วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

“เปิดโผ….10 อาชีพฮอตฮิต เรียนแล้วไม่ตกงาน !”


1. การบัญชี - 19.71%
2. แพทยศาสตร์ - 18.75%
3. บริหารธุรกิจ - 12.02%
4. คอมพิวเตอร์ - 10.10%
5. วิศวกรรมศาสตร์ - 10.10%
6. การตลาด - 8.65%
7. นิติศาสตร์ - 8.17%
8. พยาบาลศาสตร์ - 4.81%
9. การจัดการ - 4.33%
10. รัฐศาสตร์ - 3.36%

เห็นแต่ละวิชาแล้ว ก็ตกใจเล็กน้อยว่านี่หรอที่เรียนแล้วไม่ตกงาน
บัญชีคนจบเยอะมากๆๆๆๆ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเลย
ตาม มาด้วยแพทยศาสตร์ซึ่ง สาขาวิชาแพทย์
ผมยอม รับอย่างนึงว่าคนจบแพทย์ได้แล้วทำงานยากมากที่จะตกงานเพราะว่า
คนเหล่า นี้สามารถที่จะทำงานได้ทั้งในโรงพยาบาล รวมถึงเปิดกิจการด้วยตัวเอง เช่น คลีนิก
อันดับอื่นๆ

ส่วนบรรณารักษ์ สารสนเทศ สารนิเทศ อันนี้ให้อยู่ใน อันดับ 9 คือ การจัดการ
คนเรียนสาขาวิชานี้น้อยส่วน หนึ่งเกิดจากความคิดที่ว่า
เรียนแล้วเอาไปทำอะไร นอกจากห้องสมุด จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาชีพนี้
ค่อนข้างขาดแคลนบุคลากร ยิ่งบางมหาวิทยาลัยถึงขนาดต้องเปลี่ยนชื่อหลักสูตรไปเลย
เพราะว่ากลัวโลก ภายนอกจะไม่ยอมรับหลักสูตรนี้
แต่เอาเหอะครับ อย่าน้อยก็ไม่ใช่ผมแล้วกัน เพราะผมก็ยังยืนหยัดว่าจบ บรรณารักษ์มาอยู่ ดี

อีกสาขาวิชาหนึ่งที่ผมแปลกใจมาก คือ นิเทศศาสตร์ สาขานี้ไม่ติดอันดับ
หรือเพราะว่าคน จบเยอะแล้ว หางานยาก อันนี้ไม่แน่ใจ
และอีกสาขาก็คือเกี่ยวกับพวก ภาษาเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน
ผม ว่าสาขาด้านนี้คนไม่น่าจะตกงาน
เพราะว่าตราบใดที่คนต่างชาติ ยังพูดไทยไม่คล่อง อาชีพนี้ก็นับว่าสำคัญ

ไม่ไกล...แค่ใจเอื้อม


เมื่อใดที่ใจเราว้าวุ่นอยู่ด้วยสิ่ง กระทบทั้งจากโลกภายนอก และจากความฟุ้งซ่านภายในใจของเรา ความทุกข์เร่าร้อนเกิดขึ้นเพราะเราตามไม่ทันความคิดนั่นเอง ความนึกคิด
ที่ ปรุงแต่งไปโดยมีความคาดหวังเป็นเชื้อเพลิง
เผาไหม้ให้โทษแก่เราเสมอ...

แต่เมื่อใดใจเราสงบระงับเสียจากความฟุ้งซ่าน
อันปรุง แต่งไปทั้งอดีตและอนาคต ทั้งเรื่องที่ชอบและ
ที่ชัง ใจเราก็จะว่างเว้นจากการพเนจรไปตามอารมณ์
น้อยใหญ่ เมื่อนั้นจิตใจเราก็จะว่าง และปล่อยวาง
จากกระแสความคิดอันสับสน ไปอยู่ในสภาพอันสงบเย็นเป็นสุขณ ที่นั้น มีความคิดความเห็นอันถูกอันควรทุกอย่างบรรจุอยู่ในจิตที่สงบ...

'ความสงบ' เป็นของใกล้ตัว แต่เรามักมองข้ามคุณค่าไป
โดยการปล่อยใจให้เกาะกุมอยู่กับสิ่งกระทบ แล้วครุ่นคิด
ไปตามสิ่งเหล่านั้นอย่างหยุดยั้งไม่อยู่ จนเกิดอารมณ์
หวั่น ไหว ดุจผิวน้ำใสที่ไกวกระฉอก มิหนำซ้ำเรายังชอบ
ทำลายความสงบของจิตใจ เสียบ่อย ๆ ด้วย
การสร้างภาพ เสียง และข่าวสารขึ้นมามากมาย
ในยุค เทคโนโลยีแห่งโลกาภิวัตน์อันมากเกินพอ
สำหรับความจำเป็นพื้นฐาน หรือปัจจัย 4

มลภาวะทางตา ทางหู และทางอารมณ์เหล่านี้
จองจำเราไว้ มิให้ว่างเว้นเลย จากการปรุงแต่งเป็นความสุขความทุกข์ ความรักความชัง ความดึงดูดและผลักดัน
อย่าง น่าเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก

ขณะอยู่กับธรรมชาติที่เงียบสงบ เราบางคนอาจรู้สึกว่า
มัน หงอยเหงาเปล่าประโยชน์ ต้องหาอะไรมาทำ มาอ่าน
มาดู มาฟัง ต้องหาการละเล่นมาฆ่าเวลา หรือหาความอึกทึกครึกโครมมาแก้เหงา เราจึงไม่เคยเปิดโอกาสให้จิต
ได้พักผ่อนอยู่กับบ้านที่แท้จริงคือ. ..'ความสงบ' อันเป็น
บ่อเกิดแห่งพลังใจ ซึ่งช่วยจุดประกายสติสัมปชัญญะ
ให้ เราเฝ้ามองและเข้าใจตนเอง ถึงความเป็นไปที่กำลังดำเนินอยู่ในจิต และความต้องการอันแท้จริงของชีวิต...

มารู้ตัวแทบทุกครั้ง ก็เมื่อถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
ดีใจ เสียใจ ลิงโลด โกรธ รัก ริษยา และบางทีก็เผลอเอ่ยวาจาหรือกระทำสิ่งอันไม่เหมาะควรไปเสร็จ อันมีแต่นำพาชีวิตของเราให้ร้อนรุ่ม ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเก่า...

ดูเหมือนว่าเราชอบลงทุนแสวงหาสิ่งภายนอกมาย่ำยี
วิหาร แห่งความสงบและดวงปัญญาในใจของเราเอง...
ทุกแห่งหน แม้ในชนบทที่แสนสงบ ผู้คนยังทำลาย
ความสงบไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นยวดยานพาหนะ
ที่แผด เสียงราวระบายความคับแค้นใจ
ดนตรีที่แข็งกันกระหึ่มราวจะกลบเสียงแห่ง ความทุกข์
ความแตกตื่นในสินค้า ข้อมูลและข่าวสารจากทุกมุมโลก
ที่ คอยปิดบังความรู้สึกอ่อนโยนและจริงใจที่พึงมีต่อตนเอง

เรายินดีหามันมาบรรจุไว้ในใจจนเต็มแน่นทุกวัน ๆ
ไม่ เหลือที่เลยให้..'สติ'
ได้เกิด ให้..'ความสงบ'ได้กล่อม
และ ให้..'ปัญญา'ได้ชโลมชีวิตนำทางเรา
ไปสู่ความสุขอันสงบเย็น ปราศจากความเร่าร้อนดิ้นรน...

หากเรา รู้จักศิลปะของการทำใจให้เป็นอิสระ แม้เพียงครู่สั้นๆ อาจด้วยการหลีกห่างจากสถานที่อันระงมไปด้วยสิ่งเร้า
ไปสู่เขตคามที่มี ความทะยานอยากน้อย หรือการเจริญสติไว้ในสมาธิ โดยวิธีหนึ่งวิธีใดที่เหมาะกับจริตเรา
ตามครรลองที่ถูกต้อง เราก็จะได้กลับไปพบกับรสชาต
แห่งความสงบที่เราจากลามานาน หรือไม่เคยพบเห็นเลย เกิดความรู้เท่าทันความนึกคิดของตนเอง และเกิดความ
เข้า ใจในสภาวะธรรมต่างๆตามความเป็นจริง
อันล้วนทำให้ชีวิตเราหมุนไปในทางที่ ดีขึ้น และเบาบาง
จากความหลง นับเป็นรางวัลชีวิตที่ตอบแทนเรา
อย่าง คุ้มค่าและประณีตยิ่งกว่าการปล่อยใจให้
กระเจิงไปกับอารมณ์ตามโลกภายนอก จากที่เราคลั่งไคล้ มัวเมา...ฯ

นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบเป็น ไม่มี...

ขอนอบน้อมคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์


วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถิ่นกำเนิดชนชาติไต หรือไท

ข้อมูลเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดคนไต หรือคนไทนั้น ส่วนมาก มาจากชาวตะวันตก ซึ่งเป็นผู้สำรวจค้นคว้าด้วยตนเอง เช่นเดินทางไปสำรวจ

สอบสวนค้นคว้าด้านภาษา การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากประจักษ์พยานไปประมวลเป็นงานเขียน (Paper)หรือ ราย งานการสำรวจ (report) หรือบางวิธีก็สืบค้นนำข้อมูลที่ได้จากประจักษ์พยานไปประมวลเป็นงานค้นคว้า ของชาวต่าง ประเทศที่เรียบเรียงไว้นั้นเป็นที่อ้างอิง ดังนั้นวิธีการดังกล่าวรวมทั้งการศึกษาค้นคว้าของคนไทยได้ก่อให้เกิดความ หลากหลายในทัศนะเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของคนไตหรือคนไท ดังนี้

1.กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดคนไต หรือไท อยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ประเทศจีน
เตเรียน เดอ ลาคูเปอรี (Albert Étienne Jean Baptiste Terrien De Lacouperie) ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ ประจำมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีน เป็นเจ้าของความคิดนี้ ผลงานของท่านชื่อ The Cradle of the Shan Race (ถิ่นกำเนิดชนชาติไต หรือ ซาน) ตีพิมพ์ พ.ศ.2428 อาศัยหลักฐานจีนโดยพิจารณาความคล้ายคลึงกันทางภาษาของผู้คนในจีนและเอเชียตะ วันออกเฉียงใต้ แล้วสรุปว่า คนเชื้อชาติไตตั้งถิ่นฐานในดินแดนจีนก่อนจีน คือเมื่อ 2208 ปีก่อนคริสตกาล ดังปรากฏในรายงานการสำรวจภูมิประเทศจีน ถิ่นที่อยู่ของคนไทยที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนนี้อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนในปัจุบัน
งาน ของลาคูเปอรี ได้รับการสืบทอดต่อมาในงานเขียนของนักวิชาการไทย เช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประภาศิริ เสฐียรโกเศศ พระยาอนุมานราชธน หลวงวิจิตรวาทการ และศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์

2. กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดคนไตอยู่แถบเทือกเขาอัลไต ทางตอนเหนือของประเทศจีน
เจ้าของความคิด คือ ผู้เผยแพร่ศาสนาชาวอเมริกัน ชื่อ วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ (Dr. William Clifton Dodd) ได้เดินทางไปสำรวจความเป็นอยู่ของชนชาติต่าง ๆ ในดินแดนใกล้เคียงพร้อมทั้งเผยแพร่ศาสนาด้วย ท่านเป็นนักวิชาการตะวันตกคนแรกคนหนึ่งที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชาติพันธุ์ ของชนชาติไต (one of the first ethnologists of the Tai race) และสะสมข้อมูลเกี่ยวกับ ด้านภาษา การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของชนชาติไต โดยเริ่มจากที่ประเทศไทย จังหวัดเชียงราย เชียงตุง สิบสองปันนา ยูนนาน จนถึง ฝั่งทะเลกวางตุ้ง ผลจากการสำรวจปรากฏในงานเขียนเรื่อง The Tai Race : The Elder Brother of the Chinese (ชนชาติไตเป็นชนชาติที่เก่าแก่กว่าจีน) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ.2452 งานเขียนนี้สรุปว่าไต หรือ ไท สืบเชื้อสายจากมองโกล (Mongoloid race) และเป็นชาติเก่าแก่กว่าจีนและฮิบรู งานเขียนของ วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ได้รับความสนใจทั้ง ชาวไทยและต่างประเทศ นักวิชาการไทยคนสำคัญที่สืบทอดความคิดของหมอดอดด์ คือ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ได้เขียนงานเขียนชื่อ “หลักไทย” เป็นหนังสือแต่งทางประวัติศาสตร์ ได้รับพระราชทานรางวัลของพระบาทสมเด็กพระปกเกล้าฯ กับประกาศนียบัตรวรรณคดีของราชบัณฑิตยสภา ใน พ.ศ.2471 ในหนังสือ หลักไทย สรุปว่าแหล่งกำเนิดของคนไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต (แหล่งกำเนิดของมองโกลด้วย) หลักสูตรไทยได้ใช้เป็นตำราเรียนประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการเป็นเวลา นาน แต่ปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับน้อยมาก




3.กลุ่มที่เชื่อว่าไทมีถิ่นกำเนิดกระจัด กระจายทั่วไป

ใน บริเวณตอนใต้ของจีนและทางเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ ตลอดจนแคว้นอัสสัมของอินเดีย
นักสำรวจชาวอังกฤษ ชื่อ โคลกูฮุน (Archibal R. Colguhon) เป็นผู้ริเริ่มความเชื่อนี้ เขาได้เดินทางจากกวางตุ้งตลอดถึงมัณฑเลย์ในพม่าและได้เขียนหนังสือชื่อ Chrysi เล่าเรื่องการเดินทางสำรวจดินแดนดังกล่าว และเขียนรายงานไว้ว่าพบคนไทในแถบนี้ งานเขียนนี้ตีพิมพ์ในอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2428 ผู้เขียนได้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมภูมิศาสตร์ของอังกฤษ ต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน ทำให้แนวคิดนี้แพร่หลายออกไป

