนื่องได้นานพอ หนักพอและบ่อยพอ นานพอ ในทางการแพทย์เราพบว่าการออกกำลังกายอย่าง ต่อเนื่องติดต่อกัน อย่างน้อย15-20นาที จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจและปอดมากที่สุด หนักพอ การวัดความหนักนั้น ไม่ได้วัดจากแรงต้านทานที่กระทำต่อเราขณะออกกำลังกาย แต่จะวัดจากปริมาณออกซิเจน ที่ร่างกายใช้ในขณะออกกำลังกาย
ซึ่งจริงๆแล้ว จะต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และยุ่งยากในการวัด แต่เราพบว่า อัตราการเต้นของหัวใจนั้น จะมีความสัมพันธ์กับอัตราการใช้ออกซิเจนนี้ ดังนั้น เราจึงใช้อัตราการเต้นของหัวใจหรือการจับชีพจร มาเป็นต้วช่วยวัดความหนักของการออกกำลังกายแทน โดย
อัตราชีพจรที่เหมาะสมที่สุดของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้น จะอยู่ในช่วง 60-80% ของอัตราชีพจรสูงสุด โดยที่ เราอาจจะคำนวณหาอัตราชีพจรสูงสุดของแต่ละคนได้จากสูตร
อัตราชีพจรสูงสุด = 220-อายุ(ปี) หน่วย เป็นครั้ง/นาที
ยกตัวอย่าง เช่น อายุ 30ปี อัตราชีพจรสูงสุดก็จะเท่ากับ 220-30 =190ครั้ง/นาที ดังนั้น จึงควรออกกำลังกายให้เหนื่อยโดยให้ชีพจรเต้น ประมาณ120-150ครั้ง/นาที (60-80% ของ อัตราสูงสุด) บ่อยพอ
พบว่าการออกกำลังกายแบบนี้ทำเพียง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ให้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจและปอด ดังนั้น เราอาจไม่จำเป็นต้องทำทุกวันก็ได้ จะทำบ่อยกว่านี้ก็ได้ แต่ควรจะมีวันพักอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2วัน เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสพักฟื้นบ้าง และเพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บอีกด้วย
ดังนั้น จะเห็นว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้นทำได้ไม่ยากเลยและยังให้ประโยชน์ ต่อสุขภาพร่างกายได้อย่างมากด้วยการออกกำลังกายแบบนี้ที่นิยมกันอย่างเช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ขี่จักรยานเป็นต้น
ท่านอาจจะประยุกต์กิจกรรมอย่างอื่น ให้เข้ากับการออกกำลังกายแบบนี้ได้ โดยขอให้ยึดหลักสำคัญ 3 ข้อดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ นานพอ หนักพอ และบ่อยพอ ขอให้ทุกคนโชคดี มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจและสนุกสนานกับการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพนะครับ
ออกกำลังกายอย่างไร? ให้หัวใจแข็งแรง
การออกกำลังกายโดยทั่วไปล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายอยู่แล้ว แต่มีหลายคนสงสัยว่าจะออกกำลังกายอย่างไร ที่จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจสูงสุด คำตอบของคำถามนี้ก็คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic exercise) ซึ่งหลายคนก็คงจะเข้าใจว่าคือการเต้นแอโรบิก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ในร่างกายหลายๆมัดอย่างต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะมีผลให้ร่างกายใช้ออกซิเจนไปเผาผลาญอาหาร ในร่างกาย และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ และปอดดีขึ้น โดยมีหลักการง่ายๆดังนี้ 1.เป็นการออกกำลังของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆทั่วร่างกาย เช่น เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเต้น แอโรบิก 2.ระยะเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละครั้งไม่ควรน้อยกว่า 20-30 นาที 3.ควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 4.ที่สำคัญที่สุดคือระหว่างการออกกำลังกายต้องให้หัวใจหรือชีพจร เต้นอยู่ในช่วงชีพจรเป้าหมาย(Target heart rate) ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตร ชีพจรสูงสุด(Maximum heart rate) = 220- อายุ(เป็นปี) ชีพจรเป้าหมาย(Target heart rate)= 60%-70% ของชีพจรสูงสุด
การจับชีพจรก็สามารถทำได้ง่ายๆคือ การจับบริเวณข้อมือประมาณ 15วินาทีแล้วคูณด้วย 4 โดยทำเป็นระยะระหว่างการออกกำลังกาย หรือถ้าจะให้ดีที่สุดคือควรมีอุปกรณ์การจับชีพจร ซึ่งมีหลายรูปแบบ ในท้องตลาดก็มีแบบที่เป็นนาฬิกาข้อมือ การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนชีพจรเต้นเร็วเกินชีพจรสูงสุดเพราะจะเป็นอันตรายกับหัวใจ
ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
1. ทำให้สมรรถภาพการทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น
2. ช่วยลดไขมันในร่างกาย สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายแบบนี้สามารถทำให้น้ำหนักลดได้ แต่ต้องทำควบคู่กับการควบคุมอาหาร
3. ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน คลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์สูง การออกกำลังกายแบบนี้สามารถทำให้ระดับน้ำตาล และไขมัน ในเลือดลดลงได้ด้วย
4. ทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน
ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย
1. ค่อยๆออกกำลังกาย จากเบาๆและเพิ่มความหนักขึ้น และเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะเวลา ในการออกกำลังกายให้ถึง20-30 นาที
2. ต้องมีการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง เพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมก่อน รวมทั้งเมื่อจะเลิกออกกำลังกาย ต้องค่อยๆผ่อนให้เบา และช้าลงไม่หยุดทันทีทันใด
3. ไม่ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
4. ควรออกกำลังกายในสภาพอากาศที่เหมาะสมไม่เย็นหรือร้อนเกินไป และควรเป็นที่ๆมีอากาศถ่ายเทดี
5. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นที่กล่าวมาได้อย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าหัวใจของคุณจะแข็งแรง เป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอ รู้อย่างนี้แล้วอย่ารอช้า

สร้างความสุขความสำเร็จในชีวิตด้วย “ทักษะการรู้จักตนเอง”

การที่พ่อแม่จำนวนมากต่างพยายามส่งเสริมลูกของตนอย่างสุดกำลังในการพัฒนาศักยภาพความสามารถด้านต่าง ๆ สนับสนุนในเรื่องการศึกษาหาความรู้ในสาขาต่าง ๆ ทั้งในและนอกระบบ เพื่อปูพื้นฐานในวัยเยาว์ให้ลูกเติมโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในอนาคตนั้นนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และในโลกยุคความรู้คืออำนาจในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ส่วนใหญ่กลับหลงลืมและละเลยในการสอนลูกไปอย่างน่าเสียดายนั่นคือการสอนให้ลูก “รู้จักตนเอง”

การรู้จักตนเอง เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ดูเหมือนไม่น่าจะสลักสำคัญอะไรที่เราจะต้องมานั่งเรียนรู้ทำความเข้าใจ แต่ทว่ากลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เปรียบได้กับเส้นผมบังภูเขา ที่ทำให้คนจำนวนมากที่แม้มีความรู้มากมายท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด เนื่องจากสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้เลยนั่นคือการรู้จักตัวของเขาอย่างถ่องแท้นั่นเอง

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วการรู้จักตนเองนับเป็นพื้นฐานสำคัญที่เราควรเรียนรู้เป็นอันดับแรกสุดในชีวิต เนื่องจากการรู้จักตนเองจะนำไปสู่


...การมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินชีวิต เนื่องจากรู้ว่าตนมีความถนัดความชอบและความสามารถในด้านใด ดังนั้นจึงรู้ว่าตนควรจะเรียนอะไร ประกอบอาชีพอะไร ควรแสวงหาความรู้อะไรเพิ่มเติม

...การรู้จักวิธีเฉพาะตัวที่ตนถนัดในพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ของตนเองให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ รู้เทคนิคการเรียนหนังสือของตนว่าควรใช้วิธีใด จึงประสบผลสำเร็จ เช่น รู้ตัวว่าความจำไม่ดี จึงต้องใช้วิธีจดอย่างละเอียดและทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ

...จุดอ่อนในชีวิตได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาทิ เมื่อเรารู้ตัวว่าเป็นคนใจร้อน เมื่อมีเหตุการณ์ที่เรารู้ว่าหากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงได้ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะแยกตัวออกมามานั่งสงบสติอารมณ์เพื่อคิดหาวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด

...การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากรู้ว่าปัญหานั้นมีสาเหตุมาจากตนหรือไม่ และรู้ว่าตนเองควรปรับอารมณ์เช่นใดเมื่อยามเผชิญปัญหาและควรหาวิธีการใดที่เหมาะสำหรับตนเองมากที่สุดในการแก้ปัญหานั้นให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

...การค้นพบความสุขที่แท้จริงในสิ่งที่ตนเลือกทำ เนื่องจากรู้ว่าอะไรที่ทำแล้วจะทำให้คนเองมีความสุขได้

...นำไปสู่การเรียนรู้จักและเข้าใจผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น อันเป็นการลดปัญหาความขัดแย้งและนำไปสู่มิตรภาพที่ดีตามมา

ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่รู้จักตนเอง ซึ่งมักใช้ชีวิตโดยปล่อยไปตามกระแสสังคม เลียนแบบทำตามคนรอบข้างโดยขาดจุดยืนที่ชัดเจน เช่น แสวงหาความสุขในชีวิตด้วยการไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน เสพยา เข้าแก๊งซิ่งมอเตอไซค์ (เด็กแว๊นท์) เลือกคณะที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามค่านิยมขณะนั้นหรือเลือกตามเพื่อน สุดท้ายเขาจึงไม่สามารถพบกับความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้และนำไปสู่ปัญหามากมายตามมา นอกจากนี้คนที่ไม่รู้จักตนเองยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา โดยมากแล้วมักจะไม่ดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจากตนเองหรือไม่ แต่มักโทษเหตุการณ์หรือโทษผู้อื่นเอาไว้ก่อน จึงเป็นการยากที่จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

ทักษะการรู้จักตนเองจึงเป็นทักษะสำคัญที่เราทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกฝน เนื่องจากการรู้จักตนเองนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่นั่งอยู่เฉย ๆ แล้วจะสามารถรู้ขึ้นมาได้เอง แต่ต้องผ่านกระบวนการบ่มเพาะผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ การลองผิดลองถูก ความผิดหวัง เจ็บปวด ความผิดพลาดล้มเหลวต่าง ๆ เพื่อที่จะตกเป็นผลึกทางปัญญาในการรู้จักตนเอง รวมทั้งผ่านการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างซึ่งถือเป็นกระจกสะท้อนชั้นดีให้เราได้เรียนรู้จักตนเอง โดยยิ่งรู้จักตนเองเร็วเท่าไรยิ่งเป็นการได้เปรียบในการออกสตาร์ทไปสู่เป้าหมายชีวิตได้เร็วเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จท่ามกลางปัญหาและแรงกดดันต่าง ๆ

การฝึกฝนทักษะการรู้จักตนเองจึงควรเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์โดยพ่อแม่เป็นบุคคลสำคัญแรกสุดในการช่วยลูกค้นหาตนเอง โดยเริ่มจาก

เปิดโอกาสที่หลากหลาย พ่อแม่ควรสร้างโอกาสที่หลากหลายในการให้ลูกได้เรียนรู้ทดลองทำในสิ่งต่าง ๆ ให้มากที่สุด อาทิ การทำงานบ้าน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกสนใจ โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นผู้เป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวกในการให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างไรก็ตามกิจกรรมดังกล่าวพ่อแม่ควรคัดกรองว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับลูก อาทิ การทำงานอาสาสมัครต่าง ๆ การเข้าค่ายพักอาสาพัฒนา การเข้าค่ายกีฬา ไม่ใช่ตามใจลูกทุกเรื่อง เช่น ลูกขอไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากแก๊งซิ่งมอเตอร์ไซค์ หรือขอไปเที่ยวกลางคืนหาประสบการณ์ทางเพศ (ขึ้นครู) เป็นต้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์และอาจเกิดอันตรายกับลูกได้

ให้อิสระในความคิดและการตัดสินใจ พ่อแม่ไม่ควรเป็นนักเผด็จการที่คอยบงการชีวิตลูกไปทุกเรื่อง อาทิ พ่อแม่อยากเรียนแพทย์ แต่สอบไม่ติด จึงฝากความหวังไว้กับลูก พยายามสร้างแรงกดดันและปลูกฝังความคิดให้ลูกต้องสอบเข้าคณะแพทย์ให้ เพื่อทำความฝันของพ่อแม่ให้เป็นจริง โดยไม่คำนึงว่าลูกจะชอบหรือมีความถนัดในด้านนี้หรือไม่ พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกรู้จักตนเองจึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สามารถตัดสินใจในการเลือกสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยพ่อแม่มีหน้าที่คอยชี้แนะอยู่ห่าง ๆ ถึงข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ หรือโทษ ที่ลูกจะได้รับผ่านการตัดสินใจนั้น ๆ ซึ่งหากพ่อแม่เห็นว่าการตัดสินใจของลูกเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้องและอาจนำไปสู่อันตรายได้ พ่อแม่สามารถใช้อำนาจในการยับยั้งการกระทำดังกล่าวได้ โดยชี้แจงถึงเหตุผลให้ลูกได้เข้าใจ

เป็นกระจกสะท้อนให้ลูกเห็นตนเอง พ่อแม่ต้องทำหน้าที่เป็นกระจกเงาสะท้อนให้ลูกได้เห็นตนเองในมุมต่าง ๆ ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง จุดดี จุดด้อย โดยหลักการสำคัญ คือ

...การสะท้อนภาพที่ถูกต้อง เนื่องจากความจำกัดของอายุและประสบการณ์จึงทำให้ลูกของเราอาจไม่สามารถเห็นตนเองได้ชัดเจนมากนัก ดังนั้นจึงอาจมองภาพตนเองไปอย่างบิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริง หรืออาจรู้จักตัวเองอย่างผิด ๆ ผ่านคำพูดของคนรอบข้าง เพื่อนฝูง ครู อาจารย์ ซึ่งอาจทำให้ลูกมองตนเองด้อยค่า เกิดเป็นปมด้อยในจิตใจ โดยมีงานวิจัยยืนยันว่าหากพ่อแม่ปล่อยให้ลูกมีความเข้าใจที่ผิด ๆ เกี่ยวกับตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นความจริง และหากไม่มีการรีบปรับความเข้าใจที่ผิด ๆ นั้นโดยเร็วสิ่งที่ลูกเข้าใจเกี่ยวกับตนเองผิด ๆ นั้นจะกลับกลายเป็นความจริงในที่สุด

ตัวอย่างเช่น ลูกอาจโดนครูที่โรงเรียนต่อว่าเรื่องผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ ที่ลูกสอบตก ว่าเป็นเด็กหัวทึบ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่เห็นลูกพยายามอย่างเต็มที่แล้วในวิชานี้ ในกรณีดังกล่าวพ่อแม่ควรทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้ลูกเห็นในมุมที่ถูกต้องและให้กำลังใจว่าลูกมีจุดแข็งที่พ่อแม่ภาคภูมิใจในเรื่องของความตั้งใจจริง ความขยันหมั่นเพียร แต่อย่างไรก็ตามที่ผลการเรียนออกมาเช่นนี้อาจเพราะลูกไม่ถนัดในวิชาดังกล่าว และให้ลูกพยายามต่อไปอย่าท้อถอย อย่างไรก็ตามหากพ่อแม่ไม่มีการปรับความเข้าใจในการมองตนเองของลูกในเรื่องนี้ ลูกจะตอกย้ำตัวเองเสมอว่าเป็นคนหัวทึบ และเขาจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนได้เลย

...กระตุกให้ลูกได้คิดวิเคราะห์ตนเอง โดยการหมั่นสังเกตพฤติกรรม อารมณ์ของลูก ในสภาวะต่าง ๆ หรือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ และเริ่มตั้งคำถามออกไปให้ลูกได้เรียนรู้เกี่ยวกับตนเองแทนการโทษผู้อื่น หรือโทษสถานการณ์

ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกทำข้อสอบได้คะแนนไม่ดี แล้วโทษว่าเพราะครูสอนไม่รู้เรื่อง หรืออ้างว่ายังมีเพื่อนที่เรียนแย่กว่าเขาอีก พ่อแม่ควรกระตุกให้ลูกได้คิดว่าเราไม่ควรไปเปรียบเทียบกับคนที่เรียนแย่กว่า หรือโทษว่าครูสอนไม่รู้เรื่อง พร้อมกับให้ลูกวิเคราะห์ตัวเองถึงจุดอ่อนจุดแข็ง เช่น ลูกมีจุดอ่อนเรื่องระเบียบวินัย การบริหารเวลาในการอ่านหนังสือหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ไม่เห็นว่าลูกจะตั้งใจอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียนเลยแต่มาเร่งอ่านตอนใกล้สอบ ดังนั้นในการสอบครั้งต่อไปลูกต้องวางแผนการเรียนให้ดีและขยันให้มากกว่านี้ เป็นต้น

....การสอนและเตือนสติ พ่อแม่เป็นผู้ที่เห็นชีวิตของลูกใกล้ชิดที่สุด และมีความสามารถในการเข้าใจความเป็นตัวตนของเขามากที่สุด ซึ่งในความเป็นเด็กลูกเองยังไม่สามารถที่จะแยกแยะทำความรู้จักกับพฤติกรรม หรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่ตนแสดงออกมาได้ โดยพฤติกรรมบางอย่างของลูกหากพ่อแม่ปล่อยปละละเลยไม่สั่งสอนเตือนสติแต่เนิ่น ๆ พฤติกรรมนั้น ๆ อาจบ่มเพาะเป็นนิสัยแย่ ๆ ที่ติดตัวลูกไปจนโต และยิ่งโตยิ่งแก้ยากเข้าทำนองไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องสั่งสอนและเตือนสติลูกทันทีในพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ พร้อมชี้ให้ลูกเห็นถึงความร้ายแรงและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

