วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นั่งหน้าคอมฯ นาน ๆ อาจตายได้!

แพทย์เชื่อว่า อาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยที่ไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำให้คุณตายได้ ซึ่งเราไม่ได้กำลังพูดถึงนักเล่นเกมที่ตายหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากอดอาหาร และน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน แต่หมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กับโต๊ะ คอมพิวเตอร์.....
นักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง อาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม เป็นอันตรายถึงตายได้ ลักษณะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกว่า DVT (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะชั้นที่นั่งราคาประหยัด บางทีจึงเรียกอาการนี้ว่า "economy-class sysdrome" ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปี ผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิมเตอร์ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งอาการโคม่า เนื่องจากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาของเขา ก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่ง อาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดขันอยู่ในเส้นเลือดดำ ซึ่งมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่ม


โดยอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขา จะเริ่มบวม ส่วนอาการที่อันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออก และเดินทางไปยังหัวใจ หรืออวัยวะภายในที่สำคัญๆ ซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นจะไม่อาจคาดเดาได้
ข้อแนะนำ
นอกจากการที่ไม่ควรนั่งทำงาน หรือเล่นคอมพิวเตอร์นานเกินไปแล้ว ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่านั่งนานเกินไปให้พยายามกระดิกนิ้วเท้า และข้อเท้า ดื่มน้ำ และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่นั่งนานควรจะลุกขึ้นและยืดขาอย่างน้อยๆ ชั่วโมงละ 1 ครั้ง การใช้ยาแอสไฟริน ซึ่งช่วยให้เลือดไม่ข้นเกินไปก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงบ้าง ผู้เชี่ยวชาญบางท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ใช้โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์จะเสี่ยงต่ออาการผิดปกติที่ว่านี้เป็น 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานกับโน๊ตบุ๊คกในชั้นที่นั่งราคาประหยัดบนเครื่อง
ข้อมูลจาก :: ไอเอ็นเอ็น

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกล้วย


ถ้าต้องการให้ระดับพลังงาน ที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่า กล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก
3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลใน เส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่าง มหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบประสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่ เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุนำไปสู่ การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรค ลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และ กระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของไข่

ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเราเลยที่เดียวนะครับ ไข่มีจำหน่ายทั่วไป หาซื้อง่าย ราคาถูก รับประทานได้ทุกชนชั้นวรรณะ
ไข่มีสารอาหารโปรตีนที่สำคัญ มีประโยชน์ต่อร่างกายสูง เหมาะสำหรับเด็ก คนหนุ่ม คนสาวที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตและวัยที่ใช้พลังงาน นอกจากนี้ ไข่ยังเหมาะสมกับผู้สูงอายุอีกด้วย เพียงแต่ให้รู้ถึงลักษณะของไข่ที่เป็นข้อดีและข้อที่เป็นโทษดังนี้
ไข่นั้นจะแบ่งเป็นไข่ขาวและไข่แดง ในไข่แดงนั้นมีคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นไขมันที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันได้ ในไข่ขาวไม่มีคอเลสเตอรอลเลย อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุสามารถรับประทานไข่ได้ พฤติกรรมการรับประทานไข่มีความสัมพันธ์อย่างสูงต่อการรับประทานอาหารเนื้อสัตว์อื่น ๆ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของคอเลสเตอรอลเช่นกัน ดังนั้นถ้าผู้สูงอายุท่านใดไม่รับประทานหมู เป็ด ไก่ เนื้อ ก็สามารถรับประทานไข่ไได้ แต่ถ้ารับประทานเป็นปกติก็ให้ลดไข่เหลืออาทิตย์ละไม่เกิน 3 ฟอง หรือ รับประทานแต่เฉพาะไข่ขาว เป็นต้น

ประโยชน์ของไข่
นักโภชนาการชี้ว่า ไข่เป็นเสมือนสารอาหารที่เข้มข้น หากเปรียบเทียบไข่กับนม นม 1 แก้ว จะให้โปรตีนและวิตามินจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีสารอาหารเข้มข้นกว่าน้ำหวานหรือน้ำอัดลม แต่ไข่จะมีสารอาหารที่เข้มข้นยิ่งกว่านั้นอีกมากมาย เพราะไข่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นทุกตัว ยกเว้นวิตามินซีและไนอาซีน สารอาหารในไข่ ประกอบด้วย
1. โปรตีน โปรตีนในไข่เป็นโปรตีนชนิดสมบูรณ์ จึงใช้เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบกับโปรตีนในอาหารชนิดอื่น ๆ และโปรตีนในไข่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น ซึ่งเป็นโปรตีนพิ้นฐานที่ร่างกายต้องการและไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงต้องรับจากอาหาร ในไข่เป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ฉะนั้นเด็กและหญิงมีครรภ์จึงควรบริโภคไข่ เพราะโปรตีนจะสร้างเสริมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
2. ธาตุเหล็ก เหล็กเป็นธาตุอาหารที่มีในไข่แดงมาก เหล็กช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยนำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าร่างกายขาดเปล็กจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้
3. ฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน หากขาดจะทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง กระดูกจะผุหรือหักได้ง่าย
4. วิตามินเอ ช่วยบำรุงสุขภาพตา ช่วยให้มองเห็น ปรับสภาพการมองเห็นได้ทั้งในความมือและในที่สว่าง และยังช่วยรักษาสภาพผิวให้สดชื่น ไม่แห้งเหี่ยว ช่วยบำรุงเยื่อบุต่าง ๆ ในร่างกาย และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
5. วิตามินบี 2 ช่วยบำรุงผิว บำรุงประสาทนัยน์ตา ลิ้นและริมฝีปาก ป้องกันโรคปากนกกระจอก
นอกจากสารอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ไข่ยังมีคาร์โบไฮเดรต ไขมันและน้ำรวมอยู่ด้วย ไข่จึงนับได้ว่าเป็นอาหารที่ให้คุณค่ามากกว่าขนาดของฟองไข่ และมากกว่าราคาของมันด้วย

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข้าวกล้อง วิตามิน...เพียบ

ข้าวกล้องคืออะไร ?
คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก
สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว
ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง
ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง
•ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
•ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
•ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
•ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
•ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
•ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
•ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
•ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
•ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
•ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
•ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
•ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
•วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว
ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง
•ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
•วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
•วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
•วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
•ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
•แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
•ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
•กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
•เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
•โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
•แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
•ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
•มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนเราทำอะไรบ้าง ภายใน 24 ชั่งโมง

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้วิจัยและค้นคว้าร่างกายของมนุษย์เราว่าทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง
01.00 น. คนส่วนใหญ่จะนอนหลับร่างกายจะมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมาก
02.00 น. นอกจากตับแล้ว ส่วนต่างๆของร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ามาก
03.00 น. ร่างกายทั้งหมดจะพักผ่อน กล้ามเนื้อจะผ่อนคลายความดันจะต่ำ ชีพจรจะเต้นช้า การหายใจก็จะช้า
04.00 น. สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยมากผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายไปในระยะเวลานี้
05.00 น. ไตจะไม่ทำหน้าที่กรองเนื่องจากเราได้พักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นในเวลาตื่นนอนอารมณ์จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
06.00 น. ความดันเลือด จะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น
07.00 น. ภูมิต้านทานโรคในช่วงนี้จะดีมากเพราะร่างกายได้พักผ่อนมาแล้ว
08.00 น. ตับจะทำหน้าที่ขับพิษออกจากร่างกายในช่วงนี้ไม่ควรดื่มสุรา
09.00 น. จิตใจ อารมณ์ การทำงานจะดีมากในช่วงนี้
10.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายและสุขภาพจะดีมาก เหมาะที่จะทำงาน
11.00 น. เป็นช่วงที่ขยันขันแข็งในการทำงานร่างกายยังไม่อ่อนเพลีย
12.00 น. ช่วงตอนที่จะหยุดงานทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ควรจะรอช้ากว่าไปอีกสักหน่อยแล้วทานเอาช่วงเวลาประมาณ 12.30 หรือ 13.00 น. ก็จะดี
13.00 น. ตับจะพักผ่อนเนื่องจากเวลาการทำงานที่ดีได้ผ่านไปแล้วร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย 14.00 น. เป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาดเชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน
15.00 น. ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่ไวมากสมรรถภาพของพละกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้น
16.00 น. ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้นแต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
17.00 น. สมรรถภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้นจะเห็นได้จากนักกีฬาที่ออกกำลังกาย จะมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น 18.00 น. ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลงขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย
19.00 น. ความดันของเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นอารมณ์จะไม่ค่อยดีนัก มักจะเกิดงขึ้นได้ด้วยสาเหตุเล็กๆน้อยๆ 20.00 น. น้ำหนักตัวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้นสะท้อนออกถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว
21.00 น. อารมณ์จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ความจำจะดีขึ้นสามารถคิดสิ่งต่างๆ ออกได้
22.00 น. ในกระแสโลหิต จะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาวอุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง
23.00 น. ร่างกายตระเตรียมพักผ่อนเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ
24.00 น. เข้าสู่ชั่วโมงแห่งการหลับไหล