นอกจากนี้มีงานค้นคว้าประเภทอาศัยการตี ความหลักฐานจีนอีก เช่น งานของ E.H. Parker ปาร์คเกอร์ กงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหลำ เขียนบทความเรื่องน่านเจ้า พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2437 โดยอาศัยตำนานจีน บทความนี้พูดถึงอาณาจักรน่านเจ้าเป็นอาณาจักรของคนไทยเฉพาะราชวงศ์สินุโลและ คนไทยเหล่านี้ถูกคนจีนกดดันถึงอพยพลงมาทางใต้ งานของเขียนปาร์คเกอร์ได้รับการสนับสนุนจากทั้งนักวิชาการตะวันตกและจีน (ศาสตราจารย์ติง ศาสตราจารย์ โชนิน ศาสตราจารย์ชุนแชง) และญี่ปุ่น (โยชิโร ชิราโทริ)
งานค้นคว้าที่เดิ่นอีกคืองานของ วิลเลียม เคร์ดเนอร์ (Willian Credner) ซึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับยูนนานโดยสำรวจภูมิประเทศและเผ่าพันธุ์ที่ตกค้างในยู นนาน สรุปว่าถิ่นเดิมของชนเผ่าไทควรอาศัยในที่ต่ำใกล้ทะเล เช่น มณฑลกวางสี กวางตุ้ง ส่วนแถบอัลไตคนไทไม่น่าจะอยู่เพราะคนไทชอบปลูกข้าว ชอบดินแดนแถบร้อนไม่ชอบเนินเขา

นอกจากนี้ วูลแกรม อีเบอร์ฮาด (Wolgram E berhard) ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และโบราณคดีจีน ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของไทยในงานเขียนชื่อ A History of China (พิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ) สรุปว่าเผ่าไทอยู่บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ต่อมาอพยพมาอยู่แถบยูนนานและดินแดนในอ่าวตังเกี๋ย (สมัยราชวงศ์ฮั่น) ได้สร้างอาณาจักรเทียนหรือแถน และถึงสมัยราชวงศ์ถัง เผ่าไทได้สถาปนาอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นที่ยูนนาน

งานเขียนของบุคคล เหล่านี้ได้ให้แนวคิดแก่นักวิชาการไทยและต่างประเทศในระยะต่อมา เช่น ยอร์ช เซเดส์ ชาวฝรั่งเศส ได้สรุปว่าชนชาติไต หรือไทอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบตังเกี๋ย ลาว สยาม ถึงพม่า และอัสสัม

ส่วนนักวิชาการไทยที่สนใจ ศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของคนไททั้งจากเอกสารไทยและต่างประเทศคือพระยาประชา กิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) งานเขียนของท่าน คือ พงศารโยนก ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ.2441-2442 งานชิ้นนี้สรุปว่าคนไทมาจากตอนใต้ของจีนและ นักวิชาการไทยอีกท่านหนึ่งคือ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ใช้วิธีการทางนิรุกติศาสตร์ วิเคราะห์ตำนาน พงศาวดารท้องถิ่นทางเหนือของไทยและตรวจสอบกับจารึกของประเทศข้างเคียง เขียนหนังสือ ชื่อ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และจาม และลักษณะสังคมของชื่อชนชาติ” พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ.2519 จิตรสรุปว่าที่อยู่ของคนเผ่าไท อาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและบริเวณภาคเหนือของไทย ลาว เขมร พม่า และรัฐอัสสัมในอินเดีย และให้ความเห็นเกี่ยวกับน่านเจ้าว่า น่านเจ้าเป็นรัฐทางใต้สุด เดิมจีนเรียกอาษาจักรไต - หลอหลอ (น่านเจ้า แปลว่า เจ้าทางทิศใต้)

จะเห็นได้ว่า ในบรรดานักวิชาการที่เชื่อว่าอดีตของเผ่าไทอยู่กระจัดกระจาย
ใน บริเวณตอนใต้ของจีนและบริเวณทางเหนือของไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา และรัฐอัสสัม และอินเดีย ต่างก็มีทัศนะที่ต่างกันในรายละเอียด โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับอาณาจักรน่านเจ้าและนักวิชาการกลุ่มนี้เริ่มศึกษาค้น คว้าเรื่องราวของคนไทยโดยอาศัยหลักฐานหลายด้าน ทั้งด้านนิรุกติศาสตร์ มานุษยวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี




4. กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นเดิมของไทอยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน
พอ ล เบเนดิคท์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตร์และมนุษยวิทยาชาวอเมริกัน ค้นคว้าเรื่องเผ่าไทโดยอาศัยหลักฐานทางภาษาศาสตร์และสรุปว่า ถิ่นเดิมของไทน่าจะอยู่ในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อประมาณ 4000-3500 ปีมาแล้ว พวกตระกูลมอญ เขมร อพยพมาจากอินเดียเข้าสู่แหลมอินโดจีนได้ผลักดันคนไทให้กระจัดกระจายไปหลาย ทางขึ้นไปถึงทางใต้ของจีนปัจจุบัน ต่อมาถูกจีนผลักดันจนอพยพลงใต้ไปอยู่ในเขตอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และตังเกี๋ย จึงมีกลุ่มชนที่พูดภาษาไทกระจัดกระจายไปทั่ว

นักวิชาการไทย นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ให้ความเห็นว่าดินแดนไทยปัจจุบันเป็นที่อาศัยของหมู่ชนที่เป็นบรรพบุรุษของไ ทยปัจจุบัน มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสรุปว่าบรรพบุรุษไทยอยู่ในดินแดนประเทศไท ยมาตลอด เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดีได้แสดงถึงความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมรวมทั้งการ ศึกษาเปรียบเทียบลักษณะโครงกระดูกที่ขุดพบ

5. กลุ่มที่เชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทอาจอยู่ทางบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
หรือ อินโดจีน หรือบริเวณคาบสมุทรมลายู และค่อย ๆ กระจายไปทางตะวันตก และทางใต้ของอินโดจีนและทางใต้ของจีน

กลุ่มนี้ศึกษาประวัติความเป็น มาของชนชาติไทยด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์บนรากฐาน ของวิชาพันธุศาสตร์ คือการศึกษาความถี่ของยีนและหมู่เลือดและการศึกษาเรื่องฮีโมโกลบินอี เช่น นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ ได้ศึกษาความถี่ของยีนและหมู่เลือด พบว่าหมู่เลือดของคนไทยคล้ายกับชาวชวาทางใต้มากกว่าจีนทางเหนือ จากการศึกษาวิธีนี้สรุปได้ว่า คนไทมิได้สืบเชื้อสายจากคนจีน

ส่วนการ ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฮีโมโกลบินอีนั้น นายแพทย์ประเวศ วะสี และกลุ่มนักวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น สรุปว่า ฮีโมโกลบินอี พบมากในผู้คนในแถบเอเชียอาคเนย์ คือ ไทย ลาว พม่า มอญ และอื่น ๆ สำหรับประเทศไทยผู้คนทางภาคอีสานมีฮีโมโกลบินอีมากที่สุด (คนจีนเกือบไม่มีเลย)




สรุป ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวงการศึกษามีมากขึ้นและมีการแตกแขนงวิชาออกไปมากมาย เพื่อหาคำตอบเรื่องของมนุษย์และสังคมที่มนุษย์อยู่ ทำให้ความรู้และความเชื่อเดิมของมนุษย์ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้ความเชื่อในเรื่องถิ่นกำเนิดของคนไทซึ่งอยู่ที่มณฑลเสฉวนและทาง ภูเขาอัลไตจึงถูกวิพากษ์ถึงความสมเหตุสมผล และเมื่อมีการประสานกันค้นคว้าจากสหวิชาการจึงได้คำตอบในแนวใหม่ว่าคนเผ่าไท เป็นเผ่าที่อยู่กระจัดกระจายในแนวกว้างในบริเวณตอนใต้ของยูนนาน ทางตอนเหนือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัฐอัสสัมของอินเดีย พื้นฐานความเชื่อใหม่นี้อาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้ทราบได้ว่า คนเผ่านี้รู้จักกันในชื่อต่าง ๆ ในแต่ละท้องถิ่น เช่น ไทใหญ่ ไทอาหม ผู้ไท ไทดำ ไทขาว ไทลื้อ ไทลาว ไทยวน เป็นต้น การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดียังสอดคล้องกับการค้นคว้าทางด้าน นิรุกติศาสตร์และภาษาศาสตร์ที่พบว่า คนในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เรียกชนชาติไทว่า ชาม ชาน เซม เซียม ซียาม เสียมบ้าง และในภาษาจีนเรียกว่า ส่าน ส้าน (สำหรับคนไทโดยทั่วไป) และเซียม (สำหรับไทสยาม) และความหมายของคำที่เรียกคนไทก็มีความหมายสอดคล้องกับลักษณะชีวิตทางด้านสัง คมและการทำมาหากินของคนไทยเช่นคำว่า “ส่าน” ซึ่งเป็นคำภาษาจีนเรียกคนไท แปลว่า “ลุ่มแม่น้ำ” ความหมายนี้มีลักษณะสอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาติไทที่ก่อตั้ง ชุมชนขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและทำอาชีพกสิกรรม รู้จักทำทำนบหยาบ ๆ พร้อมทั้งคันคูระบายน้ำคือ เหมือง ฝาย รู้จักใช้แรงงานสัตว์และใช้เครื่องมือในการทำนา เช่น จอบ คราด ไถ

**ปัจจุบัน การศึกษาค้นคว้าเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไท และคนไทยในประเทศไทยปัจจุบัน คือการหันมาให้ความสนใจทางด้านวัฒนธรรมมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ เพราะไม่มีเชื้อชาติใดในโลกนี้ที่เป็นเชื้อชาติบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่เหนือชน เชื้อชาติอื่น ดินแดนประเทศไทยเป็นทางผ่านที่คนหลายเผ่าพันธุ์ หลายตระกูลเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งรกราก ประเทศไทยเป็นแหล่งสะสมของคนหลายหมู่เหล่าก่อนที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐประชา ชาติที่เรียกว่าประเทศไทย ดังนั้นการเป็นคนไทจึงควรมองที่วัฒนธรรมไทยมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จับ ตาเปลือกโลก...แผ่นดินทรุด! น้ำทะเลเพิ่มสูง...ไทยเสี่ยงท่วม!?


หลัง เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุมาตรา-อันดามันที่เกิดขึ้นใน เดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2547 ครั้งนั้นหลายพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเผชิญกับคลื่นยักษ์สึนามิภัยทาง ธรรมชาติซึ่งไม่เพียงสร้างความสูญเสียในชีวิตทรัพย์สิน ทางด้านธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมต่างก็ได้รับผลกระทบมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน!!

ภาวะโลกร้อน สถานการณ์ที่กล่าวขานส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนของฝนฟ้าอากาศ รวมถึงพิบัติภัยทางธรรมชาติที่ปรากฏให้สัมผัสใกล้ชิดขึ้น การศึกษาวิจัยเชิงลึกติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงมีความหมายความจำเป็น

โครงการวิจัยร่วมไทย-ยุโรป GEO2TECDI ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วมระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุโรปซึ่งคณะนักวิจัยจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมแผนที่ทหาร กรมอุทกศาสตร์ โรงเรียน นายเรือ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสาร สนเทศ ร่วมกับมหาวิทยาลัยในยุโรป ได้แก่ TUDelft, TUDarmstadt และ ENS ได้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม จีพีเอส ดาวเทียมวัดระดับน้ำทะเล และดาวเทียม SAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอวกาศ Space-geodetic ตรวจวัดและติด ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและการทรุดตัวของแผ่นดิน

งานวิจัยไม่เพียงพบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยที่สูงกว่าค่า เฉลี่ยของโลกประมาณ 2 เท่า หากแต่พบการลดระดับของเปลือกโลกในบริเวณประเทศไทยที่น่าเป็นห่วง!!