ตัวอย่างเช่น พ่อแม่เห็นว่าลูกมีอุปนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกถึงจุดอ่อนข้อนี้ว่าจะส่งผลเสียอย่างไรกับชีวิตของเขาในระยะยาว พร้อมทั้งหาวิธีการร่วมกันในการฝึกฝนให้ลูกรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ไม่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างผิด ๆ โดยใช้อารมณ์ความรู้สึกนำหน้า อาทิ สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงต่อสถานการณ์ที่มากระตุ้นอารมณ์โกรธ สอนลูกให้ตอบสนองอย่างถูกต้องเมื่อโกรธ โดยการเดินไปหาที่เงียบ ๆ สงบสติอารมณ์ ก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยกัน ท้าทายลูกให้ทำลายสถิติตนเองให้โกรธช้าลง เช่น แต่เดิมเมื่อพบเหตุการณ์ที่ไม่สบอารมณ์จะโกรธขึ้นมาทันที ครั้งต่อไปควรฝึกให้โกรธช้าลง เป็นต้น

การเรียนรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้นับเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญมากยิ่งกว่าการเรียนรู้ใด ๆ การเรียนรู้จักตนเองเป็นกระบวนการเรียนรู้ระยะยาวตลอดทั้งชีวิต อันนำมาซึ่งความสุขและเป็นรากฐานของความสำเร็จในชีวิต โดยพ่อแม่เป็นบุคคลสำคัญผู้เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้จักตนเองและเป็นกระจกบานแรกที่สะท้อนให้ลูกได้เห็นอย่างถูกต้องว่าว่าตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นเป็นเช่นไร