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เปิดตำนานสุดยอด Hacker ระดับโลก

ตำนาน Balck-hat Hacker ระดับโลกวง การคอมพิวเตอร์อยู่คู่โลกนี้มาประมาณ 50 กว่าปีแล้ว มาลองดูกันว่าHackerระดับโลกเค้าเป็นใครกันบ้างและเดี๋ยวนี้เค้าเป็นยังไง กันสุขสบายขนาดไหน
Jonathan James
ตอนที่หมอนี่โดนจับ ทั่วทั้งอเมริกาแตกตื่น เพราะหมอนี่อายุเพียง 15ปีเท่านั้น(เวรตูยังดูช่องเก้าการ์ตูนอยู่เลย) Jonathan Jamesหรือชื่อรหัสในโลก Hacker ก็คือ c0mradeได้สร้างชื่อด้วยการเจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999หมอนี่ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปหน้าตาเฉยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 $ ปล. หมอนี่บอกกับศาลว่าเค้าอยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเชียวหรือ
Adrian Lamo
อีตานี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Hacker ที่แสบไม่แพ้กัน ซึ่งคนที่โดน Adrian Lamoเจาะเข้าไป ก็มีตั้งแต่ หนังสือพิมพ์ The New York Times , Microsoft ,Yahoo , Bank of America , CitiGroup และ Cingularซึ่งที่ๆสร้างชื่อเสียงที่สุดให้เขาก็คือ การที่เขาเจาะเข้าไปใน The NewYork Times และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ในแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือ พิมพ์ The New York Timesและใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexisในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย หลังจากที่ใช้กรรม ไปมากมาย ตอนนี้ Adrian Lamo ทำงานเป็นนักข่าวและนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hackerและพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง
Kevin Mitnick
นี่คือชายที่ครั้งหนึ่ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเคยหมายหัวไว้ว่า“อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทางสหรัฐ ต้องการตัวมากที่สุด”เพราะเขาคือคนแรกที่ทำให้คำว่า Hacker โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ผลงานของ Mitnick อาจจะเก่าไปซักหน่อย เพราะพี่ท่านเล่น Hackมาตั้งแต่ช่วงปี 70’ กับผลงานการเจาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles BusSystem ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรีตั้งกะอายุ 12.เข้าไปป่วนระบบโทรศัพท์ทำให้โทรทางไกลได้ฟรีๆ จากนั้นก็ขโมยข้อมูลของบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง DEC (Digital EquipmentCorporation) ตามด้วยหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ โอ๊ยอีตานี่แสบๆๆ หลังจากที่ไปรับกรรมในคุกอยู่สองปีครึ่งตอนนี้เค้าก็กลายเป็น Hackerที่หลายๆบริษัทขอความช่วยเหลือในการตรวจสอบระบบครับ(และสำคัญมากเป็น เพราะอีตานี่เองที่ทำให้โลกเราได้รู้จัก White-Hat สาดเลือดเอเชียที่เก่งกาจ)
Kevin Poulsen
มีชื่อเรียกสวยเก๋ในวงการแฮกเกอร์ว่า Dark Dante, ผลงานเด่นๆของ KevinPoulsen ก็คือการที่เค้าเจาะระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LAทำให้เค้าได้รางวัลรถ Porsche มาครอง และที่เด่นๆ ก็คืออีตานี่แหย่หนวดเสือไป เจาะระบบฐานข้อมูลของ FBI ครับ และที่สำคัญก็คือระบบดักฟังของ FBI ครับ หลังจากที่ Kevin Poulsen โดนซิวไป 5 ปีตอนนี้เค้าก็กลายเป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆอีกมากมาย
Robert Tappan Morris
เค้าคือลูกชายของอดีตเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ ของ NSA (National SecurityAgency) แท้ๆแต่ดันใช้ความรู้ในทางที่ผิดก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านไปทั่วเพราะหมอ นี่แหละครับคือคนแรกที่สร้าง Worm ขึ้นมาและทำให้ระบบเครือข่ายพังทลายไปหลายวันเลยทีเดียว ขณะที่ Morrisกำลังเรียนอยู่ที่ Cornell เค้าอยากรู้ว่าอินเทอร์เน็ตมันใหญ่ขนาดไหนเค้าก็เลยสร้างโปรแกรมที่มันจะ เจาะไปได้เรื่อยๆ ไปๆมาๆนั่นกลายเป็นเวิร์มตัวแรกของโลกที่ชื่อว่า MorrisWormหลังจากนั้นคอมพิวเตอร์กว่า 6,000เครื่องทั่วโลกก็เจ๊งยับเพราะเวิร์มของหมอนี่ พอโดนจับ Morris ก็โดนลงโทษจำคุก 3 ปีและโดนค่าปรับ10,500 เหรียญและ ทำงานช่วยเหลือสังคมอีก 400 ชม.(ลงโทษขนาดนี้แรงไปไหมพี่ เบากว่านี้ได้อีกนะ ) และหลังจากที่รับกรรมไปแล้ว ตอนนี้Robert Morris ก็เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ MIT ครับและมาต่อกันด้วย ตำนานฝั่งสีขาว White-Hat Hacker
Stephen Wozniak
พูดถึง Apple Computer ใครๆก็อาจจะนึกถึง Steve Jobsชายหนุ่มหัวแอบล้านซึ่งหลายๆคนรอคอย KeyNote ของเค้าในงาน MacWorldConference ทุกปี แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วถ้า Apple Computerขาดเค้าคนนี้ไปล่ะก็ มันจะไม่มีวันนี้แน่นอน เพราะ Steve Wozniakคือผู้ร่วมก่อตั้ง Apple Computer การเป็น Hackerช่วงแรกของเค้าอยู่ที่เค้าได้ไปอ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ ในหนังสือ Esquire เข้าหลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBoxเครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้คุณสามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ (เอาเข้าไป)มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปาโดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissingerรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้นแสบจริงๆ สำหรับ ช่วงแรกของการก่อตั้ง Apple Computer. Wozniakได้ขายเครื่องคิดเลขแสนแพงของเขา และ Jobs ได้ขายรถแวนของเขาเพื่อเป็นทุนในการก่อตั้ง Apple Computer ครับ และสุดทเครื่อง Apple Iก็วางตลาด และทั้งคู่ได้ขายเครื่องนี้ในราคาเครื่องละ 666.66$(เลขซาตานชัดๆ)
Tim Berners-Lee
ต้องขอบอกว่า ถ้าไม่มีอีตานี่โลกเราจะไม่มีคำว่า World Wide Web ครับเพราะเค้าคนนี้คือ คนที่ คิดค้น www ขึ้นบนโลก. Tim Berners-Leeเป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ ​Mary Berners-Leeซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็นFreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป)ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อมันผนวกเข้ากับ TCP และ DNSล่ะก็ มันจะเป็นความสุดยอดของ HyperText แน่นอนและหลังจากนั้นมันจึงกลายเป็น ​World Wide Web ครับ เมื่อปี 2548เขาได้รับรางวัล 1 ในร้อยบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อคนทั้งโลกมากที่สุด และในปี2550 Tim Berners-Lee ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายหน้าจากสมเด็จพระบรมราชินีเอลิซา เบทที่สอง เป็นการส่วนพระองค์ทำให้ตอนนี้เค้ากลายเป็น Sir Tim Berners-Lee ไปแล้วครับผลงานการ Hackของ Tim Berners-Lee ไม่เป็นที่ปรากฏ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ทำให้เค้าโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัย Oxford ล่ะครับ ปล.เว็บไซต์แรกของโลกคือ Welcome to info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee นี่แหละครับ
Linus Torvalds
บิดาผู้ให้กำเนิด Linux ระบบปฏิบัติการ Unixที่คนนิยมกันมากที่สุดในโลกขณะนี้ ในปี 1991ขณะที่เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เฮลซิงกิ เขาได้สร้าง linux kernelขึ้นจากพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Minix ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมสมัครพรรคพวกมาช่วยกันเขียนและช่วยกันพัฒนาต่อกันทาง อินเทอร์เน็ต โดยที่เขาเป็นคนรวบรวม ตรวจสอบและแจกจ่ายงานไปยังโปรแกรมเมอร์ต่างๆทั่วโลกรวมถึงแจกจ่ายให้คนช่วย กันเอาไปใช้ฟรีๆอีกด้วยจุดที่น่าสนใจของโครงการนี้ก็คือ ทุกคนที่มาร่วมทำนั้นทุกคนยินดีช่วยโดยไม่ได้ค่าตอบแทนแต่อย่างใด และมีเงื่อนไขต่อด้วยอีกว่าเมื่องานเสร็จแล้วจะต้องเผยแพร่ตัว Source Codeแก่สาธารณะโดยไม่คิดมูลค่าเช่นเดียวกันครับ
ทุกวันนี้ Linux Torvaldsทำงานอยู่ที่บริษัท Transmeta บริษัทที่ทำหน้าที่ออกแบบ CPUและยังคงดำรงตำแหน่ง ผู้นำของบรรดาผู้ใช้งานและพัฒนา Linux ทั้งโลกครับยิ่งไปกว่านั้น หนังสือ Times Magazine ได้ยกให้เค้าเป็นหนึ่งคนในหนังสือชื่อ 60 Years of Hero สุดยอดดดดดดด
Richard Stallman
ผู้ริเริ่มโครงการ GNU (อ่านว่า กนู นะครับ) และมูลนิธิซอฟท์แวร์เสรีรวมไปถึงผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่อง Copyleft (ฮ่า)และเป็นผู้ร่างสัญญาอนุญาติให้ใช้ได้ทั่วไป และต่อในภายหลังสัญญานี้ได้กลายเป็น บรรทัดฐานซอฟท์แวร์เสรีจำนวนมากความเป็นแฮกเกอร์ของเค้าโผล่มาตอนที่เค้าทำ งานอยู่ที่ MIT ในฐานะของ StaffComputer ทุกครั้งที่มีระบบอะไรใหม่ๆติดตั้งเข้าไปและมีรหัสผ่านกำกับอยู่Richard Stallman จะหาทางแฮกและปลดรหัสผ่านออกทุกครั้ง ยังครับยังไม่พอพอแฮกระบบเสร็จก็แฮก Printerต่อเพื่อพิมพ์ข้อความบอกชาวบ้านว่าระบบไหนอยู่ที่ไหนปลดรหัสผ่านอะไร ไปแล้วบ้าง แสบจริงๆ
Tsutomu Shimomura
สุดยอด White-Hat สายเลือดเอเชีย Tsutomu Shimomuraได้รับชื่อเสียงอย่างโด่งดัง ในฐานะที่ร่วมมือกับ John Markoffในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลกในยุคนั้น นั่นก็คือ KevinMitnick นั่นเอง Tsutumu ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่ SDSC (San DiegoSupercomputer Center) ซึ่งจริงๆแล้วก็โดนอีตา Kevinเข้ามาแฮกเอาโปรแกรมและเมล์สำคัญๆไป ดังนั้นด้วยคาวมแค้นเขาจึงร่วมมือกับFBI ไล่จับ Kevin Mitnick ซึ่งต่อมาเมื่อเขาจับได้เขาก็เลยเขียนหนังสือชื่อ Takedown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ KevinMitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทุเรียน...ประโยชน์มากกว่าที่คิด

ทุเรียนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ ทุเรียนมีมากกว่า 30 ชนิด มีอย่างน้อย 9 ชนิดที่รับประทานได้ ทุเรียนมีสายพันธุ์ประมาณ 100 สายพันธุ์ให้ผู้บริโภคเลือกรับประทาน ในประเทศไทยพบทุเรียนอยู่ 5 ชนิด มิใช่ว่าจะมีแต่เพียงเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อยเพียงอย่างเดียว คุณค่าอย่างอื่นของทุเรียนก็มีด้วย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร ไขมัน โปรตีน น้ำ เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน วิตามินซีแคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม นอกจากนั้นทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ทั้งยังอุดมไปด้วยกำมะถันและคอเลสเตอรอล ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเพราะหากกินเข้าไประดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วยังทำให้ร้อนในและรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว ในตำราสมุนไพรไทย กล่าวไว้ว่า ส่วนต่าง ๆ ของทุเรียนสามารถนำมาใช้เป็นยาได้ โดยใบมีรสขม,เย็นเฝื่อน มีสรรพคุณแก้ไข้, แก้ดีซ่าน,ขับพยาธิ และทำให้หนองแห้ง เนื้อทุเรียนมีรสหวาน,ร้อน มีสรรพคุณให้ความร้อน,แก้โรคผิวหนัง,ทำให้ฝีแห้ง และขับพยาธิ เปลือกทุเรียนมีรสฝาดเฝื่อนใช้สมานแผล,แก้น้ำเหลืองเสีย,พุพอง,แก้ฝี,ตาน,ซาง,คุมธาตุ,แก้คางทูม และไล่ยุงและแมลง ส่วนรากมีรสฝาดขมใช้แก้ไข้และแก้ท้องร่วง คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถวบ้านเรา (ลาว เขมร พม่า) เชื่อว่าทุเรียนมีคุณสมบัติให้ความร้อนซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเหงื่อออกมากกว่าปกติ วิธีโบราณที่จะลดผลกระทบจากความร้อนนี้คือ รินน้ำลงในเปลือกทุเรียนหลังจากเนื้อถูกรับประทานแล้วและดื่มน้ำนั้น อีกวิธีคือรับประทานทุเรียนไปพร้อมกับมังคุด ซึ่งถูกคิดว่ามีคุณสมบัติให้ความเย็น มีความเชื่อโบราณที่ห้ามผู้หญิงมีครรภ์หรือคนที่มีความดันเลือดสูงรับประทานทุเรียน ในบางที่เชื่อว่าทุเรียนจะเป็นอันตรายเมื่อรับประทานร่วมกับกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เชื่อว่าห้ามกินเหล้ากับทุเรียน เพราะมัน “ร้อน” ทั้งคู่ เดี๋ยวหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี คือบางทีรับประทานทุเรียนเพียงอย่างเดียวก็อาจตายได้ หากรับประทานมากเกินไป ไม่รู้จักความพอดี ฉะนั้น อะไรที่มันมากเกินไปมันก็ไม่ดี เดินสายกลางดีกว่าพระท่านสอนไว้
นอกจากนี้แล้ว ทุเรียนยังสามารถนำไปแปรรูปและทำอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น ทุเรียนกวน ทุเรียนทอด แยมทุเรียน นอกจากอาหารหวานแล้ว อาหารคาวก็นำทุเรียนอ่อนมาแกงได้ เปลือกทุเรียนที่เราเคยเห็นเขาทิ้งเขาขว้างหลังจากที่ปอกเปลือกให้เราแล้ว เชื่อไหมว่า เขาสามารถนำเปลือกทุเรียนมาทำเป็นกระดาษได้ โดยนักวิจัยจากกลุ่มวิจัยพัฒนาการแปรรูปผลิตผลเกษตร สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเปลือกทุเรียนเมื่อแปรรูปเป็นกระดาษแล้ว จะมีคุณภาพเด่นเฉพาะตัว คือให้เส้นใยนุ่มและเหนียวกว่าเนื้อกระดาษสา สามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังสามารถผสมเส้นใยของผัก ผลไม้ต่าง ๆ กับเปลือกทุเรียนในการทำกระดาษ จะทำให้ได้กระดาษที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะตัวต่างกันไป เช่น เปลือกมังคุดได้สีม่วงธรรมชาติ เปลือกแก้วมังกรจะได้กระดาษสีม่วงธรรมชาติและผิวสัมผัสนุ่ม ใบเตยจะได้กระดาษที่มีกลิ่นหอมและมีสีเขียว หากสนใจทำกระดาษจากเปลือกทุเรียนน่าจะสอบถามได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี จ.จันทบุรี มิใช่แต่กรมวิชาการเกษตรเท่านั้น ที่อื่นเขาก็ทำกัน เช่น นักศึกษาจาก ภาควิชาเทคโนโลยี การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ทำกระดาษจากเยื่อเปลือก ทุเรียนขึ้น มีลวดลายในตัวจากหนามทุเรียน โดดเด่นไม่เหมือนใคร คุณภาพดีเหมาะแก่การนำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของ “ชา”

ลองมาดูกันว่า ประโยชน์ของชามีอะไรบ้าง สำหรับคนที่ยังไม่เคยดื่ม ก็ลองหันมาดื่มชา เพื่อสุขภาพกัน
1. มีธาตุอาหารหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น วิตามินซี โปรตีน น้ำตาล บำรุงร่างกาย ทำให้มีสุขภาพดี

2. มีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบ- ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของโลหิต- ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจตีบตัน ช่วยรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด- ช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยรักษาโรคหวัด- ช่วยรักษาโรคปวดหัว มีสิทธิพลต่อระบบเมตาโบลิซึ่มของเซลล์ร่างกาย
3. มีสารโพลีฟีนอลช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
4. มีสารไดเมธิลแซนธีน ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น
5. ช่วยแก้กระหาย ดื่มแล้วชุ่มคอ ชื่นใจ และช่วยย่อยอาหาร แก้ร้อนใน และลดไขมัน
6. ช่วยลดอาการอักเสบ สมานแผล
7. ช่วยชะล้างสารพิษออกจากร่างกาย
8. ใช้เป็นส่วนประกอบของยา
9. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
10. ชาผงใช้ในการแต่งกลิ่นในอาหาร
11. ใช้ระงับกลิ่น เช่น กากใบชาที่เหลือจากการชงชาแล้ว ผึ่งไว้แห้งบรรจุภาชนะต่างๆ เช่น ถุงผ้า ฯลฯ สามารถดับกลิ่นในตู้เสื้อผ้า ดับกลิ่นในตู้เย็น ดับกลิ่นในตู้ไมโครเวฟ ดับกลิ่นในตู้ที่อับชื้น ดับกลิ่นในตู้ที่อับชื้น ดับกลิ่นในรถยนต์ ดับกลิ่นในห้องน้ำ ดับกลิ่นในห้องครัว ฯลฯ
12. ขยายหลอดลม
13. ป้องกันมะเร็ง ปอด ผิดหนัง กระเพาะอาหาร ตับ ลำไส้เล็ก
14. ลดโคเสลเตอรอลในเลือด
15. ลดน้ำตาลในเลือด
16. ลดอัตราการแบ่งตัวของไวรัส
17. หมอนที่มีกากใบชาแทนนุ่นช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย
ที่มาของบทความ : ฐานความรู้ด้านพืช กรมวิชาการเกษตร

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เจาะลึก กาแฟ มันมีดีอะไร ?

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง
ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้
ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ
ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline
caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิด ได้แก่
เมล็ดคา
เมล็ดกาแฟ
ใบชา
โคลา
caffeine
ถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก
กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิปริมาณcaffeineที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ
นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า
วันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย
ผลดีของกาแฟ
กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด
ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น
เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้นผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ
กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย
กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย
ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ
โรคหอบหืดมีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น
กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่
กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล
การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว
กาแฟกันสุขภาพสตรี
กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว
ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่า
การดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น
กาแฟกับโรคกระดูกพรุน
ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป
กาแฟกับโรคมะเร็ง
มีรายงานจาก World Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
กาแฟกับโรคหัวใจ
เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว
กาแฟกับโรคเบาหวาน
จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrine เพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดูแลสุขภาพง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำ

ก่อนอื่นเรามารู้จักหน้าที่ของน้ำกันก่อน
• ช่วยย่อยอาหารและดูดซึมอาหาร
• ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากลำไส้และไต
• ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
• หล่อลื่นข้อต่อและเนื้อเยื่อ
• เลือดประกอบด้วยน้ำประมาณ 92 %
• เลือดคือระบบขนส่งในร่างกายที่ส่งอาหารไปให้ทั่วร่างกาย
• น้ำต่างๆในร่างกาย เช่น น้ำลายและน้ำย่อยประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่

ในภาวะปกติ น้ำหนักร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำหนักของน้ำ 55-75%
• ร่างกายต้องการน้ำประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ระบบต่างๆทำหน้าที่ได้ดีที่สุด
• การหายใจออก เหงื่อที่ออกมา และการขับถ่ายทำให้สูญเสียน้ำ 1.5 ลิตรต่อวัน
• การออกแรงทำกิจกรรมหนึ่งชั่วโมงต้องดื่มน้ำชดเชย 1-3 แก้ว
• ช่วงที่อากาศร้อน การเสียเหงื่อ ยิ่งทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้นเพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกายและทำให้รู้สึกเย็น
• ช่วงอากาศเย็นร่างกายสูญเสียความชื้นมากขึ้นเมื่อหายใจออก
• คุณต้องการน้ำเพิ่มประมาณ ½ ลิตร ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา

การเก็บน้ำในร่างกาย
ยิ่งดื่มน้ำน้อยเท่าไหร่ ร่างกายคุณก็พยายามสะสมน้ำไว้ใช้ภายหลังมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการกักเก็บน้ำไว้จนอาจทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ดูอ้วนขึ้น

น้ำช่วยลดความอยากอาหารลงได้ ^^ (สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก)
การขาดน้ำอาจส่งผลให้ร่างกายของเราอยากรับประทานอาหารมากขึ้น เพราะสมองแยกไม่ออกระหว่างความหิวและความกระหายดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกหิว มีโอกาสเป็นไปได้ว่าร่างกายของคุณกำลังต้องการน้ำ ฉะนั้นจงดื่มน้ำแก้วใหญ่ ๆ ก่อนการรับประทานอาหาร โดยส่วนใหญ่แล้วคุณจะพบว่าวิธีนี้จะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้นจากอาการที่คุณรู้สึกหิว การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง และคุณต้องเพิ่มปริมาณน้ำอีก 0.5 ลิตร ต่อทุก ๆ 10 กิโลกรัมของน้ำหนักตัวที่คุณต้องการลดอาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น “อาหารอันวิเศษ” ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร น้ำจะช่วยในการระงับความอยากอาหาร และช่วยร่างกายเร่งการเผาผลาญไขมัน จากรายงานการวิจัยพบว่า การดื่มน้ำน้อยจะเป็นสาเหตุให้เกิดการสะสมของไขมันมากขึ้น หากดื่มน้ำมากจะช่วยในการลดการสะสมของไขมันลงได้

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หมากฝรั่ง

สมัยหนึ่งการเคี้ยวหมากของคนไทยรุ่นย่ารุ่นยายกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป เพราะถือว่าการที่จะพัฒนา ประเทศ ให้ทันสมัย เทียบกับชนชาติตะวันตกได้นั้น ประชาชนคนไทยต้องกระทำตนให้ทันสมัยตามไปด้วย และสิ่งหนึ่ง ก็คือ ต้องไม่กินหมากแต่อารยชนชาติตะวันตกก็เคี้ยวหมากเหมือนกันเพียงแต่เป็นหมากคนละชนิดกัน ฝรั่งถือว่า การเคี้ยว หมาก ( ฝรั่ง ) เป็นการ ออกกำลังกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผ่อนคลายร่างกาย เพราะบ้านเมืองเขาเป็น เมืองหนาว ร่างกาย ส่วนอื่นๆยังหาอะไรให้ความอบอุ่นได้ แต่บริเวณใบหน้านี่ต้องทนเอาหมากฝรั่งเป็นที่นิยมในหมู่ทหาร อเมริกันมาก พวกเขาบริโภคหมากฝรั่งเป็น 5 เท่าของอัตราเฉแยของคนอื่น นอกจากนี้การเคี้ยวหมากฝรั่งก็ยังมีที่มาจาก ทหารด้วย

ทหารผู้นั้นมียศทหารเป็นนายพลชื่อ อันโตนิโอ โลเปช เอก ซานตาอันนาแห่งกองทัพเม็กซิโก เมื่อเข้ามาอยู่ในอเมริกา เขานำนำยางของต้นไม้จากป่าในเม็กซิโกมาด้วย ยางชนิดนี้รู้จักกันในหมู่พวก อาซเท็กว่า ชิคลิ ( chicli ) นายพลซานตา อันนา ชอบเคี้ยวยางไม้รสนี้มาก ต่อมาโทมัธ อดัมส์ นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ก็ได้รู้จักยางไม้นี้จากนายพล ซานตา และได้สั่งเข้ามา เป็นจำนวนมากโทมัสพยายามเปลี่ยนยางไม้ให้เป็นยางเทียมแต่ก็ล้มเหลวเสียหลายครั้ง เมื่อหวนคิดว่า หลานของเขาและ นายพลซานตาชอบเคี้ยวยางไม้จึงเกิดความคิดที่จะเปิดตลาดด้านนี้แทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ หมากฝรั่ง ยุคแรกๆของโทมัส อดัมส์ ทำเป็นเม็ดกลมเล็กๆยังไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็น รัฐนิวเจอร์ซี่เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ.1871 โดยขายราคาเม็ดละ 1 เพนนี ต่อมาจึงมีการดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยม แบนๆ บุคคลแรกที่เติม รสชาติให้หมากฝรั่งคือเภสัชกรจากหลุยส์วิลรัฐเคนตั๊กกี้ ชื่อ จอห์น คอลแกน ในราวปี ค.ศ. 1875 เขาไม่ได้เติมรสแบบ ลูกอมรสเชอร์รี่ รสเปปเปอร์มิ้นต์ หรืออื่นๆอย่างในสมัยนี้ รสชาติที่เขาเติมในหมากฝรั่งคือตัวยา ทางการแพทย์ เป็นขี้ผึ้งหอมทูโล ทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ รสชาติคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคเมื่อร้อย กว่าปีก่อน คอลแกนเรียกหมากฝรั่งของเขาว่า แทฟฟี่-ทูโล เป็นหมากฝรั่งที่ประสบความสำเร็จกว่าหมากฝรั่งอื่น ๆ ที่เติมรสชาติ แล้วสมัยนั้น ต่อมาโทมัส อดัมส์ ใช้รสชะเอมเติมในหมากฝรั่ง เรียกชื่อสินค้าของเขาว่า แบลคแจค ซึ่งเป็นหมากฝรั่งเติมรสที่ เก่าแก่ที่สุด ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด(ของอเมริกา) ส่วนรสเปปเปอร์มิ้นต์ซึ่งเป็นรสยอดนิยมมีในปี ค.ศ. 1880 หมากฝรั่ง ที่มีวางขาย อยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ยางไม้ที่ทำเลียนแบบทอฟฟี่อย่างหมากฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่ม ๆ ซึ่งโดยตัวมันเอง ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ชื่อก็ไม่ชวนกิน แต่คนอเมริกันก็เคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้ถึงปีละ 10 ล้านปอนด์ สำหรับหมากฝรั่งที่ใช้เป่า เป็นลูกโป่งได้ ผู้คิดค้นคือ สองพี่น้อง แฟรงค์ และ เฮนรี ฟลีเออร์ แต่คุณภาพของหมากฝรั่งที่ แฟรงค์ผลิตให้เป่าได้ใน ตอนนั้นยังไม่มีปัญหา คือไม่ยืดหยุ่นพอลูกโป่งยังไม่ทันโตก็แตก และเมื่อแตกแล้วก็จะติดแก้ม ติดจมูก จนปีค.ศ. 1928 แฟรงค์ก็สามารถผลิต หมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่งได้ขนาดโตเป็น 2 เท่าของที่ทำได้ในช่วงแรกๆ