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศของโลกซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยก็มีการศึกษาเรื่องดังกล่าวแต่อาจมี ข้อมูลที่ต่างกันไป จากผลวิจัยของโครงการฯ ประมวลผลข้อมูลระดับน้ำทะเลเฉลี่ยรายปีจากสถานีวัดระดับน้ำของกรมอุทกศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2483 และจาก ข้อมูลกรมแผนที่ทหาร ซึ่งให้ข้อสรุปถึงระดับน้ำทะเลเฉลี่ยในอ่าวไทยกำลังเพิ่มระดับขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันตกระดับน้ำทะเลเฉลี่ยกำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตรา ประมาณ 3 มิลลิเมตรต่อปี


นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมวัดระดับน้ำทะเลในช่วงปี 2536-2551 บริเวณห่างจากชายฝั่งออกไปแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำทั่ว อ่าวไทยกำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน อีกทั้งงานวิจัยได้ตรวจวัดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกซึ่งข้อมูลจากการวัด ด้วยสัญญาณดาวเทียมจีพีเอสในบริเวณเกาะภูเก็ต ชุมพร และชลบุรีตั้งแต่ปี 2537 แสดงให้เห็นว่า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุมาตรา-อันดามันในปี 2547 แผ่นเปลือกโลกยกตัวอย่างช้า ๆ 2-3 มิลลิ เมตรต่อปี แต่หลังแผ่นดินไหวมีทิศทางลดระดับลง อย่างรวดเร็วด้วยความเร็ว ที่ตรวจวัดได้ประมาณ 10 มิลลิเมตรต่อปี ขณะเดียวกันได้ตรวจวัดการทรุดตัวของ ชั้นดินชั้นทรายในบริเวณกรุงเทพมหานคร

ขณะที่การลดระดับของเปลือกโลกและการทรุดตัวของชั้นดินชั้นทรายทำให้การเพิ่ม ขึ้นของระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นต่อกรุงเทพฯ และจังหวัดชายฝั่งใกล้เคียงโดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดน้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง การรุก ของน้ำเค็มเข้าไปในแหล่งน้ำจืดตลอดจนการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมชายฝั่ง รศ.ดร.อิทธิ ตริสิริสัตยวงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้ว่า โครงการนี้เราศึกษาทั้งสองส่วนทั้งเปลือกโลกที่เป็นชั้นหินซึ่งบนชั้นหินมี ชั้นตะกอนเป็นพวกดิน ทราย หิน ฯลฯ

การทรุดตัวคงต้องแยกว่าเป็นชั้นดินชั้นทรายหรือชั้นตะกอนที่อยู่ชั้นบนหรือ ชั้นหิน ส่วนที่เป็นประเด็นมีการพูดถึงเปลือกโลกทรุดตัวส่งผลต่อน้ำท่วมนั้น แผ่นเปลือกโลกโดยทั่วไปมองกันว่าค่อนข้างเสถียรแต่ในความเป็นจริงนั้นยังมี การเคลื่อนตัวอยู่ซึ่งการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในประเทศไทยก็มีผู้ศึกษา ติดตามเรื่องแผ่นดินไหวอยู่โดยการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นการติดตามการเคลื่อน ตัวในทางราบ แต่โครงการฯ ศึกษาวิจัยในทางดิ่งร่วมด้วยและก็ทำให้พบว่า บริเวณประเทศไทยพบการลดระดับแผ่นเปลือกโลกกำลังเคลื่อนตัวลง

“ตัวเลขที่มีได้แก่ ที่ จ.ชุมพร ภูเก็ตและ อ.สัตหีบ หากพิจารณาจากอนุกรมเวลาของค่าพิกัดทางดิ่งที่แสดงในรูปกราฟจะเห็นว่าเส้น กราฟลดระดับลงซึ่งก็เป็นประเด็นที่คาดการณ์ว่ากรุงเทพฯ ก็น่าจะเคลื่อนตัวลง แต่ก็ยังไม่แจ้งชัดว่าลงไปที่อัตราเท่าไหร่เหตุผลก็คือกรุงเทพฯ มีลักษณะพิเศษด้วยที่ว่าชั้นดินตะกอนหนามากต้องเจาะลึกลงไปมากจึงจะเจอชั้น หิน

อีกทั้งจุดตรวจวัดทั้งหมดของกรุงเทพฯที่มีอยู่ก็จะอยู่ตามตึก ค่าการเคลื่อนตัวในทางดิ่งที่ได้จากจีพีเอสก็จะมีส่วนที่เป็นชั้นหินปนอยู่ กับส่วนที่เป็นชั้นดินชั้นตะกอนแยกได้ยากว่าเป็นอย่างไร แต่อย่างไรแล้วก็เชื่อว่ามีการลดระดับลงเพราะจากการศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียง อื่นที่ตั้งอยู่บนชั้นหินก็มีระดับลดลง”



ในกรุงเทพฯ ประเด็นใหญ่ที่เราห่วงกันก็คือ ในเรื่องของน้ำท่วม เรื่องของการกัดเซาะชายฝั่ง การรุกเข้ามาของน้ำเค็มซึ่งที่ผ่านมาก็เจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้วเพียงแต่ว่า ประเด็นนั้นเกิดจากอะไร ถ้ามองต่อไปในระยะยาวใน อนาคตจะมีผลอย่างไร หากไม่มีการแยกแยะอะไรให้ชัดเจนในแต่ละประเด็นก็ไม่สามารถตอบได้

จากการศึกษาวิจัยที่เสนอพบข้อมูลที่กล่าวมาทุกเรื่องมีความน่าเป็นห่วง อย่างเรื่องของเปลือกโลกที่เป็นชั้นหินทรุดตัวลง การที่เปลือกโลกที่เป็นชั้นหินลดระดับลงก็จะส่งผลต่อทุกสิ่งบนผิวโลก ด้วยเพราะเราอยู่บนชั้นดินเมื่อชั้นหินลดระดับลง ชั้นตะกอนก็จะลดลงตาม

“การสำรวจครั้งนี้จึงเป็นการศึกษาที่ลึกลงไปถึงชั้นเปลือกโลกและเมื่อชั้น หินเปลือกโลกทรุดตัวก็จะส่งผลต่อสิ่งต่าง ๆ การลดระดับลง ทีละน้อยเหล่านี้อาจเป็นการลดระดับโดยที่ไม่รู้ตัวแต่จากการศึกษาก็ทำให้ เตรียมความพร้อมล่วงหน้าได้อย่างทันท่วงที”

การที่เปลือกโลกลดระดับลงก็มีผลมาจากแผ่นดินไหวเมื่อปีค.ศ. 2004 ที่เกิดสึนามิซึ่งก็มักจะพูดกันถึงเรื่องพิบัติภัยสึนามิกัน แต่อาจลืมนึกถึงผลกระทบในสิ่งเหล่านี้ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่ ส่งผลกระทบต่อเนื่องมา ในการศึกษาครั้งนี้จึงถือว่าเป็นความรู้ที่น่าสนใจ

ส่วนการศึกษาจากจีพีเอสเป็นการวัดระยะทางจากดาวเทียมที่อยู่ในอวกาศ หากพูดในหลักการที่เข้าใจได้ง่ายคือ ค่าความสูงของตำแหน่งเดิมเมื่อเวลาผ่านไปมีความคงที่หรือไม่ ถ้ามีความคงที่ก็ไม่มีการทรุดตัวซึ่งในระดับชั้นหินส่วนที่เป็นเปลือกโลกคง ไม่สามารถทำอะไรได้ในการที่ จะหยุดยั้ง



แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ เมื่อทราบผลจากการศึกษา มีข้อมูลเหล่านี้คงต้องเร่งตระหนักซึ่งในความรุนแรงของน้ำทะเลกัดเซาะชาย ฝั่งจะมากกว่าที่เราคิดและอาจจะแตกต่างจากเดิมที่ได้มีการศึกษา ดังนั้นต่อไปในอนาคต ในการวางแผนแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดจะเป็น น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่งหรือน้ำเค็ม ฯลฯ คงต้องนำข้อเท็จจริงร่วมวางแผน โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมสิ่งที่มีความห่วงใยกันคือ ปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพฯ ผิวดินอยู่ในระดับต่ำอยู่ใกล้กับระดับน้ำทะเลมาก

อีกทั้งในระหว่างทางสิ่งที่กำลังลดระดับลงแน่นอนว่าการกัดเซาะชายฝั่งเกิด ขึ้น น้ำเค็มทะลักเข้าไปก็ง่ายขึ้น อีกทั้งยังอาจพบเจอปัญหาในช่วงที่น้ำทะเลหนุนมากในช่วงปลายปี น้ำทะเลก็จะทะลักเข้าไปลึกขึ้นก็แน่นอนว่าย่อมสร้างความเสียหาย

ส่วนในเรื่องของน้ำท่วมก็อาจพบได้บ่อยขึ้น นานขึ้นเนื่องจากแผ่นดินทรุดลงการระบายน้ำก็จะยากขึ้น แต่อย่างไรแล้วในแง่ของ ปัญหาที่เกิดนั้นคงไม่เกิดฉับพลัน แต่จะค่อยเป็นค่อยไปและจะทวีความรุนแรงขึ้น การวางแผนเพื่อแก้ไขหรือป้องกันปัญหาเหล่านี้ในอนาคตต้องเผื่อตัวเลขเหล่า นี้ไว้ด้วยและต้องมีการศึกษาติดตามต่อไปเนื่องจากการเคลื่อนตัวเหล่านี้มี ค่าไม่คงที่

จากผลวิจัยที่มีความหมาย การตระหนักโดยไม่ตื่นตระหนกร่วมรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมให้ คงความสมบูรณ์อย่างจริงจังและยั่งยืนก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องไม่ละเลยมอง ข้ามเช่นกัน.

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

'หนอนแมลง' ทำรังใต้ผิวหนัง อุบัติการณ์ใหม่... ภัยใกล้ตัว!


หลังจากที่มีข่าวโอละพ่อ! ว่าพบโรคประหลาดแมลงบินออกมาจากผิวหนังมนุษย์ สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนจนแพทย์ต้องออกมาชี้แจงว่าเป็นเหตุเข้าใจผิด และพิสูจน์แล้วพบว่า เป็นเรื่องเท็จที่กุขึ้นมาเองจากความผิดปกติทางประสาทของผู้ป่วย แต่ล่าสุดได้เกิดอุบัติการณ์ใหม่ชวนสยองขวัญขึ้นในประเทศไทยจริง ๆ โดยมี ตัวหนอนแมลงทำรังอยู่ใต้ผิวหนังของคนไทยที่ติดเชื้อมาจากประเทศในแถบอเมริกา ใต้!!

นายแพทย์อภิชาติ ธน พัฒน์เจริญ แพทย์ด้านศัลยแพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ให้ความรู้ถึงอุบัติการณ์ใหม่นี้ว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเพราะมันไม่ใช่แมลงของไทยแต่เป็นแมลงของ ต่างประเทศ ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานพบในประเทศไทยมาก่อน เราพบว่าเมื่อไม่นานมานี้มีคนไทย 5 คนเดินทางไปถ่ายทำสารคดีที่ประเทศบราซิลแล้วถูกยุงกัดจนเป็นตุ่มแดงทุกคน จากนั้นเดินทางกลับมาเมืองไทยก็พบว่าอาทิตย์แรก 2 ใน 5 คนมีอาการตุ่มแดงมีขนาดใหญ่ขึ้น และอาทิตย์ต่อมาตุ่มแดงมีลักษณะคล้ายฝีและมีหนองปนน้ำเหลืองไหลออกมาจากรู ตรงกลางตุ่ม จึงรีบเดินทางมาพบแพทย์

เมื่อสอบถามประวัติทราบว่าผู้ป่วยเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศในแถบอเมริกา ใต้ ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีหนอนแมลงทำรังอยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อผ่าออกมาก็พบว่ามีหนอนแมลงอาศัยอยู่จริง โดยมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 1-2 ซม. และยังมีชีวิตอยู่ด้วย สาเหตุที่ทราบว่ามีหนอนแมลงอาศัยอยู่ใต้ผิวหนังเพราะก่อนหน้านี้เมื่อปีที่ แล้วหมอเคยมีประสบการณ์พบคนไข้เป็นชาวอังกฤษเดินทางไปทำงานที่ประเทศใน แถบอเมริกาใต้และเดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศไทย เกิดมีอาการลักษณะคล้ายกันคือ มีตุ่มแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 ซม. จึงเดินทางมาพบแพทย์และ ระบุอาการว่ารู้สึกเหมือน มีแมลงเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวหนัง

ตอนแรกหมอฟังแล้วก็ไม่เชื่อว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง จึงได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคนี้ในประเทศแถบ อเมริกาใต้ พบรายงานว่ามีประชาชนในแถบนั้นเป็นโรคนี้กันจริง ๆ และถือว่าเป็น โรค ๆ หนึ่ง ที่แพร่หลาย ทั่วไปในพื้นที่ที่นั่น จึงตัดสินใจผ่าตัดก้อนนั้นออกให้คนไข้ ปรากฏว่าพบหนอนแมลงจริง ๆ ลำตัวหนอนแมลงมีขนาดยาวประมาณ 1-2 ซม. ลักษณะยืดได้หดได้สีขาวใส ๆ มีหนามแหลม ๆ สีดำล้อมรอบตัว จากประสบการณ์นี้เองทำให้เราต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งส่งดีเอ็นเอ (DNA) ของตัวหนอนแมลงตัวนี้ไปตรวจในที่ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อยืนยันว่าเป็นดีเอ็นเอของแมลงพันธุ์หนึ่งอาศัยอยู่ในแถบอเมริกาใต้และ แอฟริกา

แมลงตัวนี้มีชื่อเรียกว่า “เดอมาโตเบีย โฮมินิส”(Dermatobia hominis) เป็นแมลงพันธุ์หนึ่งลักษณะคล้ายแมลงวันบ้านเรา แต่มีความฉลาดที่น่าสนใจมาก เพราะวงจรชีวิตของมันจะไม่เหมือนแมลงทั่วไป โดยแมลงส่วนใหญ่จะมีวงจรชีวิตเหมือนกัน คือการผ่านกระบวนการเป็นไข่ และกลายเป็นตัวหนอน จากนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นดักแด้ไปอาศัยอยู่ในดิน และกลายเป็นแมลงในที่สุด แต่ตัวเดอมาโตเบีย โฮมินิส จะใช้วิธีวางไข่ในยุงและใช้ยุงเป็นพาหะในการปล่อยตัวอ่อนเข้าไปในผิวหนังของ คนหรือสัตว์เลือดอุ่นทุกชนิด เช่น วัว ควาย ม้า สุนัข ฯลฯ ทางรอยกัดและฝังไข่เข้าไป โดยตัวอ่อนจะไชเข้าไปฝังตัวในผิวหนังและกลายเป็นตัวหนอน เมื่อตัวหนอนแก่เต็มที่แล้วจะคลานออกมาจากตัวคนและตกไปอยู่ในดินเพื่อไป เจริญเติบโตต่อเป็นช่วงดักแด้ในดินและค่อย ๆ กลายมาเป็นแมลง
ระหว่างที่มันอาศัยอยู่ในผิวหนังนั้นมันจะกินเนื้อเยื่อของเราโดยใช้น้ำย่อย ให้กลายเป็นของเหลวเพื่อเป็นอาหารและทำปฏิกิริยา ร่างกายเราก็สร้างพังผืดเป็นแคปซูลห่อหุ้มตัวมันจากการถูกกระทบกระเทือนและ วิธีการขับถ่ายของมันจะถ่ายออกมาเป็นน้ำด้วยเช่นกัน นอกจากนี้มันยังเจาะรูผิวหนังเราเอาไว้เพื่อหายใจและรอให้แก่เต็มที่ มันก็จะคลานออกมาทางรูที่มันเจาะไว้ จึงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นของเราบวมแดงเป็นก้อนและมีน้ำหนองปนน้ำเหลืองไหล ออกมา เราจะไม่มีอาการปวดรุนแรงเหมือนฝี ทั่วไป แค่แสบ ๆ คัน ๆ เคือง ๆ เท่านั้น โดยมันจะใช้เวลาอยู่ในผิวหนังเราหลังจากวางไข่ที่ผิวหนังแล้วประมาณ 1 เดือนครึ่ง หรือประมาณ 6 อาทิตย์