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส

ความสัมพันธ์ทางการเมือง
ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในด้านต่างๆ ดำเนินไปด้วยความราบรื่นไม่มีปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน นอกจากนั้น ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งในระดับพระราชวงศ์ บุคคลสำคัญ และเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอ (รายละเอียดการเยือนในข้อ 10) อย่างไรก็ตาม ยังมีการเยือนสำคัญที่ยังคั่งค้างอยู่ คือ การเยือนไทยอย่างเป็นทางการ (State visit) ของประธานาธิบดี Chirac
การค้า
ไทยกับฝรั่งเศสได้ติดต่อค้าขายกันตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ปริมาณการค้าเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วในปลายทศวรรษ 1980 ในปัจจุบันฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับที่ 6 ของไทย ส่วนไทยเป็นคู่ค้าสำคัญของฝรั่งเศสเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ในช่วงปี 2541-2544
การค้ารวม
การค้ารวมมีมูลค่าเฉลี่ย 1,823.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราขยายตัวเฉลี่ยลดลงร้อยละ 2.8 สำหรับในปี 2545 การค้ารวมมีมูลค่า 1,662.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายขาดดุล 21.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2546 การค้ารวมมีมูลค่า 1,948.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้า 46.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2547 (มกราคม-มิถุนายน) การค้ารวมมีมูลค่า 998.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 154.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออก
ในช่วงปี 2541-2544 การส่งออกมีมูลค่าเฉลี่ย 863.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐอัตราขยายตัวเฉลี่ยลดลงร้อยละ 1.4 สำหรับในปี 2545 การส่งออกมีมูลค่า 820.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 1.93 สำหรับปี 2546 (มกราคม-สิงหาคม) การส่งออกมีมูลค่าเฉลี่ย 648.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 19.6 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปฝรั่งเศส ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณี เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น
การนำเข้า
ในช่วงปี 2541-2544 การนำเข้ามีมูลค่าเฉลี่ย 960.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐอัตราขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 สำหรับในปี 2545 การนำเข้ามีมูลค่า 841.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 9.04 สำหรับปี 2546 (มกราคม-สิงหาคม) การนำเข้ามีมูลค่าเฉลี่ย 647.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 15.01สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากฝรั่งเศส ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้า เหล็ก เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม
ปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
- ปัญหาด้านกฎระเบียบด้านการค้าทั้งของฝรั่งเศสและของสหภาพยุโรป ซึ่งบางครั้งไม่เอื้ออำนวยต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติ ฝรั่งเศสมักจะเข้มงวดตรวจสอบมากกว่า ประเทศสมาชิกสหภาพฯ อื่นๆ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ผู้ส่งออกไทยต้องปฏิบัติตาม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องให้ความสำคัญและเข้มงวดกวดขันเพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าไทย
- ปัญหาสุขอนามัยเป็นปัญหาที่พบบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในสินค้าประมง อาทิ การตรวจพบ cadmium ในปลาหมึกแช่แข็ง หรือการพบเชื้อ salmonella ในปลาแช่แข็ง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สินค้านำเข้าจากบริษัทที่มีปัญหาถูกใช้มาตรการเข้มงวด/ตรวจสอบ ทั้งนี้ สินค้าประมง เป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าที่ถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) ซึ่งทำให้ความสามารถ ในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงอยู่แล้ว การเกิดปัญหาด้านสุขอนามัยขึ้นอีกจะยิ่งส่งผล ต่อการส่งออกสินค้าของไทย
- ปัญหาคุณภาพสินค้าไทย บางประเภทยังไม่ได้มาตรฐานตลาด ซึ่งต้องมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันต่อไป
- ตลาดฝรั่งเศสเป็นตลาดเสรี มีการแข่งขันสูงมีการกีดกันและป้องกันตนเอง อุปสรรคด้านการตลาดดังกล่าว ได้แก่ การหาแหล่งสินค้าที่ต้นทุนต่ำ ผู้นำเข้าของฝรั่งเศสเลือกซื้อสินค้าจากประเทศผู้ผลิตที่ได้รับสิทธิพิเศษทางศุลกากรเพื่อให้มีต้นทุนการนำเข้าต่ำ สินค้าของไทยบางประเภทจึง ไม่สามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้ รสนิยมด้านการบริโภค ตลาดฝรั่งเศสเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีรสนิยมเฉพาะตัว ตามข้อมูลที่ได้รับจากผู้นำเข้ารายใหญ่พบว่า ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสมีรสนิยมที่แตกต่าง จากกลุ่มผู้บริโภคในประเทศอื่นๆ อาทิเช่น กรณีของสับปะรดกระป๋อง ผู้บริโภคนิยมสับปะรดกระป๋องที่มีความเข้มข้นของน้ำเชื่อมสูง (มีความหวานมาก) และคำนึงถึงสีสันของเนื้อสับปะรดด้วย นอกจากนี้ผู้บริโภคบางกลุ่มยังให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ถูกต้องบนสลากบรรจุภัณฑ์ด้วยอำนาจต่อรองของกลุ่มต่างๆ ประเทศฝรั่งเศสมีสหภาพแรงงาน สมาคมผู้ผลิต และสมาคมการค้าต่างๆ ที่เข้มแข็ง สามารถสร้างแรงกดดันรัฐบาลให้กำหนดมาตรการ เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนได้ แรงกดดันจากกลุ่มต่างๆ ดังกล่าวมีผลต่อสินค้านำเข้า จากต่างประเทศ
- ความเข้มงวดทางด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับความคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยเหตุที่ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการออกแบบรูปแบบสินค้าต่างๆ ฝรั่งเศสจึงให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งด้านลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และทรัพย์สิน ทางปัญญาด้านอุตสาหกรรมต่างๆ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายสากลระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องและระเบียบปฏิบัติภายในของฝรั่งเศสอีกส่วนหนึ่งด้วย ในแง่นี้ ฝรั่งเศสจึงมี ปัญหาทางการค้ากับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทยอยู่มาก โดยเฉพาะ ความผิดเรื่องการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้า ซึ่งพบว่า 7 ใน 10 ของเครื่องหมายการค้า ที่พบว่ามีการลอกเลียนแบบนั้น เป็นเครื่องหมายการค้าของฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังพบว่า สินค้าลอกเลียนแบบที่ถูกจับกุมและยึดโดยศุลกากรฝรั่งเศส มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทยมากที่สุดกล
ไกความร่วมมือด้านการค้า
- ในภาครัฐ มีคณะทำงานร่วมทางการค้าฝรั่งเศส-ไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบ มีการประชุมครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2539ครั้งที่ 2 ที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540และครั้งที่ 3 ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2542
- ในภาคเอกชน มีการจัดตั้งสภาธุรกิจฝรั่งเศส-ไทย (French-Thai Business Council - FTBC) ขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 โดยหอการค้าไทยเป็นตัวแทน และ Secretariat ของฝ่ายไทย (ประธานร่วมฝ่ายไทยคือนายชิงชัย หาญเจนลักษณ์) และ MEDEF (Mouvement Entrepreneurs de France หรือ The French Enterprises Association) เป็นตัวแทนของฝ่ายฝรั่งเศส (ประธานร่วมฝ่ายฝรั่งเศสคือนาย Jacques Friedmann) การประชุม FTBC ครั้งที่ 3 จัดขึ้นในวันที่ 25-26 มิถุนายน 2544 ที่กรุงปารีส ซึ่งมีการพบปะระหว่างภาคเอกชนทั้ง 2 ฝ่าย และมีการลงนาม Joint Statement of the 3rd FTBC Meeing ในวันเดียวกัน
-ในเดือนมีนาคม 2543 หอการค้าและอุตสาหกรรมฝรั่งเศส (La Chambre de Commerce et d Industries de Paris) แจ้งความประสงค์จัดทำความตกลงร่วมระหว่าง หอการค้าและอุตสาหกรรมฝรั่งเศสกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ ทางการค้าและการลงทุนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยจะมีการลงนามความตกลงฯ กันต่อไป นอกจากนี้ ไทย-ฝรั่งเศส ยังมีความร่วมมือในกรอบ ASEM อาทิ สภาธุรกิจเอเชีย- ยุโรป (Asia - Europe Business Forum) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนชั้นนำ ของประเทศสมาชิก ASEM
ความสัมพันธ์ด้านการลงทุนไทย-ฝรั่งเศส
1. การลงทุนของฝรั่งเศสในประเทศไทย
ไทยเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียที่ฝรั่งเศสให้ความสนใจจะเข้ามาลงทุนเนื่องจากมองเห็นศักยภาพของตลาดภายในประเทศและมีลู่ทางการส่งออกหรือจะขยายกิจการไปยังประเทศอาเซียนและกลุ่มอินโดจีน โดยอาศัยประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้า การลงทุนของฝรั่งเศสในไทยมี 2 รูปแบบ คือ ลงทุนเพื่อทำธุรกิจในประเทศไทย อาทิ กลุ่มบริษัท Carrefour, Casino, Thomson, Totalfina และการลงทุนเพื่อการส่งออก เช่น Michelin, Lacoste, Saint Gobain, Devanley นอกจากนี้ ฝรั่งเศสได้แสดง ความสนใจในการ ร่วมลงทุนการก่อสร้าง ท่าอากาศยาน รถไฟฟ้าและด้านพลังงาน ปัจจุบันมีวิสาหกิจฝรั่งเศสเข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยประมาณ 350 บริษัท กิจการที่ฝรั่งเศสมาลงทุนส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสาขา หรือการร่วมทุนกับฝ่ายไทย เช่น Michelin (กับ Siam Group) หรือ Thomson Television Thailand สำหรับกิจการ ด้าน hypermarket นั้น เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้สินค้าไทยได้แพร่ไปยังตลาดยุโรปและเอเชีย ตามที่บริษัทฝรั่งเศสมีสาขาในประเทศเหล่านั้นด้วย ในปี ค.ศ. 1998 มีโครงการการลงทุนของฝรั่งเศสได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจำนวน 16 โครงการ มูลค่า 3,672 ล้านบาท โดยฝรั่งเศสเป็นประเทศยุโรปที่เข้ามาลงทุนในไทยมากเป็นลำดับที่ 4 รองจากเนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี สำหรับปี ค.ศ. 1999 มีโครงการการลงทุนของฝรั่งเศสได้รับอนุมัติจำนวน 11 โครงการ มูลค่า 2,829 ล้านบาท ทำให้การลงทุน ของฝรั่งเศสคิดเป็นร้อยละ 10.8 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดของไทย ส่วนในปี ค.ศ. 2000 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีโครงการการลงทุนของฝรั่งเศสได้รับอนุมัติ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 471 ล้านบาท ในช่วงปี ค.ศ. 1998-1999 มีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทสำคัญของฝรั่งเศสเดินทางมา ศึกษาลู่ทางการลงทุนหรือขยายกิจการในประเทศไทยหลายบริษัท ตั้งแต่บริษัทใหญ่ในวงการอุตสาหกรรม อาทิ Lyonnaise Des Eaux, , Saint Gobain Group (มีโรงงานผลิตกระจกหน้าต่าง กระจกรถยนต์ที่ระยอง) Michelin ซึ่งเป็น Partner ของ Siam Cement และเห็นว่าไทยควรเป็น ศูนย์กลางการส่งออกยางรถยนต์ในตลาดเอเชีย โดยปัจจุบันมีโรงงานในไทยแล้ว 5 แห่ง และจะเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่สระบุรี Vivendi ซึ่งมีกิจการด้านโครงการน้ำ และสิ่งแวดล้อม สนใจ ประมูลโครงการการกำจัดขยะของกทม. และการบำบัดน้ำเสียในต่างจังหวัด Chemise La Coste เห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตของบริษัทและมีโครงการเปิดโรงงานเพิ่มในไทย Renault car group สนใจที่จะเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทยและสนใจในโครงการ AICO และ AFTA ส่วน Schneider Group เห็นว่าไทยจะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ ไฟฟ้าและสินค้า hi-tech และมีโครงการขยายโรงงานที่บางปู และ Electricite de France ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของฝรั่งเศสในกิจการพลังงานไฟฟ้า สนใจซื้อกิจการโรงงานไฟฟ้าราชบุรี และได้เปลี่ยน representative office ของบริษัทจากสิงคโปร์มาตั้งที่กรุงเทพฯ ไปจนถึงบริษัทค้าปลีก เช่น Carrefour Hypermarkets และ Casino Hypermarkets Group ตลอดจนภาคบริการ เช่น Bureaux Veritas ส่วนในด้านการคมนาคม และการสื่อสาร บริษัท RATP สนใจโครงการรถไฟใต้ดินกรุงเทพมหานคร บริษัท Aerospatiale Matra (สร้างดาวเทียมไทยคม 3) มีข้อเสนอในโครงการสื่อสารดาวเทียม เป็นต้น
2. แนวโน้มการลงทุนของฝรั่งเศสในไทย
แนวโน้มและขนาดการลงทุนจะเป็นโครงการขนาดเล็กและขนาดกลางมากขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนฝรั่งเศสส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นและมองแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยไปในทาง ที่ดีสำหรับสาขาการลงทุนที่ฝรั่งเศสมีศักยภาพ ได้แก่(1) สาขาอุตสาหกรรมการเกษตรแปรรูป (Agro Processing Industry) โดยเฉพาะอาหารมุสลิม โดยไทยเป็นประเทศที่มีวัตถุดิบด้านการเกษตรจำนวนมากและราคาถูก อัตราค่าจ้างแรงงานต่ำ และฝรั่งเศสสามารถนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรแปรรูปมาใช้ได้(2) สาขาอิเล็กทรอนิกส์และวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยไทยมีวิศวกรที่มีคุณภาพและ อัตราค่าจ้างถูกไทยและฝรั่งเศสมีความร่วมมือใกล้ชิดทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ในการส่งเสริม ให้มีการลงทุนในไทยมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มความร่วมมือในด้านวิทยากรและเทคโนโลยีต่าง ๆ และมักมีกิจกรรมสำคัญ อาทิ- ระหว่างวันที่ 11-12 ตุลาคม ค.ศ. 1999 สอท. ฝรั่งเศสประจำประเทศไทยและ หน่วยงานต่างๆ ของฝรั่งเศสร่วมกับ ACTIM Thailand Club ได้จัดให้มีการประชุม French-Thai Technology Forum and Industrial Meeting ที่โรงแรม Regent กรุงเทพฯ โดยเน้นในด้านอุตสาหกรรมเกษตร และ urban services เช่น การขนส่งมวลชน การบำบัดน้ำเสีย การจัดระบบ ไฟฟ้าแสงสว่าง และไฟสัญญาณ และ renewable energy - สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ (ด้านการลงทุน) ของสอท. ณ กรุงปารีสร่วมกับหอการค้าและอุตสาหกรรมกรุงปารีส (La Chambre Commerce et d Industrie de Paris - CCIP) ได้จัดการสัมมนาประจำปีในหัวข้อ Thailande: La Nouvelle Donne เมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2000 ที่กรุงปารีส ซึ่งนักธุรกิจคนสำคัญของฝรั่งเศสหลายคนที่ดำเนินกิจการอยู่ในไทย ได้ให้ความร่วมมือไปร่วมงานดังกล่าว และได้รับความสนใจจากนักธุรกิจฝรั่งเศสด้วยดี- ระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 ได้มีโครงการจัดสัมมนาเพื่อส่งเสริมการลงทุนของอาเซียนขึ้นที่กรุงปารีส (Joint ASEAN Investment Promotion Seminar in Europe) สำหรับโครงการนี้ ไทยได้รับเลือกให้เป็นผู้ประสานงานในฝรั่งเศส - France-Thailand Association ในกรุงปารีส ได้รับความร่วมมือจาก Centre Francais pour le Commerce Exterieur (CFCE) และสภาธุรกิจฝรั่งเศส-ไทย (FTBC) ในการจัดสัมมนาที่วุฒิสภาฝรั่งเศส ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 เพื่อให้สมาชิกรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา ผู้แทนหน่วยราชการ นักวิชาการ และผู้บริหารบริษัทฝรั่งเศส ได้รับทราบเกี่ยวกับ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของไทย รวมทั้งโครงสร้างของสถาบันและการบริหารของไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักและสามารถเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้มากขึ้น
3. ปัญหา/อุปสรรคสำหรับการลงทุนของฝรั่งเศสในไทย
ความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความโปร่งใส เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้าง ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะนอกภูมิภาคยุโรปไม่มากนัก ขั้นตอนการตัดสินใจของบริษัทจะเป็นไปด้วยความล่าช้า และปัญหาด้านภาษาที่นักธุรกิจฝรั่งเศสไม่สันทัดภาษาอังกฤษ อาจทำให้บริษัทฝรั่งเศสเลือกที่จะ เข้าไปลงทุนในประเทศที่สามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ดี เช่น กลุ่มประเทศอินโดจีน นอกจากนั้น ไทยมีปัญหาความพร้อมในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนจากฝรั่งเศสโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