หมากฝรั่งไม่ได้แพร่หลายเฉพาะแต่ในอเมริกาเท่านั้น ในหมู่ชาวเอสกิโมก็เคี้ยวหมากฝรั่งแทน 'หมาก' จากไขปลาวาฬ ซึ่งใช้เคี้ยวมานานหลายทศวรรษ โดยจี.ไอ. สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำไปเผยแพ่ร... ผลงานของทหารอีกนั่นแหละ

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับ "ประเทศฝรั่งเศส"

วันชาติฝรั่งเศส
วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า "The Feast of the Federation" เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ "Champs-de-Mars" ในกรุงปารีส
แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย "the Third Republic*"นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น "วันชาติฝรั่งเศส"และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น
ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส นั้นเริ่มมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันอย่างเป็นทางการเมื่อ 300 ปีก่อน ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ทรงแต่งตั้งคณะทูตเดินทางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศไทยในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ถึงกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกับพระองค์ทรงส่งคณะทูตฝ่ายไทยเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึงพระราชวังแวร์ซายส์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนอีกด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจึงปฏิบัติสืบต่อเรื่อยมาถึงทุกวันนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนความร่วมมือทั้งทางด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษาและอื่น ๆ อีกมาก ทั้งนี้กระทรวงและองค์กรต่าง ๆ ของฝรั่งเศสได้ให้การช่วยเหลือแก่ประเทศไทยนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ เป็นเงินกว่า 250 ล้านบาท แต่กระนั้นก็ตามฝรั่งเศสก็ยังเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายไม่มากนักสำหรับคนไทย แม้ว่าจะมีบทบาทในฐานะประเทศที่ยังใหญ่ในด้านศิลปวัฒนธรรมมาช้านานก็ตาม แต่ทั้งนี้ในความจริงแล้วนั้นฝรั่งเศสจัดได้ว่าเป็นประเทศที่ 4 รองจากญี่ปุ่น,เดนมาร์ก และเยอรมณีในการให้ความร่วมมือกันมากที่สุดในระดับทวิภาคี
นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาฝรั่งเศสได้ตอกย้ำที่จะดำเนินการส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนสาขาอื่น ๆ ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ อยู่นี้จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับทุนจากรัฐบาลและทุนส่วนตัว จึงได้มีการจัดนิทรรศการการศึกษาในฝรั่งเศส เพื่อให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วการศึกษาในฝรั่งเศสไม่แพงอย่างที่คิด ซึ่งเสียค่าเล่าเรียนตกปีละ 10,000 บาทโดยประมาณเพื่อนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ
ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ซึ่งรู้กันดีว่ากำลังกดดันจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ปีที่แล้วแต่อย่างไรก็ดีภาพที่ออกมากลับตัดกันอย่างสิ้นเชิง โดยสินค้าผู้บริโภคที่ฝรั่งเศสนำเข้าประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับคงที่ ขณะที่ประเทศไทยกลับส่งสินค้ามากขึ้นสาเหตุจากการลดค่าเงินบาท จึงส่งผลให้มีส่วนส่งเสริมการส่งออกของสินค้าของไทยได้มากขึ้น ซึ่งบรรดาบริษัทของชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นฐานการส่งออกของสินค้าไทยต่างรู้พึงพอใจกับยอกการส่งออกไปสู่ตลาดทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการมุ่งเน้นที่ตลาดภายในประเทศของบริษัทย่อยของฝรั่งเศสประจำปรเทศไทยภาพที่ออกมาปรากฎผลดีในระยะสั้นเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญก็คือการลงทุนซึ่งประเทศไทยได้มุ่งเป้าไปที่แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยได้มีการร่างในรายละเอียดของแผนการใหญ่เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติให้ห้นมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสกำลังเฝ้าจับตามอง

ประเทศฝรั่งเศส เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก มีประวัติศาสตร์ที่เจริญรุ่งเรืองมาช้านาน เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ประเทศฝรั่งเศสได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งกำเนิดศิลปและความคิดริเริ่มสร้างสรรอันสำคัญของโลก คำว่า "ฝรั่งเศส" มีความหมายหลายประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ เช่น ความเป็นผู้นำทางการเมืองและการปกครอง ประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการปฏิวัติตลอดการและเป็นประเทศมหาอำนาจที่สำคัญประเทศหนึ่ง ประเทศฝรั่งเศสมีชื่อเสียงทางด้านศิลป ปรัชญา, วรรณคดี, ลักษณะ, สังคม, แฟชั่น หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาความสุขมาบำเรอจิตใจและอาหารการกินอีกด้วย ด้านภาษาประจำชาติ ภาษาฝรั่งเศสนับเป็นภาษาสากลอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผู้นิยมใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างกว้างขวาง ปรัชญาเมธีผู้มีแนวความคิดก้าวหน้าได้เกิดขึ้นในประเทศนี้มากมายหลายท่าน
กรุงปารีสได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่มีความสวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีโบราณสถานที่สำคัญและมีคุณค่าทางศิลปกรรม เช่น พระราชวังแวร์ซายส์,หอไอเฟลและโบราณวัตถุทางศิลปด้านต่าง ๆ ที่น่าชม ประเทศฝรั่งเศสมีความรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมและจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงในโลก
ภูมิประเทศ ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่สอง ของทวีปยุโรป คือมี ขนาดรองจากประเทศรุสเซียและใหญ่กว่าประเทศอังกฤษ 2 เท่า แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศกลุ่มยุโรปตะวันตก 6 ประเทศซึ่งมี อังกฤษ, ไอร์แลนด์เหนือ,ไอร์แลนด์,ฝรั่งเศส,เบลเยี่ยม,เนเธอร์แลนด์,ลักเซมเบอร์ก, ในบรรดาประเทศเหล่านี้ประเทศฝรั่งเศสนับว่าใหญ่ที่สุดในเขตภูมิภาคนี้ อาณาเขต ของประเทศฝรั่งเศส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดประเทศเบลเยี่ยม ลักเซมเบอร์ก,เยอรมันนี, ทางด้านทิศตะวันออกติดต่อกับประเทศสวิส,อิตาลี,เยอรมนี, ด้านทิศตะวันตกจดอ่าวบิสเคย์และทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงช่องแคบอังกฤษ สำหรับทางตอนใต้ติดกับฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและติดต่อกับประเทศสเปน
ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่รวมประมาณ 212,207 ตารางไมล์ หรือประมาณ547,026 ตารางกิโลเมตร พื้นที่บริเวณทางตอนเหนือซึ่งติดต่อกับประเทศเบลเยี่ยม บริเวณบางส่วนของทุ่งฟลานเดอร์สเคยเป็นสนามรบที่สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารของฝ่ายสัมพันธ์มิตรเคยพากันล้มตายมากมายในดินแดนดังกล่าว มีดอกไม้สีแดงขึ้นอยู่โดยทั่วไปในบริเวณนี้ ทุ่งกว้างแห่งนี้จะเบ่งบานด้วยดอกไม้สีสดไสไม่จืดตา แต่เป็นสัญญลักษณ์ที่ระลึกถึงผู้วายชนม์ในสงครามครั้นนั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้
พื้นที่ภูมิประเทศของฝรั่งเศสประมาณ 2 ในสามส่วนจะเป็นที่ราบ ที่ราบสูงและภูเขาจะอยู่ทางทิศตะวันออกและบริเวณส่วนกลาง ที่ราบที่สำคัญได้แก่ที่ราบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ที่ราบลุ่มแม่น้ำการอนน์ ที่ราบลุ่มแม่น้ำโรน ส่วนทางทิศตะวันออกและตอนกลางของประเทศเป็นบริเวณที่มีภูเขา พื้นแผ่นดินจะเป็นที่ราบสูงตามเชิงเขา มีภูเขาที่สำคัญคือ ภูเขาแซแวง ภูเขาโคตดอร์ ภูเขาปีรีนิสเป็นภูเขายาวเหยียดตลอดแนวชายแดนภาคใต้ติดต่อกับประเทศสเปน และบริเวณนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนชาวเขาเผ่าปาสต์ (Basgues) และเผ่าแคตาลาน (Catalan) ส่วนทางด้านชายแดนอิตาลีมีภูเขาแอลป์ปกคลุมด้วยหิมะทอโพลนตลอดเวลา ตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์มียอดภูเขาสูงชื่อยอดบองบลังค์ สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 15,780 ฟุต นับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก ส่วนบริเวณด้านตะวันออกชายแดนที่ติดต่อกับสวิส มีภูเขาจูรา นอกจากนี้แล้วยังมีภูเขาวอสก์ (Vosges) เป็นภูเขาขนาดเล็กในมณฑลอัลซาสใกล้กับชายแดนสวิส.