จากการศึกษาพบว่าโรคนี้ระบาดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ และสำหรับการรักษาของแพทย์ที่ต่างประเทศมีหลายแบบและแบบที่ประชาชนเลือกใช้ กันทั่วไปคือ ใช้ครีม วาสลินอุดรูที่มันเจาะเอาไว้ เพื่อใช้หายใจจนมันตาย และบีบเอาตัวมันออกมา ซึ่งประชาชนแถบนั้นถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ถ้าโรคนี้เกิดแพร่ระบาดขึ้นในประเทศไทยก็คงไม่มีใครอยากจะเป็นแน่นอน

ดังนั้นหากใครที่มีความจำเป็นที่จะเดินทางไปต่างประเทศในแถบอเมริกาใต้และ แอฟริกา ไม่ว่าจะไปในป่าหรืออยู่ในตัวเมืองก็ควรจะป้องกันตัวเองจากการถูกยุงกัดด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ป้องกันยากเหมือนกัน เพราะผู้ป่วยคนไทยที่ถูกยุงกัดก็ถูกกัดในเมืองหลวงของประเทศบราซิล ฉะนั้นทางที่ดีควรศึกษาข้อมูลของอาการของโรคไว้จะดีที่สุด เช่น ถ้าเป็นตุ่มถูกยุงกัดปกติจะมีตุ่มนูน ๆ นิดหน่อยประมาณ 2-3 วันก็จะยุบหายไปเอง แต่ถ้าเป็นตุ่มที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เป็นก้อนประมาณ 2-3 ซม. ลักษณะบวมแดง คล้ายเป็นฝี แต่หายช้า ไม่เจ็บปวดเหมือนเป็นฝีทั่วไป และเริ่มมีรูตรงกลางหรือมีน้ำเหลืองปนน้ำหนองไหลออกมา หรือรับประทานยาแก้อักเสบก็ไม่หาย ควรรีบมาพบแพทย์
อย่างไรก็ตาม สำหรับ วงการแพทย์เองก็ควรจะศึกษาเรื่องนี้ไว้ เพราะถ้าแพทย์บางคนไม่มีประสบการณ์จะวินิจฉัยคนไข้ว่าเป็นฝีและวิธีการรักษา ก็คือให้ยาคนไข้ไปรับประทานหรือทำการผ่าเปิดฝีเพื่อระบายหนอง ซึ่งถ้าไม่เจอตัวหนอนแมลง แล้วคนไข้คนนั้นกลับบ้านไปและพบว่าหนอนแมลงคลานออกมาจากบาดแผลหรือพบซากหนอน ภายหลังก็จะทำให้เข้าใจผิดคิดว่าแพทย์ผ่าตัดด้วยวิธีที่ไม่สะอาดทำให้มี หนอนอยู่ในบาดแผลก็จะกลายเป็นปัญหาเรื่องการฟ้องร้องกันตามมาอีก ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่วงการแพทย์ควรทราบรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องควรร่วมหามาตรการเพื่อมิให้หนอนแมลงเข้ามาแพร่พันธุ์ในประเทศไทยในอนาคต

ถึงแม้โรคนี้จะไม่เป็นอันตรายถึงกับชีวิตก็ตาม แต่ถ้าเราไม่สามารถหยุด วงจรนี้ได้ ในอนาคตประเทศไทยจะเกิดแมลงตัวใหม่ขึ้นและทำให้เรามีโรคใหม่เกิดขึ้นตามมา โดยที่เราไม่สามารถ ป้องกันได้

ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าถ้าหากใครถูกยุงกัดและโดนวางหนอนแมลงในผิวหนังจะรู้สึกขยะแขยงขนาดไหนถ้า จะต้องมีหนอนคลานออกจากตัว...!!!.

สรงสนานภายใต้สายวารี แห่งสรวงสวรรค์


เมื่อความหรูหราใน อดีต ได้กลายมาเป็น "สิ่งจำเป็น" ของเราทุกเช้า การได้สัมผ้สความสดชื่นใต้ "ฝักบัว" นั้น ราวกับได้รับน้ำที่หล่นมาจากสรวงสวรรค์

"สายฝน" และ "น้ำตก" เคยสร้างความ เย็นชุ่มฉ่ำให้กับหัวใจอย่างไร หลักการของฝักบัว ก็อาศัยแนวความคิดเย็นฉ่ำนั้นมาสร้างความฉ่ำใจได้ในบ้านเช่นนั้น ฝักบัว เป็นวิวัฒนาการของวัฒนธรรมการอาบน้ำ เริ่ต้นตั้งแต่มนุษย์เราจำความได้เลยทีเดียว อาณาจักรโรมันนั้น ขึ้นชื่อเรื่องการอาบน้ำมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแช่ลงไปในน้ำเฉยๆ การอบไอน้ำ การนวดน้ำมัน การขัดถู ซึ่งเป็นการอาบน้ำหลายรูปแบบนั้น เน้นไปที่ชำระล้างร่างกาย ความสวยงาม การรักษาโรค

ชาวอียิปโบราณ อาศัยน้ำมันหอมในการอาบน้ำ มิใช่เพื่อทำให้ร่างกายสะอาดหมดจดเท่านั้น หากทว่ายังช่วยในเรื่องของการทำจิตใจให้สดชื่นขึ้นด้วย ชาวกรีกเมื่อกาลก่อนนั้น มักจะตระเตรียมน้ำอุ่นๆ เจือกลิ่นหอมไว้เป็นของกำลัลพิเศษไว้ให้ผู้มาเยือน ซึ่งพวกเขาเห็นว่า สิ่งนี้สำคัญพอๆกับการให้แขกได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญ เนื่องเพราะพวกเขาเชื่อว่า การอาบน้ำคือการได้ใกล้ชิดกับเทพเจ้า

แต่เริ่มแรกนั้น การอาบน้ำ เริ่มต้นในอ่างอาบน้ำในธรรมชาติ โดยวัตถุประสงค์ มิได้อยู่ที่การชำระล้างร่างกาย หากแต่เป็นการรชำระให้ร่างกายและใจบริสุทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอิงเรื่องทางศาสนามากกว่าความต้องการของเรือนร่าง ก่อนจะย้ายมาสดชื่นในอ่างอาบน้ำ ที่สร้างขึ้นเมื่อสมัยโรมัน

ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้สัมผัสกับความสด ชื่นภายใต้น้ำตก นอกจากนี้ ยังได้รู้สึกได้ว่า การรชำระร่างกายได้สะอาดเอี่ยมอ่องกว่านอนแช่ในอ่าง การยืนอาบน้ำ จึงกลายเป็นไอเดียใหม่ที่นำมาพัฒนาให้สนองกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด

ความหรูหราในอดีต - ความจำเป็นในยามเช้าวันนี้

ต้องขอแสดงความยินดีกับมนุษย์ยุคใหม่ ทุกๆ คน ที่ได้สัมผัสกับฝักบัว ราวกับน้ำจากสรวงสวรรค์ เนื่องเพราะเมื่อกลาครั้นั้นในอดีต ทั้งอ่างอาบน้ำและฝักบัว เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหรูหราฟุ่มเฟือย คนมีฐานะร่ำรวยมหาศาลเท่านั้นจึงจะมีสิทธิครอบครอง "ฝักบัว" ในบ้านอันยิ่งใหญ่แบบคฤหาสน์ของตัวเอง

ในยุคเก่า บรรดาเศรษฐีมั่งมีทั้งหลาย อาศัยคนรับใช้ยืนบนเก้าอี้ คอยรดน้ำเย็นใส่ตัวเขา ซึ่งฟังดูแล้วช่งห่างไกลความชื่นเย็นและความสะดวกสะบายในยุคใหม่เสียจริงๆ ที่แต่ละผู้ผลิตได้พัฒนาฝักบัวออกมามากมายหลายรูปแบบ ทั้งยังมีน้ำร้อน-เย็น ให้เลือกในตัว ยิ่งไปกว่านั้น ฝักบัว ยังพัฒนาไปถึงสายน้ำเพื่อการบำบัดกันแล้ว

จากหลักฐานในอดีต พบสิ่งที่คาดว่าจะเป็น ห้องอาบน้ำ แบบฝักบัว อยู่มากมาย แม้จะยังไม่อาจชี้ชัดลงไปว่า อารยธรรมใดกันแน่ที่ให้กำเนินการอาบน้ำแบบสุขสันต์ โดยอาศัยเทน้ำจากที่สูงเช่นนี้ ในการขุดค้นทางประวัติศาสตร์ บริเวณที่เคยเป็นเมืองอักห์เคนเท็น เมืองเก่าแก่ของอียิปต์ ที่ เทล-เอล- อะมาร์นา ซึ่งมีอายุเก่าแก่ย้อนหลังไปถึง 1,350 ปีก่อนคริสตกาล นักโบราณคดีพบห้องเล็กๆ ในบริเวณที่เชื่อว่าเป็นห้องสำหรับการชำระร่างกายของฟาโรห์ โดยต่างสรุปกันว่า สิ่งที่เขาพบนี้คือ ตู้อาบน้ำ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับห้องน้ำในปัจจุบัย ที่เรียกว่า Shower

สำหรับหลักฐานก่าแก่ที่สุดที่พบอีกแห่ง ย้อนไปถึงยุคบาบิโลน ซึ่งวัฒนธรรมในการอาบน้ำใน "ห้องอาบน้ำ" นั้นล้ำยุคมาก ขณะท่คนทั่วไปใช้แหล่งน้ำธรรมชาติในการชำระร่างกาย แต่กษัตริย์เนบูคันด์เนชชาร์ (605-560 ปีก่อนคริสต์กาล) มีห้องอาบน้ำแบบ Shower ซึ่งอาศัยทาสคอยบัคับน้ำที่จะรินรดพระองค์ให้สรงกายาด้วยสบู่ที่ทำจากผงขึ้ เถ้าและไขมันสัตว์ ระบบชลประทานและการสูบปั๊มน้ำพัฒนาสูงมาก กษัตริย์บาร์บิโลเนียนพระองค์นี้ ไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเรื่องน้ำจะขาดสายเลย หลังจากนั้น ระบบการปั๊มน้ำก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จเท่าชาวบาบิโลเนียน จนกระทั่งศตวรรษที่ 19

ในสมัยโบราณ ประชาชนชาวกรีกออกมายืนอาบน้ำแบบ Shower ใต้สายน้ำจากน้ำพุกลางเมือง ภาพเช่านี้เห็นได้จากงานจิตรกรรมที่ศิลปินชาวกรีกบรรจงถ่ายทอดไว้บนแจกัน

โชคไม่ดีที่วัฒนธรรมแห่งการอาบน้ำฝัก บัวของชาวตะวันตก ต้องหยุดชะงักลง เมื่อพวกไม่รู้สึกว่า การอาบน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตปรัจำวันเช่นผู้คนในยุคเก่ก่อน เล่าขานกันว่า พระราชินีอิซาเบลลา แห่งสเปน ผู้สนับสนุนหลักของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นั้น ทรงสรงน้ำเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ตลอดชีวิตของพระองค์ ในช่วงต้นๆ คริสต์กาลนั้น ชาวคริสต์หลีกเลี่ยงการอาบน้ำ เนื่องเพระพวกเขามองว่าการอาบน้ำเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ และเขาไม่ต้องการกระทำมันอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป แต่สงวนไว้เฉพาะวาระสำคัญจริงๆ เท่านั้น เซนต์ฟรานซิส แหล่งอัสชีชี แถลงว่า ความสกปรก คือเครื่องหมายที่แสดงถึงการเป็นคนผู้ศักดิ์สิทธิ์ เซนต์แคเธอรีน แห่งเซียนา ก็หลีกเลี่ยงการอาบน้ำ และเซ็นต์แอกเนส ผู้ลาโลกไปตั้งแต่อายุ 13 นั้น เกิดมาไม่เคยอาบน้ำสักครั้งในชีวิต

หลังยุคมืด ในปี ค.ศ.1598 ห้องอาบน้ำได้รับการออกแบบไปในพระราชวังวินเซอร์ ที่กรุงลอนดอนด้วย เนื่องจากเป็นกฎมนเฑียรบาล ว่า พระราชินีอลิซาเบธ ที่ 1 จะต้องสรงน้ำเดือนละครั้ง ไม่ว่าพระองค์จะทรงพอพระทัยหรือไม่ก็ตาม

ใน ปี 1812 การอาบน้ำ ยังคงเป็นเรื่องเล่นๆ มิใช่สิ่งที่จำเป็นของชีวิต ท่านนายกเทศมาตรีของลอนดอน สั่งให้สร่ง "ตู้อาบน้ำ" ไว้ในแมนชั้นของตัวเอง เขาถูกสกัดดาวรุ่งของสภาเทศบาล เนื่องจากไม่มีใครเห็นความจำเป็นของการอาบน้ำ พวกเขาต้องใช้เวลาอีกกว่า 20 ปี แมนชั่นของนายกเทศมนตรีจึงมีห้องน้ำติดตั้งอยู่ภายใน

แจ้งเกิด "ฝักบัว" แท้ ในยุโรป

"ฝักบัว" เริ่มต้นกันจริงๆ ในรูปแบบที่ไม่ต้องมีข้ารับใช้มาคอยรินรดน้ำ เมื่อราวๆ ปลายทศวรรษที่ 18 ฝักบัว ชิ้นแรกของโลก มี วิลเลี่ยม ฟีตแฮม ชาวอังกฤษ เป็นจ้าของ ในปี 1767