การบริจาคเลือด

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริจาคเลือด
คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด
1. อายุ 17 - 60 ปี ผู้ที่มีอายุ 16 ปี จะต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครองก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง
2. น้ำหนักตัว · ไม่ต่ำกว่า 45 ก.ก
3. สุขภาพ
- สุขภาพแข็งแรง
- นอนหลับอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
- ควรรับประทานอาหารก่อนการบริจาคเลือด
- ไม่อยู่ในระหว่างกินยาปฏิชีวนะ หรือ ยากันเลือดแข็ง
- ไม่ได้รับการถอนฟัน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนการบริจาคเลือด รวมทั้ง ไม่มีบาดแผลสด หรือแผลติดเชื้อตามร่างกาย
4. ประวัติความเจ็บป่วยด้วยโรคที่อาจถ่ายทอดไปยังผู้ป่วย
- ไม่มีประวัติเคยเป็นโรคติดเชื้อ โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือชนิดซี
- ไม่มีประวัติเคยตรวจพบเชื้อโรคตับอักเสบชนิดบี หรือชนิดซีในเลือด
- ไม่มีประวัติเคยติดเชื้อโรคเอดส์ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเอดส์ ได้แก่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ขายบริการ ทั้งหญิงและชาย, มีพฤติกรรมรักร่วมเพศหรือ เคยใช้ยาเสพติดชนิดฉีด หรือเคยถูกต้องโทษคุมขัง
- ไม่มีประวัติเป็นโรคมาลาเรียในระยะ 3 ปี
- ไม่มีประวัติเป็นผู้เสพยาเสพติดชนิดฉีด
- ไม่เคยได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดภายใน 1 ปี
- ไม่เคยได้รับการสัก เจาะหู ฝังเข็มภายใน 1 ปี
5. ไม่มีประวัติความเจ็บป่วยที่การบริจาคเลือดอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง ได้แก่
- โรคเลือดจาง โรคลมชัก โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเลือดออกง่าย โรคหัวใจ วัณโรค โรคตับ โรคไต มะเร็ง
6. การฉีดวัคซีนก่อนการบริจาคเลือด
- Rabies (โรคพิษสุนัขบ้า)
- Encephalitis (โรคเยื่อหุ้มอักเสบ)
- Hepatites B Immunoglobulin (ฉีดยาภายหลังการสัมผัสเชื้อ) เว้นระยะ 1 ปี
- Rubella (หัดเยอรมัน)
- Chickenpox (อีสุกอีใส)
- Anti – Tetanus IgG เว้นระยะเวลา 4 สัปดาห์
- Horse serum เว้นระยะเวลา 3 สัปดาห์
- Tetanus toxoid เว้นระยะเวลา 48 ชั่วโมง
- Hepatitis B vaccine บริจาคเลือดได้ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติ (สำหรับกรณีให้ vaccine เพื่อป้องกันการติดเชื้อในผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน)
7. ความถี่ของการบริจาคเลือด
- ผู้ชาย บริจาคเลือดได้ทุก 3 เดือน
- ผู้หญิง บริจาคเลือดได้ทุก 6 เดือน แต่ต้องไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์, ให้นมบุตร หรือกำลังมีประจำเดือน

ขั้นตอนการบริจาคเลือด
1. ชั่งน้ำหนักตัว
2. กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มการบริจาคเลือด ได้แก่ ชื่อ นามสกุล อายุ ที่อยู่ที่ติดต่อได้ หมายเลขโทรศัพท์ ฯลฯ
3. อ่านคำถามสำหรับผู้บริจาคเลือดและตอบตามความเป็นจริง พร้อมทั้งลงชื่อ
4. เจ้าหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับคุณสมบัติ ประวัติสุขภาพในอดีตและปัจจุบัน วัดความดันโลหิต
5. ตรวจความเข้มข้นของเลือด โดยเจ้าหน้าที่จะเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว ซึ่งถ้าต่ำกว่ามาตรฐาน ห้ามบริจาคเลือด
6. บริจาคเลือด โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจะเจาะเลือดจากบริเวณข้อพับแขน (ผู้ที่ต้องการยาชาควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนเจาะ)
- การบริจาคเลือดกินเวลาประมาณ 5 – 6 นาที
- อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเจาะเลือด เป็นของใหม่ที่ผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อยและใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- เมื่อบริจาคเลือดเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะปิดแผลให้สำลีและปลาสเตอร์ ควรใช้นิ้วมือกดทับตรงตำแหน่งที่เจาะและเหยียดแขนตรงไม่ง้อพับแขน จนกว่าเลือดจะหยุดไหล
ระยะเวลาในการเจาะเลือด
· รวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 30 - 45 นาที

การปฏิบัติตัวภายหลังการบริจาค
1. นอนพักสักครู่หลังการบริจาคเลือด ห้ามลุกขึ้นจากเตียงทันที เพราะอาจเวียนศีรษะเป็นลมได้
2. ควรรับประทานขนมหวานและน้ำหวานที่จัดเตรียมไว้ให้
3. เปลี่ยนสำลีปิดแผลด้วยปลาสเตอร์ปิดแผล ซึ่งควรดึงออกทิ้งในตอนเย็นของวันนั้น
4. หากมีอาการผิดปกติ ทั้งก่อน ขณะหรือหลังการบริจาคเลือด เช่น หน้ามืดเวียนศีรษะ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบทันที
5. หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือประวัติที่ทำให้ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ กรุณาสอบถามจากเจ้าหน้าที่และขอคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์
6. หากมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นหลังการบริจาคเลือด ควรติดต่อภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด โรงพยาบาลศิริราช ตึก 72 ปี ชั้น 3 หรือโทรศัพท์แจ้งที่หมายเลข 0 – 2412 – 2424

ภูมิปัญญาไทย

ภูมิปัญญาไทย ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย
ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
1. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม
2. ภูมิปัญญาไทยแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
3. ภูมิปัญญาไทยเป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน
4. ภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
5. ภูมิปัญญาไทยเป็นพื้นฐานสำคัญในการมองชีวิต เป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่างๆ
6. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
7. ภูมิปัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม
คุณสมบัติของผู้ทรงภูมิปัญญาไทย
ผู้ทรงภูมิปัญญาไทยเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ อย่างน้อยดังต่อไปนี้
1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆ มีผลงานด้านการพัฒนาท้องถิ่นของตน และได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทั้งยังเป็นผู้ที่ใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนาของตนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการดำรงวิถีชีวิตโดยตลอด
2. เป็นผู้คงแก่เรียนและหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้ที่หมั่นศึกษา แสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง เรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทำโดยทดลองทำตามที่เรียนมา
3. เป็นผู้นำของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่สังคม ในแต่ละท้องถิ่นยอมรับให้เป็นผู้นำ ทั้งผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการ และผู้นำตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นผู้นำของท้องถิ่นและช่วยเหลือผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
4. เป็นผู้ที่สนใจปัญหาของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญาล้วนเป็นผู้ที่สนใจปัญหาของท้องถิ่น เอาใจใส่ ศึกษาปัญหา หาทางแก้ไข และช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่างไม่ย่อท้อ จนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับของสมาชิกและบุคคลทั่วไป
5. เป็นผู้ขยันหมั่นเพียร ผู้ทรงภูมิปัญญาเป็นผู้ขยันหมั่นเพียร ลงมือทำงานและผลิตผลงานอยู่เสมอ ปรับปรุงและพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพมากขึ้นอีกทั้งมุ่งทำงานของตนอย่างต่อเนื่อง
6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน์ของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญา นอกจากเป็นผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลทั่วไปแล้ว ผลงานที่ท่านทำยังถือว่ามีคุณค่า จึงเป็นผู้ที่มีทั้ง "ครองตน ครองคน และครองงาน"
7. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เป็นเลิศ เมื่อผู้ทรงภูมิปัญญามีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เป็นเลิศ มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและบุคคลทั่วไป ทั้งชาวบ้าน นักวิชาการ นักเรียน นิสิต/นักศึกษา โดยอาจเข้าไปศึกษาหาความรู้ หรือเชิญท่านเหล่านั้นไป เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ได้
8. เป็นผู้มีคู่ครองหรือบริวารดี ผู้ทรงภูมิปัญญา ถ้าเป็นคฤหัสถ์ จะพบว่า ล้วนมีคู่ครองที่ดีที่คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ให้ความร่วมมือในงานที่ท่านทำ ช่วยให้ผลิตผลงานที่มีคุณค่า ถ้าเป็นนักบวช ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ต้องมีบริวารที่ดี จึงจะสามารถผลิตผลงานที่มีคุณค่าทางศาสนาได้
9. เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญจนได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ ผู้ทรงภูมิปัญญา ต้องเป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญ รวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและมนุษยชาติอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ
ภูมิปัญญาไทยสามารถจัดแบ่งได้กี่สาขา
จากการศึกษาพบว่า มีการกำหนดสาขาภูมิปัญญาไทยไว้อย่างหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนำมากำหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งได้เป็น 10 สาขาดังนี้
1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองในภาวการณ์ต่างๆ ได้
2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลิตผล เพื่อชะลอการนำเข้าตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้
3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้
4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการสะสมและบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุม
6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคน ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นต้น
8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดำเนินงานขององค์กรชุมชนต่างๆ ให้สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได้ตามบทบาท และหน้าที่ขององค์การ เช่น การจัดการองค์กรของกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็นต้น
9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกับด้านภาษาทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทยและการใช้ภาษา ตลอดทั้ง ด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทำสารานุกรมภาษาถิ่น การปริวรรต หนังสือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่างๆ เป็นต้น
10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ ให้บังเกิดผลดีต่อบุคคลและสิ่งแวดล้อม
ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทยเป็นอย่างไร
ภูมิปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน คือ
1. ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และธรรมชาติ
2. ความสัมพันธ์ของคนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม หรือในชุมชน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งหลาย
ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิปัญญาจึงเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของคนไทย

อาหารเช้ากับการเรียน

คนส่วนใหญ่นิยมกินอาหารวันละ 3 มื้อ แต่บางคนอาจจะกินเพียงวันละ 2 มื้อ หรือมากกว่านี้ ในคนที่กินอาหารเพียง 2 มื้อ มักจะงดเว้นมื้อเช้า ด้วยเหตุผลต่างๆกัน เช่น ต้องตื่นแต่เช้าเร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ใช้เวลาในการเดินทางนาน ไม่มีเวลาพอ สำหรับการเตรียมอาหารเช้า และบางคนงดกินอาหารเช้าด้วยเหตุผลที่ต้องการลด น้ำหนัก การงดรับประทานอาหารมื้อเช้า จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม อาจทำให้ร่างกายได้รับ พลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากกระเพาะ อาหารของคนเรามีขนาดความจุที่จำกัดสำหรับการกินอาหารแต่ละครั้งโดยเฉพาะ ในเด็กวัยเรียนซึ่งมีขนาดของกระเพาะอาหารเล็กกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ความต้องการ พลังงานและสารอาหารต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นวัยที่ยังมีการ เจริญเติบโต จึงจำเป็นต้องกินอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ โดยปกติคนเราจะพักผ่อนด้วยการนอนหลับวันละประมาณ 8-12 ชั่วโมง ในช่วง เวลานี้การใช้สารอาหารต่างๆ จะยังดำเนินไปตลอดเวลา ปริมาณสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงหลังจากที่เราพักผ่อนนอนหลับ จึงจำเป็นต้อง กินอาหารเพื่อเพิ่มระดับสารอาหารในร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติสำหรับการทำ กิจกรรมต่อไป การงดไม่กินอาหารเช้าในเด็กนักเรียน ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำจึงพบว่า ในช่วงสายของวันเด็กจะรู้สึกหิว กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิในการเรียนขาดความฉับไว ในการคิดคำนวณหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เกิดการผิดพลาดได้มากกว่า และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจะด้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า ทั้งนี้เนื่องจาก สมองของคนเรา ต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อไปหล่อเลี้ยง นอกจากนี้เด็กจะไม่มีกำลัง สำหรับการเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายอีกด้วย อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่มีความสำคัญ ยิ่งสำหรับเด็กวัยเรียน และวัยรุ่น อาหารเช้าที่เหมาะสมควรประกอบด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงพอควรทั้งนี้เพื่อ คงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กให้สูงอยู่เป็นเวลา ที่ยาวนาน จะทำให้เด็กมี ความสามารถในการเรียนรู้และประกอบกิจกรรม ที่ต้องใช้กำลังงานได้ดีขึ้น

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ (ชื่อเดิม: สนามบินหนองงูเห่า) เป็นสนามบินตั้งอยู่ที่ ถนนบางนา-ตราด ในตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เปิดใช้งานวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยใช้งานแทนท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง นโยบายรัฐบาลได้กำหนดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ และจะเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
จากข้อมูลการจัดอันดับล่าสุดของเว็บไซต์ "สมาร์ตทราเวลดอตคอม" ที่มีการสำรวจความเห็นของผู้เดินทางทั่วโลกเปิดเผยว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของไทยนั้นได้รับการจัดอันดับให้เป็นท่าอากาศยานยอดเยี่ยมอันดับที่ 4 ของโลก รองจากท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี และท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย
ชื่อสนามบิน
ชื่อของสนามบินสุวรรณภูมิ มีความหมายว่า "แผ่นดินทอง" เป็นชื่อพระราชทานโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545
ชื่อสากลของสนามบินสะกดตามการถ่ายตัวสะกดภาษาสันสกฤต ว่า "Suvarnabhumi" แทนการเขียนทับศัพท์ตามระบบราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งสะกดว่า "Suwannaphum"
ประวัติ
รัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ซื้อที่ดินหนองน้ำ 20,000 ไร่ บริเวณหนองงูเห่า จังหวัดสมุทรปราการในปี พ.ศ. 2516 สำหรับสร้างสนามบินใหม่ สนามบินมีความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาความเจริญด้านเศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว และด้านอื่นของประเทศเป็นอย่างมาก รัฐบาลจึงกำหนดให้ การก่อสร้าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องร่วมกันดำเนินการแบบบูรณาการ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย จึงได้เร่งการก่อสร้างตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ. 2545 และรัฐบาล จึงจัดตั้ง บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด เพื่อบริหารงานโครงการก่อสร้างและพัฒนาท่าอากาศยานแห่งใหม่ และเมื่อ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เสร็จสิ้นการก่อสร้างลง บทม.จึงต้องปิดบริษัท เพื่อโอนกิจการทั้งหมด ไปเป็น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยตรง
สนามบินได้เปิดทดลองใช้ในเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 โดยมีสายการบินภายในประเทศ 6 สายการบินร่วมทดลอง ได้แก่ การบินไทย นกแอร์ ไทยแอร์เอเซีย บางกอกแอร์เวย์ พีบีแอร์ และ โอเรียนท์ไทย โดยมีจำนวนผู้โดยสาร 4,800 คน จาก 24 เที่ยวบิน โดยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เดินทางจากสนามบินดอนเมืองมายังสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ ได้มีกิจกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงการแจกประกาศนียบัตรและบัตรโดยสารที่ระลึกแก่ผู้ร่วมเที่ยวบิน การนำผู้สนใจเยี่ยมชมบริเวณสนามบินโดยมัคคุเทศก์อาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมกับการท่าอากาศยาน และรถโดยสาร ขสมก. ได้จัดเส้นทางพิเศษเพื่อเข้าชมสนามบินและสถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง
นอกจากนี้รัฐบาลคาดว่าจะได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางอากาศ ภายใต้มาตรฐานนานาชาติที่ออกโดย องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และ สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เพื่อเปิดใช้ในทางพาณิชย์อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 (เริ่มย้ายและให้บินขึ้นลงได้ตั้งแต่ 15 กันยายน) และกำหนดให้วันที่ 1 กันยายน เป็นวันแรกของการทดลองบินของสายการบินจากต่างประเทศ ในการเริ่มการบินของสายการบินภายในประเทศวันแรก ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับในช่วง 1:00-6:10 น. ทำให้ประสบปัญหาในการเช็คอินของสายการบินในช่วงเวลานั้น
ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร คณะรัฐประหารตัดสินใจยึดกำหนดการเปิดสนามบินอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ตามเดิม
ในโอกาสเปิดสนามบิน ไปรษณีย์ไทยได้จัดทำแสตมป์ที่ระลึกจำนวน 18 ล้านดวง เป็นภาพอาคารผู้โดยสาร พร้อมเครื่องบิน และตราสัญลักษณ์บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ชนิดราคา 3 บาท พร้อมซองวันแรกจำหน่ายราคาซองละ 10 บาท จำหน่ายวันที่ 28 กันยายน เป็นวันแรก