ภูมิอากาศในภูมิภาคต่าง ๆ ของฝรั่งเศส คือ บริเวณตอนเหนือของประเทศจะมีอากาศคล้ายคลึงกับประเทศอังกฤษมาก คือ มีภูมิอากาศอบอุ่นและมีฝนตกชุก ส่วนทางด้านทิศตะวันออกแถบภูเขาแอลป์จะมีหิมะปกคลุม มีละอองหิมะและกลุ่มหมอกหนาทึบ ในฤดูร้อนทุ่งหญ้าจะอุดมสมบูรณ์เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะเป็นที่ตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ภูมิอากาศแถบภูมิภาคตอนใต้บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอากาศจะหนาวจัด เนื่องจากลมหนาวซึ่งพัดมาจากบริเวณเทือกเขาแอลป์และไพรีนี ประกอบกับมีลมหนาวซึ่งพัดมาจากยอดเขามีความเร็วและรุนแรงดุจมายเฮอริแคน โดยจะพัดหนักอยู่ 3-4 วันติดต่อกัน ทำให้ต้นไม้ตามบริเวณเขตแดนเอนลู่โค้งคดโดยทั่วไป
ส่วนภูมิอากาศพื้นที่แถบเขตชายแดนบนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับตั้งแต่เมืองดันเคิร์คตอนเหนือและตลอดถึงเมืองเฮ็นเดย์ตอนใต้จะมีลมทะเลพัดจากกระแสร์น้ำอุ่นกันฟ็สตรีม ช่วยเสริมให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป สำหรับภูมิอากาศทางภาคกลางซึ่งห่างไกลจากทะเลและภูเขาจะมีอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลและผันผวนผิดแยกไปบ้างเป็นครั้งคราว
ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ ประชากรชาวฝรั่งเศสมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางเชื้อชาติศาสนาภาษาและเคยเป็นมหาอำนาจซึ่งมีอาณานิคมกว้างขวางในทวีปยุโรป อาณานิคมของฝรั่งเศสเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษก็จะไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยประเทศซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสบางส่วนแม้จะได้รับอิสระเป็นเอกราชปกครองตนเองก็ตาม แต่ทว่าความเกี่ยวพันทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ยังผูกพันกับฝรั่งเศสอย่างเหนียวแน่นดังนั้น ประเทศฝรั่งเศสจึงกลายเป็นศูนย์กลางประชาคมของประเทศต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในอาณานิคมหรือเครือจักรภพ เช่นแอฟริกาเหนือและแอฟริกากลาง เป็นต้น
ปารีส เป็นเมืองหลวง ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะที่เป็นนครหลวงที่สวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีโบราณสถานและอาคารซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะหอแอนไอเฟล (Eeffel Tower) เป็นสัญญลักษณ์ที่โดดเด่นประจำมหานครปารีส ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2432 เนื่องในโอกาสของงานมหกรรมโลก ซึ่งได้จัดขึ้นในปารีส ออกแบบเป็นลักษณะหอสูง คือ สองชั้นล่างเป็นสถานที่ร้านอาหารนา นาชนิด ชั้นที่ 3 ใช้สำหรับชมทีศนียภาพโดยรอบ ส่วนชั้นที่สูงสุดยอดถูกปิดตายไม่ให้ผู้คนขึ้น หอสูงไอเฟลเป็นหอคอยโครงเหล็กที่เคยถือว่าสูงที่สุดในโลกคือสูวถึง 985 ฟุต แต่ต่อมาภายหลังเมื่อมีการสร้างตึกไครส์เลอร์ในนิวยอร์คและหอโตเกียวซึ่งสูงถึง 1,092 ฟุต สถิติความสูงของหอไอเฟลจึงกลายเป็นรองไปแต่ชื่อเสียงของหอคอยแห่งนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายสำหรับชาวโลกมาช้านานแล้ว
ประชากรของประเทศฝรั่งเศส เท่าที่สำรวจครั้งล่าสุดในปี พ.ศ.2521 ปรากฎว่ามีพลเมืองประมาณ 50,300,000 คน ผู้คนพลเมืองจะมีอาชีพในทางการเกษตรกรรรมและอุตสาหกรรม แหล่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมได้แบ่งแยกออกไปตามความเหมาะสมเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ระหว่างผลิตผลทั้งสองประเภทนี้ โดยคำนึงถึงปัญหาเรืองอาหารการกินของประชากรภายในประเทศ ปัญหาการใช้แรงงานในการผลิตอุตสาหกรรมให้เพียงพอสำหรับใช้สอยและส่งเป็นสินค้าออกไปแข่งขันกับนา นา ประเทศอย่างมั่นคง
เขตภูมิภาคประเภทเกษตรกรรม ได้แก่พื้นที่ราบลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ เช่น ที่ราบลุ่มบริเวณรอบนอกของปารีส มีการปลูกพืชจำพวกข้าวสาลี หัวผักกาด, น้ำตาล, เลี้ยงสัตว์จำพวกหมู, วัวนม, และสัตว์มีปีกอื่นๆ อีกตามสมควร
เขตอุตสาหกรรม แหล่งอุตสากรรมต่าง ๆ ของฝรั่งเศสกระจัดกระจายอยู่ในเมืองต่าง ๆ แต่พอจะจำแนกได้เป็น 4 เขตใหญ่ ๆ แต่ละเขตมีการผลิตอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะแร่เหล็กมีมากที่สุดในเมืองลอร์เรน (Lorraine) เป็นแหล่งสำคัญของแร่เหล็ก ดังนั้นอุตสาหกรรมด้านนี้จึงมีความสำคัญมากแม้ว่าแร่เหล็กของฝรั่งเศสจะมีคุณภาพเพียง 30 % ของน้ำหนัก สินแร่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าแร่เหล็กของสวีเดน ซึ่งมีเปอร์เช็นต์สูง 60 เปอร์เช็นต์ แต่ประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ากับการลงทุน และถือว่าประเทศฝรั่งเศสมีปริมาณแร่เหล็กมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป
เศรษฐกิจของฝรั่งเศสเป็นเศรษฐกิจแบบประเทศด้อยพัฒนา แรงงานมีอยู่น้อยและเป็นแรงงานที่ไม่ชำนาญงาน จำนวนประชากรก็มีอยุ่น้อยไม่พอเพียงต่อการเป็นผู้บริโภคของอุตสาหกรรมที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตสินค้าสำหรับใช้บริดภคภายในฝรั่งเศส การสร้างถนนระบบโทรคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย พืชที่ปลูกได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวเจ้า ข้าวโพด กล้วย สับปะรด และอ้อย อ้อยนั้นส่วนใหญ่นำมาใช้ผลิตเหล้ารัม เพื่อส่งออก ผลผลิตของเกษตรกรมีไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในฝรั่งเศส เกษตรกรกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ชาวอินเดียน และชาวศรีโอเล ซึ่งทำไร่นาแบบเลื่อนลอยอยู่ในบริเวณลึกเข้าไป เกษตรกลุ่มนี้จะเผาป่าแล้วย้ายถิ่นที่เพาะปลูกจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งเรื่อยไปพืชที่พวกเขาปลูกก็มีสำปะหลังและพืชชนิดอื่น ๆ อีก 2-3 ชนิดสำหรับใช้เป็นอาหารและปลูกสำหรับบริโภคเองเท่านั้น พวกเขาจะล่าสัตว์และจับปลาเพื่อใช้เป็นอาหารประกอบกับพืชที่คนได้ปลูกไว้
สิ่งที่นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมาก คือ ผลผลิตทางการเกษตรมีไม่พอบริโภคทำให้ต้องสั่งซื้ออาหารจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากฝรั่งเศสได้ใช้ดินแดนฝรั่งเศสเป็นที่กันขังนักโทษ แล้วให้นักโทษทำไร่นาเสมือนหนึ่งทาส การทำไร่นาจึงได้รับการดูถูกว่าเป็นอาชีพที่ต่ำ ยกเว้นชาวอินเดียนที่ทำการเพาะปลูกเพื่อใช้บริโภคเองแล้วมีคนจำนวนน้อยที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 81.4% ของประชากรทั้งประเทศ รองมาคือมุสลิม 6.89 % โปรเตสแตนต์ 1.64%