เจ้าฝักบัวตัวแรกที่อาศัยแรงคนช่วยปั๊ม น้ำนี้ เป็นที่นิยมกันแพร่หลายหลังจากนั้น เนื่องจากมันต้องการเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะผ่านหัวฝักบัว ออกมาเป็นน้ำอันฉ่ำใจราวได้อาบสายฝนที่หล่นมาจากสรวงสวรรค์ นอกจากนี้ ยังสามารถที่จะติดตั้งในตู้อาบน้ำ ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับฝักบัว หรือจะนำไปติดตั้ง ณ บริเวณที่เคยเป็นอ่างอาบน้ำมาก่อนก็ได้ เนื่องจากมีขนาดเล็ก ต้องการเนื้อที่เพียงน้อยนิด และก็ยังง่ายต่อการติดตั้งแถมราคาถูกอีกต่างหาก นอกจากเป็นที่ติดใจของเจ้าของบ้านแล้ว ยังเป็นที่ถูกอกถูกใจคนรับใช้ ที่ตั้งแต่นั้นมา บริเวณที่เช็ดถูทำความสะอาดห้องน้ำ ก็แคบลง

ไม่นานนัก การผลิตฝักบัวก็กลายเป็นอุตสาหกรรม โดยบริษัทอิงลิช ชาวเวอร์ รีเจนซี่ เป็นรายแรกที่ผลิต ฝักบัว แบบมีดีไซน์ ออกมา ลักษณะคือ เป็ฝักบัว ที่มีความสูง 12 ฟุต หรูหราด้วยสีโครเมี่ยม ลวดลายไม้ไผ่ ในปี 1930 บริษัทอเมริกัน เวอร์จิเนีย สตูล ชาวเวอร์ ออกผลิตภัณฑ์ห้องอาบน้ำ ฝักบัว แบบมีที่นั่งอาบ โดยการผสมฃสานระหว่างอ่างอาบน้ำกับฝักบัว โดยอาศัยหลักการปั๊มน้ำขึ้นไปพักบนแท้งค์น้ำเล็กๆ ข้างบนเช่นเคย ที่นั่งอาบน้ำฝักบัวนี้แสนสบาย เนื่องจากมีพนักพิงและเบาะรองศีรษะนุ่มนิ่ม และยังมีส่วนของแปรงขัดผิวติดมากับบริเวณท่อตั้งฝักบัว อีกด้วย

ฝักบัวยังพัฒนาการมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลากวิธีการปล่อยสายน้ำออกมาจากหัวฝักบัว หรือว่าจะเป็นความพยายามที่จะทำให้น้ำที่สูบขึ้นไปเก็บไว้บนแท้งค์พักน้ำ เป็นน้ำอุ่น และยังมีการพัฒนาระบบปั๊มน้ำที่ทำให้ระบบการอาบน้ำฝักบัวมีอิสระยิ่งขึ้น จะว่าไปแล้ว การอาบน้ำฝักบัวในศตวรรษที่ 19 จนมาถึงยุคสมัยนี้ โดยหลักการแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน นอกจากเรื่องของการดีไซน์แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนก็เห็นจะเปลี่ยนจากระบบใช้มือ มาเป็นระบบอัตโนมัติ เท่านั้นเอง

ขยะอิเล็คทรอนิกส์ ( e-waste)


ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-waste
คือขยะที่เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ประกอบด้วย พีซี จอมอนิเตอร์ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งมีส่วนผสมของโลหะมีพิษชนิดต่างๆ อยู่ในตัว อาทิ สารตะกั่ว สารปรอท และแคดเมียม รวมทั้งสารเคมีอีกสารพัดชนิด และจะ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างรุนแรงทันที หากมีโอกาสเข้าไปปะปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม เมื่อมีการนำขยะเหล่านี้ มาทิ้งบนพื้นดิน อันตรายจากสารพิษที่ได้จากการเผา หรืออันตรายจากการนำพีซีมาแยกชิ้นส่วนด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

ขยะดังกล่าวไม่อาจสูญสลายไปตามธรรมชาติได้ และถูกจัดว่าเป็น “ขยะพิษ” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มี ดังนี้

1. ตะกั่ว (Lead)

เป็นโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ฉาบจอแก้ว พิษของตะกั่วจะทำลายระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ ไต ระบบเลือด และการพัฒนาสมองของเด็ก พิษเรื้อรังของตะกั่ว จะค่อยๆ แสดงอาการออกมา ภายหลังจากได้รับสารตะกั่วทีละน้อยเข้าสู่ของเหลวในร่างกาย และค่อยๆสะสมในร่างกาย

2. หลอดรังสีแคโทด (Cathode Ray Tube : CRT)

หลอดภาพเครื่องรับโทรทัศน์ และจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ยังใช้ตะกั่วในการบัดกรีส่วนประส่วนประกอบอิเล็กโทรนิคส์ต่างๆ บนแผงวงจรไฟฟ้า

3. แคดเมียม (Cadmium)

พบในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วัสดุกึ่งตัวนำ (Semiconductors) อุปกรณ์ตรวจจับอินฟราเรด (Infrared Detectors) หลอดภาพรุ่นเก่า เป็นต้น แคดเมียมเป็นสารที่มีพิษอย่างเฉียบพลัน ต่อทางเดินหายใจ ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรง ไตวาย ไตถูกทำลาย มีโปรตีน ในปัสสาวะ ร่างกายขับกรดอะมิโน กลูโคส แคลเซียม และฟอสเฟตในปัสสาวะมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นนิ่วในปัสสาวะได้ โรคปวดกระดูก โรค อิไต-อิไต ปวดสะโพก (Hip Pain) ปวดแขน ขา (Extremity Pain) มีวงแหวนแคดเมียม (Yellow Ring) ปวดกระดูก (Bone Pain) ปวดข้อ (Joint Pain) มีความผิดปกติที่กระดูกสันหลัง ทำให้มีลักษณะเตี้ย หลังค่อม

4. ปรอท (Mercury)

ถูกใช้ในชิ้นส่วนไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เทอร์โมสตัท (Thermostat) รีเลย์ แบตเตอรี่ สวิตช์ขนาดเล็กบนแผงวงจรอุปกรณ์ตรวจวัด (Measuring Equipment) ปรอทเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะไปทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ของแขน ขา การพูด และยังทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไป เช่น การได้ยิน การมองเห็น

5. โบรมีน (Bromine)

โบรมีน เป็นสารก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี และรูปทรงของกล้ามเนื้อหัวใจ สามประกอบโบรมีน ใช้เป็นตัวหน่วงการลุกติดไฟ (Brominated Flame Retardants, BFRs) ของตัวตู้คอมพิวเตอร์ และแผงวงจร หมึกพิมพ์ เป็นสารก่อมะเร็ง และสารประกอบฟอสเฟตที่ใช้เคลือบภายนอกหลอดภาพ CRT มีความเป็นพิษสูงเพราะมีส่วนผสมของ แคดเมียม สังกะสี และวานาเดียม เป็นต้น

6. คลอรีน (Chlorine)

คลอรีนปรากฏอยู่ในพลาสติก พีวีซี ซึ่งก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งไดออกซิน เมื่อพลาสติกถูกเผา สารเคมีชนิดนี้มีผลต่อระบบหายใจ ระคายจมูก และทำให้เคลือบฟันผุ


ยูเอ็น ประมาณว่า ในอีกไม่นาน ขยะอิเล็กทรอนิกส์โลกจะมีไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัน ปัญหานี้ จะยิ่งเลวร้ายลงอีก หากไม่ใส่ใจแก้ไขอย่างจริงจัง ขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ จะทวีความรุนแรง ไม่เพียงก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงเป็นที่มาให้ยูเอ็น ริเริ่มโครงการบรรเทาปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (Solving the E-Waste Problem:StEP) เพื่อรณรงค์ การลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ภายใจ้ความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีบริษัทด้านไอที หลักๆ ที่เข้าร่วมเช่น ไมโครซอฟท์ อีริคสัน ฮิวเลตต์ – เเพคการ์ด (HP) และเดลล์ เพื่อสร้างมาตรฐานการรีไซเคิลอุปกรณ์ ให้เป็นมาตรฐานโลก และขยายอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานขึ้น

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

รำลึก 100 ปี พระปิยะมหาราช


วันที่ 23 ตุลาคม 2553 “วันปิยมหาราช” ปีนี้ เป็นปีที่พิเศษ เพราะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตครบรอบ 100 ปี

ซึ่งรัฐบาลได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อประเทศอย่างมากมาย พระองค์ท่านได้สร้างสรรค์ปฏิรูปประเทศไทยในทุก ๆ ด้าน ให้มีความเจริญทัดเทียมอารยประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องไฟฟ้า ประปา รถไฟ ไปรษณีย์ โทรศัพท์ การชลประทาน การเมืองการปกครอง และการก่อสร้างถนนต่าง ๆ เพื่อให้การคมนาคมมีความสะดวกสบายก็เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน โดยเฉพาะเรื่องการเลิกทาส ที่ประชาชนจดจำรำลึกได้เป็นอย่างดี

อีกเรื่องที่สำคัญที่ประชาชนคนไทยทุกคนรำลึกได้ตลอดเวลา ก็คือประเทศในแถบยุโรปหลายประเทศต่างล่าอาณานิคมประเทศในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ซึ่งประเทศรอบ ๆ ของไทยนั้นได้ถูกประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศสยึดเป็นอาณานิคมของประเทศตน ยกเว้นประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของชาติฝรั่ง ตะวันตก ก็ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านในการใช้กุศโลบาย ทางการเมืองระหว่างประเทศ พระมหากรุณาธิคุณนานัปการ ของพระองค์ท่านนั้น ประชาชนรุ่นต่อรุ่นได้รำลึกถึงพระองค์ท่านอยู่ตลอดเวลาจนถึงปัจจุบันนี้ไม่ เสื่อมคลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากทุก ๆ บ้านทั่วประเทศไทยจะมีพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันนี้แล้ว บางบ้านอีกจำนวนมากก็มีพระบรมฉายาลักษณ์ และพระบรมสาทิสลักษณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ติดบนผนังบ้าน หรืออยู่บนโต๊ะบูชา และอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่านตามสถานที่ต่าง ๆ ก็มีประชาชนจำนวนมากมากราบไหว้บูชาขอพรกันอย่างเนืองแน่น ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงให้แก่ ประชาชนและประเทศชาติอยู่ในหัวใจของทุกคน เพราะประชาชนที่รำลึกบูชาเป็นประจำเชื่อว่าบารมีของพระองค์ท่าน จะทำให้ชีวิตมีความสุขสมหวังตามที่คาดหวังไว้

การ ปฏิรูปประเทศตามโลกในสมัยพระองค์ท่าน ก็เป็นรากฐานในการพัฒนาและปฏิรูปประเทศในปัจจุบันนี้ แต่การพัฒนาบางสิ่งบางอย่างของไทยเดินหน้าช้าไปกว่าประเทศในแถบเอเชียบาง ประเทศที่เริ่มปฏิรูปพร้อม ๆ กับประเทศไทย ซึ่งอุปสรรคที่ขวางการพัฒนาประเทศไม่ทัดเทียมประเทศอื่น ๆ นั้น พรรคการเมืองต่าง ๆ ที่อาสาประชาชนเข้ามาบริหารประเทศชาติจะต้องศึกษาบทเรียนที่ผ่านมาว่ามี ปัญหาอุปสรรคที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง เพื่อให้การพัฒนาประเทศเดินหน้าไปได้ถูกทิศทาง โดยให้วันรำลึก 100 ปีสวรรคตของพระองค์ท่านเป็นวันเริ่มต้นพัฒนาประเทศชาติอย่างจริงจังก็นับว่า เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว.

ความเป็นมา

๒๓ ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทุกปีจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว

เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ครั้นนั้นเป็นที่เศร้าสลดอย่างใหญ่หลวงของพระบรมวงศานุวงศ์และปวงชนทั่ว ประเทศ เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เคารพรักของ ทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความ ร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงได้ถวายพระนามว่า พระปิยมหาราช หรือพระ พุทธเจ้าหลวง เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพตาม ราชประเพณีแล้ว ครั้งเมื่อบรรจบอภิลักขิตสมัยคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้สืบราชสันตติวงศ์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายตามราชประเพณี โดยเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวออกประดิษฐาน บนพระแท่นนพปฎลมหา-เศวตฉัตร และเชิญพระพุทธรูปปางประจำพระชนมวารประดิษฐาน ณ โต๊ะหมู่ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท หรือพระที่นั่งอนันตสมาคมส่วนที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระลานพระราชวังดุสิต หน้าที่นั่งอนันตสมาคม ที่เรียกว่าพระบรมรูปทรง ม้า ซึ่งเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ที่พระบรม วงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณได้ร่วมใจกันรวบรวมเงิน จัดสร้างประดิษฐานขึ้นน้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงพระชนม์อยู่เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองราชย์ยั่งยืนนานถึง ๔๐ ปี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น
ต่อมาทางราชการได้ประกาศ ให้วันที่ ๒๓ ตุลาคมซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวัน ที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า วันปิยมหาราช และกำหนดให้หยุดราชการวันหนึ่งในวันปิยมหาราช เจ้า หน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น กรุงเทพมหานคร ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็นสำนักพระราชวัง ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติ ฉัตร ๕ ชั้น ประดับโคม ไฟ ราวเทียม กระถางธูป ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราชครั้งแรก คือ ถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวาย แล้ว ได้เสด็จฯไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์

พระราชกรณียกิจ


* เลิกทาส
* ด้านการปกครอง
* การสาธารณูปโภค
* การศึกษา
* การปกป้องประเทศ
* การเสด็จประพาส

เลิกทาส

โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิก ทาสในเมืองไทย
เลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้น ครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมา ตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่า นี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ด ขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด
1. ทาสสินไถ่
2. ทาสในเรือนเบี้ย
3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา
4. ทาสท่านให้
5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ
6. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย
7. ทาสเชลยศึก
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และได้ใช้เวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยมิเกิดการนองเลือด เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เลย