การคมนาคม
สนามบินสุวรรณภูมิมีทางเข้าออกทั้งหมด 6 เส้นทาง โดย 5 เส้นทางสำหรับรถยนต์ รถแท็กซี่ รถโดยสารขสมก และรถโดยสารแอร์พอร์ตเอกซ์เพรส จากทาง (1) ถนนกรุงเทพฯ-ชลบุรี (มอเตอร์เวย์) (2) ถนนร่มเกล้า และ ถนนกิ่งแก้ว (3) ถนนบางนา-ตราดและทางพิเศษบูรพาวิถี (4) ถนนอ่อนนุช และ (5) ถนนกิ่งแก้ว โดยเส้นทางที่ 6 เป็นเส้นทางสำหรับรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายพญาไท – มักกะสัน – สุวรรณภูมิ วิ่งเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
สำหรับรถส่วนบุคคล มีอาคารจอดรถ 2 อาคารรับรองได้ 5,000 คัน สำหรับการจอดรถระยะสั้น และลานกว้างขนาดใหญ่สำหรับการจอดรถระยะยาวโดยจะมีรถชัตเติลบัสบริการ
รถแท็กซี่สามารถเข้าส่งผู้โดยสารที่จุดจอดขาออกที่ชั้น 4 และสามารถจอดรอรับผู้โดยสารได้ที่ชั้น 2 สำหรับรอรับผู้โดยสารขาเข้า
รถโดยสารของขสมก บริการในราคาปกติเพิ่มอีก 10 บาท เมื่อเข้า-ออกบริเวณพื้นที่ของท่าอากาศยาน โดยมีบริการทั้งหมด 11 เส้นทาง โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่บางกะปิ แฮปปี้แลนด์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คลองเตย จังหวัดสมุทรปราการ 2 เส้นทาง (แบ่งเป็น เส้นทางผ่านถนนสุขุมวิท และเส้นทางผ่านถนนศรีนครินทร์) รังสิต 3 เส้นทาง (แบ่งเป็น เส้นทางผ่านถนนรามอินทรา เส้นทางผ่านถนนวิภาวดีรังสิต และเส้นทางผ่านถนนรังสิต-นครนายก) สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ (ใหม่) และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาพระราม 2
รถโดยสารแอร์พอร์ตเอกซ์เพรสบริการในราคาไม่เกิน 150 บาท มีบริการทั้งหมด 4 เส้นทาง โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่สีลม บางลำพู ถนนวิทยุ และหัวลำโพง
รถเมล์ปรับอากาศ ที่เดินทางเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประกอบด้วย
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 549 เส้นทาง มีนบุรี - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 550 เส้นทาง แฮปปี้แลนด์ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 551 เส้นทาง อนุสาวรีชัยสมรภูมิ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 552 เส้นทาง อู่คลองเตย - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 552A เส้นทาง สมุทรปราการ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผ่านถนนสุขุมวิท
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 553 เส้นทาง สมุทรปราการ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผ่านถนนศรีนครินทร์
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 554 เส้นทาง รังสิต - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผ่านถนนรามอินทรา วงแหวนรอบนอกตะวันออก
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 555 เส้นทาง รังสิต - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผ่านถนนวิภาวดีรังสิต
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 556 เส้นทาง ทางด่วน สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพมหานคร (สายใต้) - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 558 เส้นทาง ทางด่วน เซ็นทรัลพระราม 2 - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รถเมล์ปรับอากาศสายที่ 559 เส้นทาง รังสิต - วงแหวนรอบนอกตะวันออก - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกับโลกในที่สุด ขณะนี้ผลกระทบดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การละลายของน้ำแข็งทั่วโลก ทั้งที่เป็นธารน้ำแข็ง (glaciers) แหล่งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก และในกรีนแลนด์ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำแข็งที่ละลายนี้จะไปเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร เมื่อประกอบกับอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำสูงขึ้น น้ำก็จะมีการขยายตัวร่วมด้วย ทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมาก ส่งผลให้เมืองสำคัญ ๆ ที่อยู่ริมมหาสมุทรตกอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทันที
มีการคาดการณ์ว่า หากน้ำแข็งดังกล่าวละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6-8 เมตรทีเดียว
ผลกระทบที่เริ่มเห็นได้อีกประการหนึ่งคือ การเกิดพายุหมุนที่มีความถี่มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ดังเราจะเห็นได้จากข่าวพายุเฮอริเคนที่พัดเข้าถล่มสหรัฐหลายลูกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่ละลูกก็สร้างความเสียหายในระดับหายนะทั้งสิ้น สาเหตุอาจอธิบายได้ในแง่พลังงาน กล่าวคือ เมื่อมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น พลังงานที่พายุได้รับก็มากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้พายุมีความรุนแรงกว่าที่เคย
นอกจากนั้น สภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้บางบริเวณในโลกประสบกับสภาวะแห้งแล้งอย่างอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น ขณะนี้ได้เกิดสภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอีกเนื่องจากต้นไม้ในป่าที่เคยทำหน้าที่ดูดกลืนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ล้มตายลงเนื่องจากขาดน้ำ นอกจากจะไม่ดูดกลืนแก๊สต่อไปแล้ว ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการย่อยสลายด้วย และยังมีสัญญาณเตือนจากภัยธรรมชาติอื่น ๆ อีกมา ซึ่งหากเราสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นผลจากสภาวะนี้ไม่น้อย
การแก้ปัญหาโลกร้อน
แล้วเราจะหยุดสภาวะโลกร้อนได้อย่างไร
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าเราคงไม่อาจหยุดยั้งสภาวะโลกร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าเราจะหยุดผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้ เพราะโลกเปรียบเสมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีกลไกเล็ก ๆ จำนวนมากทำงานประสานกัน การตอบสนองที่มีต่อการกระตุ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะสมดุล และแน่นอนว่า สภาวะสมดุลอันใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมจะแตกต่างจากสภาวะปัจจุบันอย่างมาก แต่เราก็ยังสามารถบรรเทาผลอันร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้ความรุนแรงลดลงอยู่ในระดับที่พอจะรับมือได้ และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ช้าลง กินเวลานานขึ้น สิ่งที่เราพอจะทำได้ตอนนี้คือพยายามลดการผลิตแก๊สเรือนกระจกลง และเนื่องจากเราทราบว่าแก๊สดังกล่าวมาจากกระบวนการใช้พลังงาน การะประหยัดพลังงานจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดอัตราการเกิดสภาวะโลกร้อนไปในตัว

ปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำ


รุ้งกินน้ำ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก โดยเกิดขึ้นจากแสงแดดส่องผ่านละอองน้ำในอากาศ ทำให้แสงสีต่าง ๆ เกิดการหักเหขึ้น จึงเห็นเป็นแถบสีต่าง ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า รุ้งปฐมภูมิจะประกอบด้วยสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดงโดยมีสีม่วงอยู่ชั้นในสุดและสีแดงอยู่ชั้นนอกสุด ส่วนรุ้งทุติยภูมิจะมีสีเช่นเดียวกันแต่เรียงลำดับในทิศทางตรงกันข้าม

การมองเห็น
เราสามารถมองเห็นรุ้งกินน้ำได้เมื่อมีละอองน้ำในอากาศและมีแสงอาทิตย์ส่องมาจากด้านหลังของผู้สังเกตการณ์ในมุมที่สูงจากพื้นไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่รุ้งกินน้ำจะปรากฏให้เห็นชัดเจนเมื่อท้องฟ้าส่วนมากค่อนข้างมืดครึ้มด้วยเมฆฝน ส่วนผู้สังเกตการณ์อยู่ในที่พื้นที่สว่างซึ่งมีแสงส่องจากดวงอาทิตย์ จะทำให้มองเห็นรุ้งกินน้ำพาดผ่านฉากหลังสีเข้ม
ปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำยังอาจพบเห็นได้ในบริเวณใกล้กับน้ำตกและน้ำพุหรืออาจสร้างขึ้นเองได้โดยการพ่นละอองน้ำไปในอากาศกลางแสงแดด รุ้งกินน้ำยังอาจเกิดจากแสงอื่นนอกจากแสงอาทิตย์ ในคืนที่แสงจันทร์มีความสว่างมากๆ อาจทำให้เกิดรุ้งกินน้ำก็ได้ เรียกว่า moonbow แต่ภาพรุ้งที่เกิดขึ้นจะค่อนข้างจางมองเห็นได้ไม่ชัด และมักมองเห็นเป็นสีขาวมากกว่าจะเห็นเป็นเจ็ดสี
การถ่ายภาพวงโค้งสมบูรณ์ของรุ้งกินน้ำทำได้ยาก เพราะจำเป็นต้องกระทำในมุมมองประมาณ 84° ถ้าใช้กล้องถ่ายภาพแบบปกติ (35 mm) จะต้องใช้เลนส์ขนาดความยาว 19 mm หรือเลนส์ไวด์แองเกิลจึงจะใช้ได้ ถ้าผู้สังเกตการณ์อยู่บนเครื่องบิน อาจมีโอกาสมองเห็นรุ้งกินน้ำแบบเต็มวงได้ โดยมีเงาของเครื่องบินอยู่ที่ศูนย์กลางวง
รุ้งกินน้ำทำไมโค้ง
หลังฝนตกเราต่างรอคอยความงดงามของรุ้งกินน้ำ ชื่นชมกับสีสันทั้ง 7 อันประกอบด้วย สีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด สีแดง ซึ่งแถบสีรุ้งจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในลักษณะโค้งเท่านั้น
ปรากฏการณ์เช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้อธิบายไว้ว่าเมื่อแสงตกกระทบกับหยดน้ำ จะทำให้เกิดการหักเหหรือโค้งงอ แสงที่ผ่านออกมาทางด้านหลังของหยดน้ำก็จะเกิดการหักเหมากกว่าเดิม ส่วนต่างมุมที่ตกกระทบและผ่านออกไปมีค่าเฉลี่ยประมาณ 42 องศา โดยที่แสงแต่ละสีมีการโค้งงอ หรือเบี่ยงเบนต่างกัน จึงเป็นเหตุให้สามารถเห็นแสงสีรุ้งได้
สำหรับรุ้งกินน้ำที่เห็นบนท้องฟ้านั้น เกิดจากแสงอาทิตย์ตกกระทบละอองน้ำฝนจำนวนมากนับล้านๆหยด และผ่านออกมาด้วยค่ามุมเฉลี่ย 42 องศา หากสองคนยืนอยู่ในตำแหน่งห่างกันประมาณ 2-3 ฟุต จะเห็นรุ้งกินน้ำขึ้นในตำแหน่งเดียวกัน แต่รุ้งกินน้ำที่ทั้งสองเห็นนั้นจะไม่ใช้รุ้งกินน้ำเส้นเดียวกัน เพราะรุ้งกินน้ำจะเกิดจากละอองน้ำฝนที่อยู่ต่างตำแหน่งกันนั่นเอง
ส่วนสาเหตุที่รุ้งกินน้ำโค้งหรือไม่เป็นเส้นตรงเหมือนรูปอื่นๆ นั้นก็เนื่องมาจากละอองน้ำฝนหลายๆละอองนั้น ทำให้แสงเปลี่ยนทิศทางต่างกันคือมีทั้งที่โค้งขึ้นเป็นมุม 42 องศา โค้งลงเป็นมุม 42 องศาและโค้งออกมาทางด้านข้างของละอองน้ำ แต่คนเราจะเห็นเพียงแสงสีรุ้งที่โค้งขึ้นมากกว่า 42 องศาเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเห็นเส้นรุ้งเป็นรูปโค้ง