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"10 เคล็ดลับ กินเพื่อสุขภาพ"

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่นห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้ เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจและพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้นทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกายและมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือดจะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียวเพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูกทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้ เป็นของว่างแทนวิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมันและน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคย กับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวันข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบร็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกันมีสารอาหารต่างชนิดกันแถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมองทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อยย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อนไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูงอาจทำให้อ้วนได้ ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้ จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดอกไม้ในซอกหิน

เป็นเรื่องที่งดงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อต้นไม้ต้นเล็กๆ ผลิดอกสีขาวแย้มบานอยู่บนลานหิน
ในความอ่อนหวานแต่ดูเจียมตัวนั้น พร้อมที่จะอวดดอกชูช่องดงามแปลกตา
ทั้งที่ต้นไม้ทุกต้นน่าจะงามได้ก็เพียงบนลานดินที่ชุ่มชื้นเท่านั้น
แล้วจะมาเติบโตบนลานหินได้อย่างไร

ถ้าเรามองดีๆ แล้วในลานหินที่มีก้อนหินเรียงรายกันอยู่นั้นจะมีซอกเล็กๆ ตามรอยต่อซอกหิน
ที่มีดินชื้นอยู่เล็กน้อยมองเห็นเป็นเส้นบางๆ
แต่บางครั้ง..ก็มากพอสำหรับการเจริญเติบโตของต้นไม้เล็กๆ บางต้น
ที่ไม่ต้องการพื้นที่มากมายแต่ขอเพียงมีที่ได้เสียดยอดและผลิดอกออกใบก็พอแล้ว

ชีวิตของเราก็เป็นเช่นนั้นหลายครั้งที่เราจะทำอะไรบางอย่างในขณะที่เราไม่มีความสมบูรณ์พร้อมเท่าคนอื่น
จะหยิบจับอะไรก็ไม่มีความพร้อม จะหันหาอะไรก็มีแต่ความขาดแคลนทำให้งานแต่ละงานเหมือนมีอุปสรรคมากมาย
จนทำให้ท้อถอย และหมดกำลังใจ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีเวที ไม่มีโอกาส
จนดูเหมือนว่าปัญหาและอุปสรรคถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน

แล้วเราจะอยู่ได้ไหม จะอยู่ได้อย่างไรในที่อย่างนั้นหากที่ตรงนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราจะยอมอยู่ตรงนั้นจริงๆ หรือ
ที่ๆ เหมือนมีก้อนหินกดทับไว้ตลอดเวลา คงไม่มีแม้แต่ที่ให้หายใจ
ทุกๆ วันคงทำได้เพียงแค่นั่งมองให้ความฝันของตัวเองค่อยๆ แตกดับลงไปเรื่อยๆ
พร้อมกับกำลังใจที่ค่อยๆ เหือดหายไปจากชีวิต

มีเวลาไหมลองคิดดูให้ละเอียดอีกครั้ง ถามตัวเองอีกครั้งว่าอะไรที่ทำให้เราอึดอัด
อะไรที่ทำให้เราเหมือนถูกกดทับตลอดเวลาจนทำอะไรไม่ได้เพราะว่าเราต้องการพื้นที่กว้างเพื่อเติบโตใช่ไหม
เราต้องการความสมบูรณ์พร้อมอย่างเดียวใช่หรือเปล่าเราไม่ได้คิดเลยใช่ไหมว่า..ไม่มีใครที่เกิดมากับความสมบูรณ์พร้อม
หรือว่าเพราะความคิดแค่นั้น..ที่ทำให้เราเติบโตไม่ได้กลายมาเป็นข้ออ้างว่า..ทำอะไรไม่ได้

ลองมองดูสิ่งรอบตัวในแง่มุมอื่นดูบ้างมองชีวิตในแง่ของการเติบโตตามธรรมชาติ
ธรรมชาติที่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยไปสู่ความเติบใหญ่เริ่มต้นจากความไม่มีไปสู่สิ่งที่มี
เริ่มจากงานที่เล็กไปสู่งานที่ยิ่งใหญ่และ...
ต้นไม้มากมายหลายต้น..ที่เริ่มหยัดยืนให้ได้ในที่เล็กๆ
เพื่อวันหนึ่งจะขยายกิ่งก้านออกไป

ละเอียดลออกับการใช้ชีวิตอีกสักนิดสิ่งที่เราคิดว่าไม่ได้ก็อาจจะได้ สิ่งที่เราไม่คิดว่ามีอาจจะยังมีอยู่
เราอาจจะเห็นซอกหินเล็กๆ ที่พอให้เราโผล่พ้นขึ้นมาได้ที่ตรงนั้นมีอยู่จริง
แม้ว่าก้อนหินจะเรียงตัวกันจนดูเหมือนทับกันอยู่ขอพียงเรารู้วิธีการขยับหินบางก้อนให้มันเคลื่อนไหวไปมาสักนิด
ให้ก้อนหินเปลี่ยนรูป เปลี่ยนทิศทางการวางอยู่ เราอาจจะเห็นช่องว่างช่องเล็กๆ ที่กำลังรอคอยเรา
ให้เราค่อยๆ เบียดออกมาจนถึงรอยต่อของก้อนหิน ที่มีเส้นดินรอยเล็กๆ
แต่สามารถทำให้ต้นกล้าเสียดยอดขึ้นมารับแสงตะวันได้รอยต่อของความขาดแคลนที่มีอยู่อาจจะเป็นเรี่ยวแรงพลังที่ยิ่งใหญ่
ให้เรามีกำลังต่อสู้กับอุปสรรคได้เช่นกัน

ต้นไม้ที่ถูกกดทับไว้ใต้ก้อนหิน ยังพยายามสู้อดทน จนเบียดขึ้นมาชูช่อได้
ชีวิตแค่มีอุปสรรคบ้างนิดเดียวไม่ได้ถูกกดทับด้วยปัญหามากมายขนาดนั้น
ทำไมจะข้ามผ่านอุปสรรคนั้นไม่ได้

ต้นไม้...ไม่อาจเติบโตได้ใต้ก้อนหินดอกไม้จะสวยงามได้ต้องหาพื้นที่ในการผลิดอกให้ได้
คนจะยิ่งใหญ่ต้องเติบโตได้ด้วยการเอาชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ได้

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไข่


1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ไก่ที่เรากินทุกวันนี้เป็นไข่ที่ไม่ผ่านกระบวนการปฏิสนธิ คือไม่มีการผสมกันระหว่างเชื้อของตัวผู้และไข่ของตัวเมีย แต่ในระบบสืบพันธุ์ของไก่ตัวเมียจะมีรังไข่และท่อรังไข่ รังไข่นี้มีหน้าที่ผลิตไข่ ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็น ซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและไใด้านป้านอยู่บนไข่แดงที่มีน้ำหนักเบาหว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบน แต่ก็จะประทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยน
ไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิว
เปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สะอึก....เรื่องเล็กที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่