ด้านการปกครอง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ได้แก่
1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวซึ่งเป็นประเทศราช
2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออกและตะวันตก และเมืองมลายู
3. กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง
4. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน
5. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้
6. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร
7. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา
8. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ
9. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง
10. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ

การสาธารณูปโภค

- การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452
- การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไป นครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย
- การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านนี้ล้าสมัยไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาล ณ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431 และใช้ชื่อโรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช"
- การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้ กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433


การศึกษา

การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ขยายการศึกษา ในปี พ.ศ.2414 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังโดยมีท่านพระยาศรีสุนทร โวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนอีกแห่งซึ่งสอนภาษาอังกฤษมีนาย ยอซ แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงอีกหลายแห่ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัดคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ.2427 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เขียนตำราเรียนขึ้นมา เรียกว่า แบบเรียนหลวง 6 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าผู้หญิงก็สมควรที่จะได้รับความรู้เช่น เดียวกับผู้ชาย ในปี พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ตั้งขึ้น คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา การปกป้องประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังในการรักษาประเทศชาติให้รอด พ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม ดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่
- พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสอบจุไทย
- พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
- พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
- พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภรณ


การเสด็จประพาส

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสเป็นอย่างมาก แต่มิได้ไปเพื่อการสำราญพระราชหฤทัยส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ การเสด็จประพาสภายในประเทศทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 โดยมีหมายกำหนดการเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปเป็นเวลานาน 9 เดือน เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย
ในปี พ.ศ.2413 ทรงเสด็จประพาสประเทศเพื่อบ้านเป็นครั้งกรำ คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา 2 ครั้ง การเสด็จพระราชดำเนินประเทศเพื่อนบ้านนั้นด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธ ไมตรีกับประเทศเพื่อบ้านในแถบอินโดจีน รวมถึงทรงต้องการเรียนรู้ระเบียบการปกครอง
ในปี พ.ศ.2415 เสด็จเยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา อินเดียเพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย
ในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองมากมาย ทั้งการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟ รถราง การแพทย์ การศึกษา รวมถึงระเบียบแบบแผนการปกครองประเทศ สวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงมีชนมพรรษา 58 พรรษา ในบั้นปลายพระชนมชีพทรงพระประชวร เนื่องจากทรงพระชราภาพและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปล่อยทาสให้เป็นไท ทรงพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศจนเป็นที่ รู้จักของชาวต่างชาติพระองค์ทรงอยู่ในราชสมบัติ 42 ปี ประชาชนชาวไทยต่างรักและอาลัยพระองค์มาก และพร้อมใจถวาย สมัญานามว่า "พระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย"


ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

* พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ

* พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

* พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย

* พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง

* พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลิกประเพณีหมอคลานในเวลาเข้าเฝ้า

* พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง

* พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ - สมุทรปราการสมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน

* พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนครตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2

* พ.ศ.2427 โปรดฯให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม

* พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน

* พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส การทดลองปกครองส่วนกลางใหม่ เปิดโรงพยาบาลศิริราชโปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน

* พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา

* พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)

* พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก

* พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส

* พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง

* พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า

* พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต

วันออกพรรษา

วันออกพรรษา

ความสำคัญ วันออกพรรษา ได้แก่ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษา คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ในวันนี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรม ซึ่งเรียกว่า วันมหาปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ภิกษุด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ทั้งนี้เพราะในระหว่างพรรษานั้น พระสงฆ์บางองค์อาจมีข้อบกพร่องที่จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ เป็นวิธีที่จะรู้ถึงข้อบกพร่องของตน ทั้งนี้กระทำโดยเปิดเผย ไม่ถือเป็นเรื่องที่จะมาโกรธเคืองกันภายหลัง หรือเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกัน
การกระทำมหาปวารณา เป็นการสังฆกรรมอย่างหนึ่งแทนการสวดพระปาฏิโมกข์ (พระวินัย) ที่ได้กระทำกันทุกๆ ๑๕ วันในช่วงเข้าพรรษา
การปฏิบัติตน
แม้การ ปวารณาจะเป็นเรื่องระหว่างพระสงฆ์ด้วยกัน แต่การออกพรรษาก็เป็นวาระสำคัญ
อีกวาระ หนึ่งที่ชาวบ้านจะได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน โดยในวันรุ่งขึ้น คือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ มีประเพณีทำบุญตักบาตร ที่เรียกกันว่า ทำบุญตักบาตรเทโว หรือเรียกเต็มๆ ว่า ตักบาตรเมโวโรหนะ

สืบ เนื่องจากความเชื่อตามตำนานที่ว่าวันนี้เป็นวันคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกหลังจากที่ได้เสด็จกลับจากการไปโปรด พระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์บางวัดอาจจัดพิธีทำบุญตักบาตรธรรมดา แต่บางวัดก็จัดเป็น
งานใหญ่โต เสร็จจากการทำบุญตักบาตร พุทธศาสนิกชนจะไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา

๑. ทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับ
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
๓. ร่วมกุศลกรรม "ตักบาตรเทโว"
๔. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ และประดับธงชาติและธงธรรมจักตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา

ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษาที่นิยมปฏิบัติ คือ

๑. ประเพณีตักบาตรเทโว (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หลังจากออกพรรษาแล้ว ๑ วัน)

๒. พิธีทอดกฐิน (ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ กำหนด ๑ เดือนนับตั้งแต่วันออกพรรษา)

๓. พิธีทอดผ้าป่า (ไม่จำกัดกาล)

๔. ประเพณีเทศน์มหาชาติ (นิยมทำกันในวันขึ้น ๘ ค่ำ หรือ วันแรม ๘ ค่ำ กลางเดือน ๑๒ ในบางท้องถิ่นอาจนิยมทำกันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ หรือในเดือน ๑๐)

กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติใน วันออกพรรษา


1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ


2. ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือจัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา


3. ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"


4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัด และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา


5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป


6. งดการเที่ยวเตร่ ละเว้นอบายมุข รวมทั้งละเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์


โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำพิธี วันออกพรรษา จะมีดังต่อไปนี้


- เตือน สติว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปอีกพรรษาหนึ่งแล้วได้คร่าชีวิตมนุษย์ ให้ผู้คนนั้นดำรงค์อยู่ในความไม่ประมาทและหันมาสร้างกุศล


- การทำบุญออกพรรษาจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชำระความผิดของตนได้ คือหลักปวารณา ปกติคนเราคบกันนานๆ ก็จะเผย "สันดาน" ที่แท้ออกมา อาจจะไม่ดีนักแต่ตนเองไม่รู้ตัวแล้วมองไม่เห็น แต่ผู้อยู่ข้างๆ มองเห็นแต่ไม่กล้าเตือน ดังนั้นตนเองต้องปวารณาตัวให้ผู้อื่นชี้แนะได้ ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นและยั่งยืน


- ได้ข้อ คิดที่ว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะลำเอียงเข้าข้างตนเองเป็นฝ่ายถูก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายส่วนตนเองนั้นความผิดนั้นเห็นยาก นี่แหละสัญชาตญาณของคนเรา


- เป็นการให้รู้ถึงการมี มนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการเปิดใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในใดๆ ต่อในการคบหาหรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


ดังนั้นใครที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง วันออกพรรษา จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการย้อนมองดูตัวเองว่าได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้บ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ปรับปรุงและไม่ทำผิดซ้ำในเรื่องเดิมอีก

การเลิกทาสในประเทศไทย


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรม หาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง

ทรงเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมราชสมภพเมื่อ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา


พระองค์ทรงปกครองอาณาประชา ราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน

สมัย ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป


ในปี พุทธศักราช ๒๔๑๗ โปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส

ตลอด รัชกาลได้ทรงพระราชกาลได้ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสหลายฉบับ ออกบังคับใช้ในมณฑลต่างๆ ให้ลูกทาสเป็นไท ประกาศประมวลกฎหมายลักษณะอาญากำหนดบทลงโทษแก่ผู้ซื้อขายทาสให้มีความผิดเช่น เดียวกับโจรปล้นทรัพย์ ทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเจ้านายและขุนนางในการบำเพ็ญกุศลด้วยการบริจาค พระราชทัรพย์ไถ่ถอนทาสพร้อม พระราชทานที่ทำกินเป็นผลให้ระบบทาสที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี ก็ได้ถูกยกเลิกไปจนหมดสิ้น ด้วยพระราชหฤทัยแน่วแน่และทรงพระราชอุตสาหะ เป็นเวลาถึง ๓๐ ปีก็ทรง ก็ทรงเลิกทาสสำเร็จในพุทธศักราช ๒๔๔๘ สมตามพระราชปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้

พระราชกรณียกิจสำคัญนี้ก่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของพลเมืองจากทาสมาเป็นสามัญชน มีอิสรภาพทางสังคมเท่าเทียมกัน โดย กำหนดเอาไว้ว่าลูกทาสที่เกิดแต่ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๔๑๑ อันเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ให้ใช้อัตราค่าตัวเสียใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พออายุครบ ๘ ปี ก็ให้ตีค่าออกมาให้เต็มตัว จนกว่าจะครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้กลับเป็นไทแก่ตัว เมื่อก้าวพันเป็นอิสระ แล้วห้ามกลับมาเป็นทาสอีก ทรงพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้คน ขายตัวเป็นทาส จึงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ย และขยายระบบการศึกษาให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้นในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศเพราะ เหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยนั้นได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป

กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลดต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท

แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่าเมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง

ประเทศ ไทยนั้นมีการใช้ทาสมาเป็นเวลานานเพื่อใช้ทำกิจการต่างๆ ในบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์ พระองค์ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ด้วยทรงพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชการเกี่ยวกับเรื่องทาส พระองค์ทรงคิดหาวิธีจะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม ทำตามลำดับขั้นตอน

ข้าทาสและไพร่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย พอถึงปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 (พ.ศ.2448)

เลิก เรื่องลูกทาส
ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด
เด็กที่เกิดจากทาส
ไม่เป็น ทาสอีกต่อไปการซื้อขายทาส
เป็นโทษทางอาญา
ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงิน
ลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

และนี่ก็เป็นพระมหากรุณาทิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวใน รัชกาลที่๕ที่ทรงให้มีการเลิกทาสนับตั้งแต่นั้นมา ภายหลังประกาศเลิกทาสจนเป็นอิสระภาพ ทั้งนี้การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า สมเด็จพระปิยมหาราช

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอน


ใครที่อยากนอนหลับสบาย ตลอดคืน วันนี้มีวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนมาบอก

- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว

- ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ

- นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง
เพราะอาจทำให้ เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

- เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ

- อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

- ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตา
ปรับแสงได้ ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น

- ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ
ไม่หนามากจน เกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

- ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง
เมื่อ เริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้หลับสบายตลอดคืนแล้ว.

เตือนวัยรุ่นอินเทรนด์แฟชั่น“เล็ค กิ้ง”ดำ เสี่ยงไข้เลือดออก


เตือนวัย รุ่นอินเทรนด์แฟชั่น“เล็คกิ้ง”ดำ เสี่ยงไข้เลือดออก สียั่วยวนยุงลาย แนะเลี่ยงใส่โทนทึบ

รม ช.สธ.เตือนวัยรุ่นฮิตแฟชั่น"เล็คกิ้ง"ดำ เสี่ยงสูงป่วยไข้เลือดออก เหตุสีดำยั่วยวนยุงลายง่ายต่อการเจาะปากดูดเลือด แนะเลี่ยงใส่โทนทึบ เผยช่วง 7 เดือนปี 53 ป่วยพุ่งกว่า 4.5 หมื่นราย เสียชีวิต 43 ราย กลุ่มวัยรุ่น 10-24 ปี เป็นมากสุดกว่าร้อยละ 50

ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้น่าห่วงมาก จำนวนผู้ป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 40 ตั้งแต่เดือนมกราคม-30 กรกฎาคม 2553 ทั่วประเทศมีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกแล้ว 45,379 ราย เสียชีวิต 43 ราย โดยพบผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุ มากที่สุดคือกลุ่มเด็กโตถึงวัยรุ่น อายุ 10-24 ปี พบร้อยละ 52 ซึ่งต่างจากช่วง 3-4 ปีก่อนที่พบในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีมากกว่า

ขณะนี้มีรายงานพบเด็กแรกเกิดอายุต่ำ กว่า 28 วัน ป่วยจำนวน 7 ราย ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปป่วย 322 ราย กระทรวงสาธารณสุขได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ และอสม. ร่วมกันประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะในบ้าน

เนื่องจากผลวิเคราะห์จากผู้ป่วยพบว่ากว่าร้อยละ 80 ถูกยุงลายในบ้านกัด ซึ่งแหล่งน้ำในบ้านที่มักมียุงลายวางไข่ ได้แก่ ถังน้ำ โอ่งน้ำ พบได้ร้อยละ 40 รองลงมาคือน้ำหล่อขาตู้กับข้าว แจกัน วิธีการลดปริมาณยุงลายที่ดีที่สุดคือการทำลายลูกน้ำทุก 5 -7 วันเพื่อไม่ให้มีโอกาสโตเป็นยุงเต็มวัย หากบ้านเรือนทั้ง 22 ล้านครัวเรือนช่วยกัน มั่นใจว่าปริมาณยุงลายตัวเต็มวัยจะลดลง เพราะยุง 1 ตัวจะมีอายุประมาณ 30-45 วัน ส่วนเรื่องการรักษาได้เน้นย้ำให้แพทย์ พยาบาลทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐาน หากพบผู้ป่วยทุกอายุที่มีไข้สูง ขอให้นึกถึงโรคไข้เลือดออก และดูแลใกล้ชิด เพื่อลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด

ดร.พรรณสิริ กล่าวต่อว่า เรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือการแต่งตัวของ ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นทั้งเขตเมืองและชนบท