รุ้งกินน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร
รุ้งกินน้ำมีสีสันต่างๆ เกิดจากปรากฎการณ์ระหว่างแสงกับหยดน้ำที่ล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อเรามองด้วยตาเปล่าแสงอาทิตย์จะเป็นสีขาว แต่ในความเป็นจริงนั้นแสงอาทิตย์ประกอบด้วยแสงสีต่างๆ 7 สีอันได้แก่ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสดและสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผิวของหยดน้ำฝนก็จะเกิดการหักเหของแสงแยกออกเป็นสีสันต่างๆ โดยที่แสงนี้เหล่านี้จะสะท้อนผิวด้านในของหยดน้ำหักเหอีกครั้งเมื่อสะท้อนออก ส่วนมากแสงจะสะท้อนเป็นรุ้งตัวเดียว แต่ในบางครั้งแสงจะสะท้อนถึง 2 ครั้งก็เท่ากับว่าจะทำให้เกิดรุ้งกินน้ำขึ้นถึง 2 ตัว
จากภาพด้านบนแสดงให้เห็นว่าในบรรยากาศภายในหยดน้ำ ทำหน้าที่เปรียบเหมือนปริซึม เมื่อแสงอาทิตย์ผ่านปริซึม แสงอาทิตย์จะแยกออกเป็นสีต่างๆ แสงแต่ละสีจะหักเหไปด้วยมุมต่างๆ กันขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นโดยที่แสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุด แต่จะหักเหด้วยมุมน้อยที่สุด ขณะที่แสงสีม่วงมีความยาวคลื่นสั้นที่สุดจะหักเหมากที่สุด
รุ้งกินน้ำที่เกิดจากการสะท้อนของแสงแดดจากหยดน้ำในก้อนเมฆที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า โดยที่แสงสีแดงจะอยู่บนสุด สีม่วงจะอยู่ล่างสุด ดังนั้นผู้สังเกตจะพบเห็นได้ไม่จำเป็นเสมอไปว่ารุ้งกินน้ำจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณฝนที่ตกเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นได้ในบริเวณน้ำตก โดยที่น้ำตกนั้นมีละอองน้ำล่องลอยในอากาศและผู้สังเกตอยู่บริเวณด้านล่างจากละอองน้ำที่ล่องลอย และแสงแดงทะลุผ่านก็ทำให้เกิดเห็นรุ้งกินน้ำได้อีกเช่นกัน รุ้งกินน้ำที่เกิดขึ้นทำใมถึงมีลักษณะโค้งก็เนื่องมาจากหยดน้ำที่ทำให้เกิดรุ้งกินน้ำนั้นมีลักษณะกลม และผู้สังเกตจะพบว่า เวลาเรามองดูรุ้งกินน้ำขณะที่เราอยู่บนพื้นดิน เราจะเห็นเพียงครึ่งวงกลมเท่านั้น เนื่องจากรัศมีในการมองเห็นของแสงที่สะท้อน แต่ถ้าหากผู้สังเกตอยู่บนที่สูงเช่นยอดเขา หรือหากให้ดีบนเครื่องบินผู้สังเกตจะพบเห็นรุ้งกินน้ำเป็นวงกลมเลยทีเดียว



วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เกร็ดน่ารู้ วิธีเรียนหนังสือ

1. มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน จำไว้ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรามีสมาธิในการเรียน
2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหนและลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จ
3. บางวิชาที่ยากๆให้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม จะช่วยให้เก่งกันยกกลุ่ม
4. มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย ฝึกจนเป็นนิสัย อย่าตั้งใจเรียนหนังสือเป็นพักๆ
5. ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6. นั่งใกล้ครูมากที่สุด จะได้ไม่มีอะไรมาดึง ความสนใจในการเรียนของเรา
7. ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
8. จัดลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องทำ เช่น วิชาไหนด่วนที่สุด หรือหัวข้อไหนไม่เข่าใจ ต้องเรียงลำดับไว้ และ ทำ ตามให้ได้
9. ทำความเข้าใจว่าครูผู้สอนแต่ละวิชามีการให้คะแนนอย่างไร คะแนนเก็บเท่าไร คะแนนสอบเท่าไร วางแผนทำคะแนนให้ดีในแต่ละส่วน
10. สำคัญที่สุดในการเรียน ก็คือมุ่งมั่นตั้งใจเรียนไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า Work Smart , Not Hard

ชีวิตพบเจอทางตัน..ให้เดินถอยหลังแล้วตั้งสติ

หากอุปสรรคคือกำแพงสูงใหญ่ทุบกำแพงก็เหมือนทำร้ายตัวเองทางอ้อมเหนื่อยก็เหนื่อย...เจ็บตัวอีกต่างหากเชื่อหรือไม่ว่า... เวลาเราเจอปัญหาหรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ เรามักขาด "สติ" สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ คำถาม และคำตอบก็คือ "ความว่างเปล่า" ผลที่ได้รับจากความว่างเปล่านั้นก็คือ "ความฟุ้งซ่าน"บ่อยครั้งที่ใครหลายๆ คน ฟุ้งซ่านไปกับการคิดอะไรไม่ออกเมื่อต้องเผชิญปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงินๆ ทองๆ หรือเรื่องความรัก แม้ว่าบางคนพยายามจะเป็นนักแก้ปัญหาที่ดี แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก"เหตุผลเดียวที่ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้คือ การใช้อารมณ์และความรู้สึกในการแก้ไขปัญหา"เวลาคนเราใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เรามักจะทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล เหมือนคนบ้า เหมือนคนปัญญาอ่อน พูดง่ายๆ ก็คือ "งี่เง่า" เลยทำให้คำตอบของทุกๆ คำถามคือความว่างเปล่า ไม่มีทางออกใดๆให้กับปัญหานั้น ลองเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างคนสองคนที่เจอทางตันเป็นกำแพงสูงใหญ่คนแรกทำทุกวิถีทางที่จะทุบกำแพงนั้น ในขณะที่อีกคนพยายามหาวิธีปีนกำแพงเพื่อจะข้ามไปให้ได้ อยากถามว่าวิธีไหนจะได้ผลกว่ากันการแก้ปัญหาที่ดีจึงควรมีสติเป็นตัวช่วยเสมอ เจอปัญหาก็อย่าเพิ่งมุทะลุ อย่าโวยวาย อย่าทำให้ตัวเองเครียดกับปัญหานั้นๆ ทุบกำแพงก็เหมือนทำร้ายตัวเองทางอ้อม เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บตัวอีกต่างหาก ลองถอยหลังออกมาทีละก้าวๆ เราจะมีเวลาได้สำรวจดูว่า กำแพงนั้นสูงใหญ่แค่ไหน กว้างแค่ไหน ลึกแค่ไหนมีหนทางจะปีนป่ายข้ามมันไปได้อย่างไร ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เหมือนคำกล่าวที่ว่า .."จะกลัวกับความมืดไปทำไม เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว"บางทีปัญหาก็ต้องอาศัยเวลามาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความคิดที่จะหาหนทางแก้ไข เมื่อเราคิดอย่างถี่ถ้วน เราจะรู้ว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ทำอะไรก่อน ทำอะไรหลัง และเราควรจะใช้เวลาแก้ไขปัญหานั้นมากน้อยเพียงใด เร็วไปอาจจะไม่เกิดประโยชน์ ช้าไปก็อาจจะทำให้ปัญหานั้นบานปลาย และแก้ไขไม่ได้เชื่อมั่นเถอะว่า .. มีสติเมื่อไหร่ เราก็จะพบทางออกเมื่อนั้น บางทีทางที่มันตันก็จะช่วยสอนให้เรารู้ว่า ถ้าไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราก็จะไม่ประมาทกับการแก้ไขปัญหา และเมื่อใดที่เรารู้จักแก้ไขปัญหาด้วยความรอบคอบ เราจะรู้จักคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเองอ่านเจอข้อความดีๆ จากหนังสือฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง เขียนโดยอาจารย์สมชาติ กิจยรรยง เขากล่าวไว้ว่าปัญหาทำให้เราเข้มแข็งเวลาทำให้เราเชี่ยวชาญสถานการณ์ทำให้เรารู้จักแก้ไขการตัดสินใจ ทำให้เรารู้ว่าถูกหรือผิดความคิดทำให้เราเลิศทางปัญญาหากวันนี้พบเจอทางตัน ถอยหลังก้าวออกมาอย่างมีสติ แล้วเราจะค้นพบอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั้น...มันอยู่ในความคิดที่นิ่งสงบของเราแล้วนั่นเองอ่านเรื่องราวข้างต้นแล้ว คงเห็นว่า "กุญแจ" สำคัญ ที่จะช่วยทำให้เราสามารถก้าวพ้น "ปัญหา" จนออกไปสู่พบกับแสงสว่างได้ก็คือ "สติ" ขอเพียงตั้ง "สติ" ให้มั่น พิจารณาหนทางต่างๆ ด้วย "เหตุผล" จะเกิดเป็น "ภูมิคุ้มกัน" นำทางให้ตัวเองออกจากเขาวงกตของ "ปัญหา" ได้อย่างแน่นอน