ขณะนี้นิยมแฟชั่นเล็คกิ้งหรือกางเกงใส่กันโป๊ ซึ่งเป็นกระแสแฟชั่นฮิตจากเกาหลี มีลักษณะเป็นผ้ายืดมีทั้งขายาว ขาสั้น ขาสี่ส่วน มีหลากสีใส่แนบขา แต่ที่นิยมมากที่สุดคือสีดำ ซึ่งเป็นสีที่ยุงลายชอบ และยุงชนิดนี้จะออกหากินช่วงกลางวันอยู่แล้ว ทำให้ผู้ใส่มีความเสี่ยงถูกยุงลายซึ่งมีปากแหลมกัดเจาะผ่านรูผ้ายืดของ กางเกงเข้าไปดูดเลือดได้โดยง่าย หากยุงที่กัดมีเชื้อไข้เลือดออกก็จะทำให้ติดเชื้อและป่วยได้ จึงขอแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงใส่เสื้อผ้าสีโทนทึบ โทนดำ เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยวนยุงลาย ควรเลือกใช้เสื้อผ้าสีอ่อนๆ สวมใส่กางเกงที่ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดได้ เช่นกางเกงยีนส์ หรือกางเกงผ้าหนาๆ ซึ่งในช่วงเดือนมิถุนายน – กันยายนทุกปี เป็นช่วงระบาดของไข้เลือดออก จะพบผู้ป่วยช่วงนี้มากที่สุด


นายแพทย์นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กองสุขศึกษาดำเนินการสำรวจพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออกของ ประชาชน โดยผลสำรวจล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,601 คนใน 18 จังหวัดที่เคยมีการะบาดของโรคไข้เลือดออก ได้แก่ สระบุรี สิงห์บุรี ปราจีนบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม พัทลุง กระบี่ ปัตตานี จะนทบุรี อุดรธานี สกลนคร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ ชัยภูมิ ลำปาง น่าน อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ และกรุงเทพฯ พบว่าประชาชนร้อยละ 35 ไม่สนใจล้างทำความสะอาดภาชนะเก็บน้ำในห้องน้ำ ซึ่งตามหลักต้องทำทุกสัปดาห์ โดยมีเพียงร้อยละ 63 เท่านั้นที่ทำเป็นประจำ และอีกร้อยละ 31 ไม่เคยตรวจและทำลายลูกน้ำในภาชนะเก็บน้ำในบ้านเช่นน้ำหล่อขาตู้กับข้าว แจกัน ที่เก็บน้ำอื่นๆ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่ควรละเว้น เนื่องจากยุงลายตัวเมียสามารถวางไข่ได้คราวละ 300-400 ฟอง เมื่อเป็นลูกน้ำ จะสามารถกลายเป็นตัวยุงมีปีกบินได้ภายใน 5-7 วัน จะเพิ่มความเสี่ยงในการถูกยุงลายกัดมากขึ้น

รักแท้ต้องขอจากพ่อแม่


“ห้ามชิงสุกก่อนห่าม”
“รักแท้ต้อง อิงผู้ใหญ่”
“เข้าตามตรอก...ออกตามประตู”

ที่กล่าวมานั้น เป็นสุภาษิตสอนหญิงที่สอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว สอนให้ผู้ชาย
รู้จัก ให้เกียรติสตรีและเห็นคุณค่าของค่าน้ำนมของแม่ฝ่ายผู้หญิง นอกจากนี้ยังเป็น
การ ป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องทนทุกข์จากความรักอันจอมปลอมเพราะถ้าฝ่ายชายมี
ความ รักแท้จริงแล้วจะต้องรวบรวมความกล้าเข้าไปพบกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เพื่อขอ
อนุญาต ในการคบลูกสาวบ้านนี้ในฐานะคนรักจากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง

แม่ชี ทศพร กล่าวว่าเดี๋ยวนี้พอเด็กๆ โตเป็นวัยรุ่นก็เริ่มมีความรัก สนอกสนใจเพศ
ตรงข้าม มีแฟนก็อยากจะอยู่ใกล้ชิดซึ่งกันและกัน บางคนก็ชิงสุกก่อนห่าม มีความ
สัมพันธ์กันระหว่างที่ยังเรียนหนังสืออยู่ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เรื่อง ซึ่งสุภาษิตโบราณแบบ
นี้กลายเป็นคำสอนที่ใช้ ไม่ได้แล้ว

หัวอกของผู้เป็นพ่อแม่ย่อมรักและห่วงใยลูกเป็นธรรมดา กว่าแม่จะเลี้ยงดูลูกสาว
ให้เติบโตเป็นกุลสตรีที่มีคุณสมบัติของผู้หญิง ที่ดี เพียบพร้อมไปด้วยปัญญา มีมารยาท
จิตใจโอบอ้อมอารี อ่อนโยน รู้จักคิด มีความเข้มแข็ง สามารถเอาตัวรอดและเลี้ยงดู
ตนเองได้ในสังคม ยุคนี้ นับเป็นเรื่องที่ยากเอาการ ดังนั้นบ้านใดมีลูกสาว ผู้เป็นพ่อแม่
ก็ยิ่งห่วงใยมากเป็นพิเศษ เพราะลูกสาวได้แต่งงานออกเรือนได้สามีที่ดีรักทะนุถนอม
เป็นที่พึ่งพาได้ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะสบายใจคลายความทุกข์

สุภาษิตคำ ว่า “ห้ามชิงสุกก่อนห่าม” จึงเป็นการบอกว่าหากยังไม่ถึงวัยที่สมควรจะ
ออกเรือนหรือยังไม่มีวุฒิ ภาวะในการรับผิดชอบชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวได้ก็ยังไม่สมควร
ที่จะแต่งงาน เพราะสังคมไทยแตกต่างไปจากสังคมตะวันตก ที่แม้ลูก ๆจะเติบโตเป็น
ผู้ใหญ่ แล้วแต่สำหรับในสายตาของพ่อแม่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงลูกอยู่เสมอ และลูก
ก็ เปรียบเสมือนคนในปกครองของผู้เป็นพ่อแม่ นั่นหมายถึงลูกสาวแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่
แต่ถ้าพ่อแม่ยังอยู่และเป็นห่วงใย อาทรต่อชีวิตความเป็นอยู่ของลูกก็แสดงว่า “หญิง
สาวคนนี้ก็ยังเป็นลูกของ พ่อแม่บ้านนี้”
การชิงสุกก่อนห่ามโดยไม่บอกกล่าวพ่อแม่นอกจากจะเป็น เรื่องที่ทำร้ายจิตใจของพ่อแม่แล้วในขณะเดียวกันก็เป็นการผิดศีลข้อที่ ๓ ด้วย เพราะเป็นการพรากลูกสาวหรือมีเพศ สัมพันธ์กับลูกสาวในปกครองของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตนั่นเอง

แม่ ชีทศพร กล่าวว่า “ไม่ได้ห้ามคน ๒ คนไม่ให้รักกัน โยมมีความรักน่ะไม่ได้ผิดหรอก
เรียกว่าคน ๒ คนไปรักกันยังไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ แต่จะผิดศีลข้อที่ ๓ ก็ต่อเมื่อพ่อแม่ของ
ฝ่าย หญิงไม่พร้อมที่จะยกลูกสาวให้ไปแต่งงาน ถ้าพ่อแม่ไม่พร้อมให้ แล้วลูกสาวไป
ชิง สุกก่อนห่ามไปแต่งงานถึงเรียกว่าผิดศีลข้อที่ ๓

ความไม่พร้อมของทั้ง ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่จะแต่งงาน มันนำมาซึ่งปัญหาหลาย ๆ
เรื่องทั้งทาง โลก ทางธรรมและกรรม สมมติว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงอนุญาตให้แต่งงานเนื่อง
จาก ความไม่พร้อมในทางการเงินก็เริ่มก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว

พอจะแต่งงานฝ่ายลูกเขยก็ไม่พร้อม ก็ต้องไปหายืมเงินมาจากคนอื่นเพื่อจะได้มี
เงินจัดงานแต่งงาน
โดยยืมเงินมาเป็นแสนบาทเพื่อมาเป็นเงินสินสอดทองหมั้นให้
แม่ยายจะได้ ไม่อายคนอื่น พอแต่งงานเสร็จฝ่ายลูกเขยก็เอาเงินคืนจากแม่ฝ่ายหญิง
แล้ว รับเอาตัวเจ้าสาวไป ทีนี้ลูกสาวของเราก็ต้องไปเป็นคนของเขาทั้งชีวิต หรือบางที
แม่ฝ่ายหญิงไม่อยากจะเห็นลูกสาวตนเองไปลำบากก็คืนเงินที่เป็น เงินสินสอดที่ทาง
ฝ่ายลูกเขยมอบให้ตนเองเอาคืนให้กับลูกสาว

แม่ ชีทศพร บอกว่า ผู้เป็นแม่เจ้าสาวห้ามคืนเงินคืนให้กลับลูกเขย เพราะเงินสินสอดก้อนนี้คืนเงินค่าน้ำนมของแม่เจ้าสาวที่แม่เจ้าสาวจะต้อง เก็บเอาไว้ ถ้าไม่เก็บ ก็ผิดศีลข้อ 3 มันจะส่งผลให้ครอบครัวของลูกสาวเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มีความรุ่งเรือง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเพราะการเอาเงินคืนไปให้ลูกเขยก็เหมือนกับทำพิธีกรรม หลอกๆ หลอกผีปู่ย่าตายาย หลอกว่าจะมาขอลูกสาวแต่งงาน วันแรกของการแต่งงานก็เริ่มต้นด้วยความหลอกลวง แล้วชีวิตของคู่สมรสใหม่จะเป็นมงคลได้อย่างไร เพราะหลอกทุกๆคนที่มาร่วมงานตั้งแต่วันที่เป็นมงคลแล้ว ถ้าแม่รักลูกสาวก็จะต้องไม่คืนเงินสินสอด จำเอา ไว้ว่าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงพิธีกรรมหลอก ถ้าฝ่ายเจ้าบ่าวมีเงินเท่าไรก็ขอให้ทำเท่านั้น เจ้าบ่าวมีเงินเพียง 500 ก็ให้ 500 บาททำอย่างนี้จะดีกว่า ขอให้มีความซื่อสัตย์กับครอบครัวฝ่ายหญิงและตนเอง

ที่สำคัญอีกอย่าง หนึ่งในวันแต่งงาน ฝ่ายเจ้าสาวจะชอบยืมของมาใช้ในวันแต่งงานเช่น
ยืม รองเท้า ยืมชุดแต่งงาน เครื่องประดับ เป็นต้น การหยิบยืมมีความหมายว่าไม่มีการหลุด
หนี้ นี่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ควรจะรู้ และถ้าคู่สมรสไหนเคยทำอย่างนั้น
ก็ให้กลับไป
หาพ่อแม่ของเรา ไปกราบท่านแล้วบอกกับท่านว่าในตอนที่เราได้แต่งงานมีเรือน
หาก ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเคยทำความทุกข์ใจอะไรๆไว้กับพ่อกับแม่มา เราขออโหสิกรรมจากท่านทั้งสองคน นี่จึงจะไม่ผิดศีลข้อที่ 3

จนกว่าบุญจะเห็นเรา


ผมเคยเห็นคำๆนี้ที่ไหนน๊อ อาจจะเป็นในเวบพลังจิต หรือที่ไหนก็ได้ จำไม่ได้แล้ว
แต่ที่ผ่านมา ผมไม่ได้สะดุดใจคำนี้ จนกระทั่งไม่กี่วันนี้ นึกขึ้นมาได้เอง มีความรู้สึกเต็มหัวใจว่า เอ้อ คำว่า

"จนกว่าบุญจะเห็นเรา" เนี่ย มันช่างไพเราะเสนาะหูเสียนี่กระไร

ตราบใดที่เราต้องเวียนว่าย ตายเกิดในวัฎสงสารนั้น คำว่า "บุญ" เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะบุญเป็นเสบียง เพราะบุญเป็นเชื้อเพลิง ที่เราจำเป็นต้องนำติดตัวไปในวัฏสงสารอันยาวไกลนี้

แต่ การที่เราทำบุญนั้น บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่า เอ้อ ทำไปก็เท่านั้น ทำดีไม่เห็นได้ดี หรือเมื่อไหร่เราจะได้รับผลดีเสียที นั่นเป็นเพราะเราเกิดความไม่เชื่อมั่น เราเกิดความท้อแท้ เราเกิดความสิ้นหวัง เรากำลังแพ้ใจตัวเอง เรากำลังปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ และเรากำลังแพ้พญามาร.....

การ ทำบุญนั้น อย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้ผลบุญอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปคาดหวังว่าบุญจะบังเกิดผลเวลานั้นเวลานี้ เพราะมิฉะนั้นเราจะตั้งหน้าตั้งตารอ เมื่อไม่สมหวัง เราก็จะเกิดอาการท้อ

จง ทำบุญเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร เป็นสิ่งที่ทำให้เราลดละกิเลสในตัวเอง นั่นแหละเป็นสิ่งที่สุดยอดแห่งการทำบุญ

และอย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้ผลบุญอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะได้ผลบุญเมื่อนั้นเมื่อนี้

แต่จงทำบุญไปเรื่อยๆ ....

จนกว่า บุญจะเห็นเรา


และแม้บุญจะเห็นเรา เราก็จะไม่หยุดยั้งการทำบุญ จนกว่าถึงขั้นที่เราอยู่เหนือบุญเหนือบาป

แต่ ณ ขณะนี้ จำไว้ว่า เราจะทำบุญ

จนกว่า..... บุญจะเห็นเรา

'คิดถูก-ชีวิตสุข'


ธรรมะจาก 'พระมิตซูโอะ' ถึงทุกคู่ชีวิต

สำหรับชีวิตคู่ คงจะดีไม่ใช่น้อย ถ้าคนสองคน สามารถอ่านใจของกันและกันได้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น หรือทำให้ชีวิตสะดุดน้อยที่สุด หลายสัปดาห์ก่อน ทีมงาน Life and Family ได้เดินทางไปปลูกกล้วย คืนอาหารให้ช้างป่า ณ วัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

ซึ่ง เป็นโอกาสอันดีที่ทีมงานได้นั่งร่วมฟังสนทนากลุ่ม กับพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม และได้รับหนังสือจากพระอาจารย์หลายเล่ม หนึ่งในนั้น คือ "คิดถูก ดับทุกข์ได้" และเห็นว่า ในเล่ม มีหลักคิดที่จะสามารถนำมาปรุงแต่งชีวิตรักให้กลมกล่อมได้ ทีมงานจึงยกข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ มาให้ท่านผู้อ่านได้นำไปประยุกต์ใช้กันครับ

*** ชีวิตคู่ คือ อาหาร 2 อย่างที่ต่างกัน

เป็น ไปได้ง่ายว่า เมื่อชีวิตต้องโคจรมาอยู่คู่กัน อารมณ์ ความรู้สึก และทิฐิต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อรู้ถึงความต่าง จึงต้องระวังความรู้สึก ความคิด และเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างด้วย

พระอาจารย์มิตซูโอะ เขียนบอกไว้ว่า คนแต่ละคน เหมือนอาหารแต่ละชนิด ที่มีรสชาติ และอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นอารมณ์เฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองชอบ ก็ถือว่าสิ่งนั้นดี หรือถ้าไม่ชอบ ก็ถือว่าไม่ดีเสมอไป ดังนั้น อย่าเอาความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบมาตัดสินว่า เขา/เธอ ดีหรือไม่ดี เพราะนั่นอาจกระแทกให้ชีวิตคู่เกิดรอยร้าวขึ้นได้ง่าย

*** โกรธเขา เขาไม่รับ เราต้องรับเอง

บางครั้ง ชีวิตคู่ อาจมีเรื่องที่ทำให้ใครคนใดโกรธได้ พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเขา หรือเธอทำผิดจริงๆ ซึ่งถ้าคิดเป็น ความโกรธนั้นก็จะหายไป กระนั้น ไม่ว่าคู่ชีวิต จะทำแก้วแตก พูดไม่เพราะ ขี้เกียจ ไม่ช่วยงาน ควรลดความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ เพราะมันเป็นความผิดของเขา อย่าเอามาเป็นความผิดใจ หรือทำลายใจของเรา แต่ขอให้คิดเสียว่า โกรธเมื่อไร ผิดทันที เพราะสมมติว่า เขา หรือเธอทำแก้วแตกโดยความประมาท ถ้ายิ่งโกรธ ใจก็จะเป็นทุกข์ตามไปด้วย

สำหรับ กรณีบางคน ที่เมื่อมีความโกรธ มักจะมีนิสัย ‘ไม่ถูกใจหน่อยก็บ่น บ่นไปเรื่อย' จนคนรอบข้างเกิดความรำคาญ ซึ่งตรงนี้ อันตรายมาก ทางที่ดี ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า ถ้ามีใครบ่นกับเราแบบนั้นบ้าง เราจะชอบหรือไม่ แล้วเมื่อบ่นแล้ว ตัวเราสบายใจ หรือไม่สบายใจ

ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ควรเข้าใจปัญหา และงดใช้อารมณ์จนเกิดรอยร้าว เพราะบางคน นอกจากจะบ่นอย่างเดียวแล้ว ชอบขุดเรื่องในอดีตมาพูดพร่ำ นิสัยตรงนี้อาจนำมาซึ่งการไม่อยากเข้าหา หรือไม่อยากอยู่ใกล้ด้วยของคู่ชีวิต เนื่องจากสิ่งที่พูด บางครั้งทำร้ายจิตใจไม่ใช่น้อย

อย่างไรก็ดี พระอาจารย์เขียนแนะว่า ไม่ว่าคู่เรา จะทำให้โกรธ ควรตั้งสติ หยุดคิดก่อน และให้คิดทวนกระแส อย่าคิดตามอารมณ์ เช่น ไม่ควรคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ เพราะถ้ายิ่งคิด ก็จะเกิดการปรุงแต่ง จนเกิดภาพ เกิดชาติ และเกิดอัตตาตัวตนได้

"เมื่อรู้ว่าความโกรธไม่ดี ใครโกรธเราก็อย่ารับ และอย่าโกรธตัวเองในทุกสถานการณ์ สอดรับกับที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่า ความโกรธ เหมือนการทำอาหารให้คนอื่นกิน ถ้าเขาไม่กิน คนทำ (คนโกรธ) ก็ต้องกินเอง"

คงจะปฏิเสธได้ยากว่า เมื่อคนเราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การไม่ถูกใจกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่ารักกัน หรืออยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน ก็ไม่แคล้วที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ฉะนั้น การแก้ปัญหาในชีวิตคู่ ให้แก้ที่ตัวเองก่อนเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะค่อยๆ คลี่คลายตามไปเอง ด้วยการละความชั่วของตัวเอง ทำแต่ความดี ความถูกต้อง แล้วจะเข้าใจคู่ชีวิต ลดรอยร้าวที่จะเกิดการแตกหักตามมาได้มาก

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มหัศจรรย์"ทานตะวันสีแดง"


ใกล้ถึงเทศกาลดอกทานตะวันบาน สะพรั่งเต็มท้องทุ่งกันอีกแล้ว

ที่สำคัญปีนี้ดู เหมือนจะพิเศษกว่าทุกปี เมื่อล่าสุดเกษตรกรไทยสามารถทดลองปลูก “ทานตะวันสีแดง” ได้เป็นผลสำเร็จ โดย จะนำผลงานมาโชว์ให้เห็นเป็นขวัญตาครั้งแรกในงาน “เชียงใหม่ ฟลอร่า บลอสซั่ม เซเลเบรชั่น” (Chiangmai Flora Blossom Celebra- tion) ซึ่งจัดขึ้นที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2553

งานนี้ หากใครมีโอกาสขึ้นเหนือแอ่วเชียงใหม่ อย่าลืมแวะไปชมทานตะวันสีแดงก่อนใคร ๆ

ทั้งนี้กว่าจะเพาะเลี้ยงจนประสบความสำเร็จดังที่เห็นไม่ใช่เรื่อง ง่ายต้องใช้เวลาหลายปี โดย วัฒนะ แย้มเจิม เจ้าของผลงาน วัย 47 ปี เจ้าของไร่ทานตะวันจำปี ซันฟลาวเวอร์ปาร์ค จ.ลพบุรี เล่าถึงแรงบันดาลใจในการพัฒนาทานตะวันสีแดงให้ฟังว่า ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯทรงเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ประมาณปลายปี พ.ศ. 2542 ทำให้ตนเห็นดอกทานตะวันเหลืองอร่ามเต็มทุ่งและมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกัน เป็นจำนวนมาก จึงมีความคิดอยากปลูกทานตะวันบ้าง เมื่อปลูกมาได้ 2 ปี เริ่ม รู้สึกว่าอยากคิดอะไรนอก กรอบบ้าง ไม่ใช่แค่มีทุ่งทาน ตะวันสีเหลืองเหมือนทุ่งอื่น ๆ เพราะจากการศึกษาค้นคว้าจากเว็บไซต์ของต่างประเทศพบว่ามีดอกทานตะวันหลายสี คือ สีเหลือง สีขาว สีฟ้าและสีแดง

เหตุผลที่เลือกดอกทาน ตะวันสีแดง เพราะหากปลูกสีขาวจะดูไม่โดดเด่นและสวยสู้สีเหลืองไม่ได้

แต่ ถ้าปลูกสีฟ้าก็จะกลมกลืนไปกับท้องฟ้า จึง ตัดสินใจเลือกสีแดง เพราะตัดกับดอกทานตะวันสีเหลือง ตัดกับท้องฟ้าและดูสวยเด่น กว่าสีอื่น ๆ จึงทุ่มเทศึกษาเพิ่มเติมจนทราบอีกว่าดอกทานตะวันสีแดงไม่ได้มีแค่พันธุ์ เดียว แต่ยังมีอีกมากมายหลากหลายสายพันธุ์ จึงได้ติดต่อไปยังบริษัทจำหน่ายเมล็ดทานตะวันสีแดงที่ต่างประเทศเพื่อขอ ตัวอย่างเมล็ด แต่ละพันธุ์มาทดลองปลูก โดยเลือกปลูกทานตะวัน สีแดงได้ 3 พันธุ์ ได้แก่ แดงประกายส้ม แดงเข้ม และแดงจาง

นอก จากนี้ยังได้ทดลองนำเมล็ดพันธุ์ของทานตะวัน สีเหลืองแบบอื่นมาปลูกอีก 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์กำมะหยี่และปุยฝ้าย แต่ช่วงแรกที่ขอตัวอย่างเมล็ดพันธุ์มาปลูกได้ทดลองปลูกอยู่หลายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็ไม่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราจนได้พันธุ์ที่เหมาะสม 5 สายพันธุ์นี้

“ผมเริ่มสั่งลอตแรกมาปลูกซึ่งราคาก็แตก ต่างกันมาก เช่น เมล็ดทานตะวันธรรมดาบ้านเรากิโลกรัมละ 500 บาท แต่เมล็ดทานตะวันสีแดงของต่างประเทศ กิโลกรัมละ 90,000 บาท ถามว่าทำไมถึงยอมลงทุนมากขนาดนี้ เหตุผลก็เพราะอยากเห็นความต่างและใจก็รักในด้านนี้ด้วย รวมทั้งรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เห็นนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมแล้วมีรอย ยิ้มพอใจกับทุ่งทานตะวันของเราทำให้อยากนำสิ่งใหม่ ๆ มาให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน”
สำหรับการปลูกใหม่ ๆ ยอมรับว่ามีปัญหาบ้างเพราะมันไม่เหมือนดอกทานตะวันทั่วไป การเพาะปลูกต้องจัดการเรื่องน้ำ ดิน ปุ๋ย เมล็ด ให้ดี

เพราะ ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไปจะส่งผลลัพธ์ที่ไม่ดี ซึ่ง อันนี้เป็นปัญหาที่เราสามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหาเรื่องอากาศร้อนมากไป ฝนตกชุกมากเกินไป ซึ่งปัญหาตรงนี้เราไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้บางครั้งทานตะวันตายหมด แต่เราก็พยายามทำการทดลองมาเรื่อย ๆ โดยสั่งเมล็ดพันธุ์เข้ามาไว้ให้เพียงพอต่อ 1 ฤดูกาล บางปีฝนตกหนักก็เสียหายมาก แต่ถามว่าท้อไหม ขอ ตอบ ว่าด้วยใจรักไม่ เคยคิดว่าจะลดจำนวนหรือเลิกปลูกมีแต่จะปลูกเพิ่มให้เป็นทุ่งกว้าง และต่อไปในอนาคตจะดัดแปลงสายพันธุ์เองให้มีคุณภาพมากกว่าเดิมด้วย

ความแตกต่างระหว่างดอกทานตะวันสีเหลืองกับดอกทานตะวันสี แดง แตกต่างกันตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกเลย ก็ว่าได้

เพราะ ว่าต้องดูแลมาก กว่าปกติหากดอกทานตะวัน สีแดงตายไป 1 ดอก ถ้าตีเป็นราคาก็เท่ากับเมล็ดละ 20 บาททีเดียว จึงต้องดูแลทุกวัน เช้า-เย็น คอยฉีดยาฆ่าแมลงไม่ให้มีแมลงมารบกวน แต่ถ้าเป็นดอกสีเหลืองทั่ว ๆ ไปดูแลอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ส่วนการใส่ปุ๋ยหากใส่มากเกินไปมันก็จะช็อกตายได้ เพราะเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยความที่อยาก ให้มันโตเร็ว ๆ จึงเร่งใส่ปุ๋ยบ่อย ๆ ทำให้มันตาย สำหรับขนาดของดอก ทานตะวันสีแดงมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ส่วนสูงเฉลี่ยประมาณ 1.50 เมตร แต่ดอกทานตะวันสีเหลืองบางสายพันธุ์สูงถึง 2 เมตร ก็มี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ก็มากกว่าสีแดงประมาณ 12 นิ้ว
แต่คำว่าพิเศษคือ ดอกทานตะวันสีแดงมีต้นหนึ่งประมาณ 5 ดอก แตกต่างจากสีเหลืองที่มีต้นละ 1 ดอก

ปัจจุบันทุ่งทานตะวันจำปีซันฟลาวเวอร์ปาร์คมีเนื้อที่ทั้ง หมด 50 ไร่ แยกปลูก 1 ไร่ ต่อ 1 แปลง ช่วงแรก ๆ ที่ปลูกทานตะวันสีแดงได้แล้ว

เราจะติดป้ายบอกนัก ท่องเที่ยวว่าทุ่งเรามีดอกทานตะวันสีแดงด้วย และทำลูกศรชี้ให้เดินไปชม ซึ่งนักท่องเที่ยวรู้สึกประหลาดใจมาก บางคนดูอย่างเดียวไม่เชื่อบอกว่าเอาสีมาทาบ้าง ดอกไม้ปลอมบ้าง ก็หยิบจับดอกทานตะวันมาขยี้ดูบ้าง แต่เพื่อให้นักท่องเที่ยวสบายใจว่าเราไม่ได้หลอกลวงก็จะไม่ได้ว่าอะไร

เจ้าของไร่ทานตะวันสีแดงทิ้งท้ายว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประทับใจกับผลงานการคิดค้น และทำให้รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งก็คือ
ความประทับใจของนักท่องเที่ยวที่เห็นทุ่งทานตะวันของเราแล้วมีความสุข รวมทั้งทำชื่อเสียงให้กับจังหวัดลพบุรีเรื่องการท่อง เที่ยวด้วย เพราะ มีทุ่งเราทุ่งเดียวเท่านั้นที่มี ดอกทานตะวันสีแดง

หากใครที่อยากตามไปพิสูจน์ดอกทานตะวันสีแดง ว่าจะสวยงามแปลกตาสมคำร่ำลือหรือไม่
ไปพบกันได้ในงานฯ ก่อนจะไปเที่ยวชมกันต่อในช่วงฤดูหนาวที่จะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า นี้.