สะอึก…เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน หากสะอึกแค่เดี๋ยวเดียว อาจไม่เป็นปัญหากวนใจนัก แต่หากใครสะอึกติดต่อกันเป็นวัน หรือ หลายๆ วัน แม้หาสารพัดวิธีช่วยให้หายสะอึก ทั้งกลั้นหายใจ ดื่มน้ำ กลืนน้ำตาล ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล นั่นอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะอาการเช่นนี้อาจเป็นเพราะโรคได้! นพ.นรินทร์ อจละนันท์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีช่วยไขข้อข้องใจให้หายสงสัยเกี่ยวกับการสะอึกว่า อาการสะอึกเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้น ประสาท 2 ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้นมาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันทีทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้น
สำหรับลักษณะอาการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
1.อาการสะอึกช่วงสั้นๆ อาจเพียง 2-3 นาที
2.การสะอึกหลายๆ วันติดกัน
3.สะอึกติดๆ กันหลายสัปดาห์ และ
4.การสะอึกตลอดเวลา โดยที่การสะอึกกลุ่มแรกเป็นการสะอึกช่วงสั้นๆ ที่ไม่มีอันตรายใดๆ
แต่การสะอึกติดต่อกันหลายๆ วัน เป็นอาการที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ เช่นความผิดปกติทางสมองการเป็นอัมพาตการเป็นโรคทางเดินอาหาร การอักเสบในช่องท้องบริเวณกะบังลม โรคหลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบพิษสุราเรื้อรัง รวมถึงอาการทางภาวะจิตใจ และผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด"ส่วนมากผู้ป่วยที่มาหาหมอด้วยการสะอึกเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เนื่องมาจากมีอาการผิดปกติทางสอง หรือเป็นอัมพาต ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถให้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการสะอึกได้ แต่ก็อาจมีการสะอึกเกิดขึ้นมาอีก เพราะอาการสะอึกเป็นเพราะต่อเนื่องที่เกิดจากการเจ็บป่วย"นพ.นรินทร์อธิบายส่วนวิธีการรักษาบรรเทาอาการสะอึกนั้น นพ.นรินทร์บอกว่า หากเป็นการสะอึกธรรมดาๆ สามารถใชวิธีการกลั้นหายใจ การกลืนน้ำตาล กระตุ้นบริเวณหลังคอ แต่หากสะอึกติดต่อกันควรที่จะพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการสะอึกว่าเกิดมาจากอาการของโรคใด โดยอาการสะอึกไม่ถือว่าเป็นโรคแต่เป็นผลมาจากการเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ดังนั้นหากสามารถทราบสาเหตุของโรคให้ยาตามอาการก็สามารถที่ช่วยให้อาการสะอึกดีขึ้น
10 เทคนิคหยุดสะอึก
1.กระตุ้นผิวด้านหลังของลำคอ แถวๆ บริเวณที่เปิดปิดหลอดลม โดยการดึงลิ้นแรงๆ
2.ใช้ด้ามช้อนเขี่ยที่ปิดเปิดหลอดลม
3.กลั้วน้ำในลำคอ
4.จิบน้ำเย็นจัด
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือ กลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง ก้อนน้ำแข็งเล็ก ๆ
6.ดื่มน้ำจากขอบแก้วที่อยู่ด้านนอกหรือด้านไกลจากริมฝีปาก
7.จิบน้ำส้มสายชูที่เปรี้ยวจัด หรือดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
8.การฝังเข็ม
9. การสวดมนต์ทำสมาธิ
10. กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1 – 10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไบโอดีเซล ทางเลือกพลังงานทดแทนในอนาคต

ไบโอดีเซล (อังกฤษ: Biodiesel) เป็นเชื้อเพลิงดีเซลที่ผลิตจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมันพืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงดีเซลทางเลือก นอกเหนือจากดีเซลที่ผลิตจากปิโตรเลียม โดยมีคุณสมบัติการเผาไหม้ เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก และสามารถใช้ทดแทนกันได้
คุณสมบัติสำคัญของไบโอดีเซลคือ สามารถย่อยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงดีเซลจากน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่ากระบวนการทรานเอสส์เทอริฟิเคชัน (Transesterification Process) โดยให้น้ำมันพืชทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ เช่น เมทานอล หรือเอทานอล และมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา มีลักษณะเป็นเอสเทอร์ของกรดไขมัน เรียกว่า Fatty Acid Methyl Ester
การเรียกชื่อประเภทของไบโอดีเซลขึ้นกับชนิดของแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา เช่น เมทิลเอสเทอร์ เป็นเอสเทอร์ที่ได้จากการใช้เมทานอลเป็นสารในการทำปฏิกิริยา หรือเอทิลเอสเทอร์ เป็นเอสเทอร์ที่ได้จากการใช้เอทานอล เป็นสารในการทำปฏิกิริยา เป็นต้น
น้ำมันดีเซลถือเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อต้นทุนของภาคขนส่ง ภาคเกษตรกรรม ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และอื่นๆ ที่มีการใช้เครื่องยนต์ดีเซล การที่น้ำมันดีเซลมีราคาสูงขึ้นในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ย่อมส่งผลต่อราคาสินค้าโดยตรง ดังจะเห็นจากราคาสินค้าขายปลีกที่สูงขึ้นในทุกวันนี้ผลกระทบนี้มีผลต่อประชาชนผู้บริโภคทุกคน
ไบโอดีเซล นับเป็นพลังงานทดแทนที่กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่บทบาทของการทดแทนน้ำมันดีเซล แต่การที่ไบโอดีเซลสามารถผลิตได้จากพืชน้ำมันที่ปลูกมากในประเทศอย่าง ปาล์มน้ำมัน สบู่ดำ รวมทั้งได้จากน้ำมันพืช ไขมันสัตว์ ที่ผ่านการประกอบอาหารแล้ว ซึ่งนับเป็นวัตถุดิบที่มีจำนวนมากและหาได้ในประเทศ การผลิตไบโอดีเซลจากไขมันสัตว์/น้ำมันพืชที่ใช้แล้วมีต้นทุนการผลิตถูกกว่าน้ำมันดีเซล ซึ่งจะช่วยให้ประเทศประหยัดงบประมาณจากการนำเข้าน้ำมันที่ต้องสูญเสียปีละหลายแสนล้านบาท ช่วยสร้างงาน อาชีพ รายได้เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตร และยังป้องกันการนำน้ำมันพืช กลับมาใช้ซ้ำ ที่มีสารก่อมะเร็งอีกด้วย
ด้านคุณภาพของไบโอดีเซล ในการเดินเครื่องยนต์นั้น ก็มีคุณภาพไม่ต่างจากน้ำมันดีเซล แถมไม่ก่อให้เกิดปัญหาแก่เครื่องยนต์ และมลภาวะในไอเสียมีค่าน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดีเซล รวมทั้งการใช้ไบโอดีเซล ก็ไม่จำเป็นต้องดัดแปลงเครื่องยนต์แต่อย่างไร
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้จับมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเร่งส่งเสริมเกษตรเพาะปลูกปาล์มน้ำมัน การคัดเลือกกล้าพันธ์ที่ให้ผลผลิตดี สนับสนุนให้ภาคเอกชนจัดตั้งโรงงานผลิต ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดสินเชื่อที่เหมาะสมสำหรับ ผู้ประกอบการไบโอดีเซลอย่างครบวงจร และที่สำคัญการกำหนดให้ราคาไบโอดีเซลที่จำหน่ายในเชิงพาณิชย์ถูกกว่าน้ำมันดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อจูงใจให้เกิดการใช้อย่างแพร่หลาย
การใช้ไบโอดีเซล อาจจะเป็นเพียงแนวทางหนึ่ง เพื่อบรรเทาสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง แต่หากใช้ร่วมกับมาตรการอื่น เช่น การประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานที่ฟุ่มเฟือย การใช้พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ รวมทั้งพลังงานชีวมวล ก็จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเรา สามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืนต่อไป

นักวิชาการเตือนคนอ้วนเสี่ยงติดหวัดใหญ่ 2009ง่ายสุด

ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่มีการนำเสนอข้อมูลของหลายส่วน ยังไม่ตรงกันและไม่อิงตามหลักฐานที่ปรากฏ
ทั้งจากข้อมูลในต่างประเทศและในประเทศ
1.มาตรการที่สื่อสารเพื่อลดการแพร่กระจาย การติดต่อง่าย การแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งประเทศในเวลาอันสั้น ดังนั้นไม่ว่ามาตรการการปิดปาก จมูก เวลาไอ จาม ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้วนได้ประโยชน์ ต้องรณรงค์พร้อมกัน เป็นการปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดีต่อตนเองและสังคม
2.ตัวเลขอัตราการตาย การคำนวณร้อยละของอัตราการเสียชีวิต ต้องทราบจำนวนที่แท้จริงของคนที่ติดเชื้อทั้งหมด ไม่ได้ใช้ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อเท่าที่ตรวจได้มาคำนวณ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อนี้ ในประเทศไทยที่ทราบขณะนี้น่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ทำให้ไปแสดงตัวเลขอัตราการตายที่พุ่งสูงขึ้นจนเกิดความตระหนกตกใจ เช่น คาดการณ์การติดเชื้อขณะนี้น่าจะเป็นที่กว่าแสนราย การรายงานตัวเลขต่างๆ จึงมีปัญหาเมื่อนำมาสื่อสารทั้งหมด เพราะขึ้นกับกระบวนการได้มาของข้อมูลที่อาจไม่ได้มีความชัดเจน
3.การอ้างอิงข้อมูลตัวเลขควรบอกถึงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ว่า เป็นการคาดการณ์โดยอาศัยอาการอย่างเดียวหรือมีข้อพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการ เช่น มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่ละปีหลายแสนคน และเสียชีวิตไม่ต่ำกว่าปีละ 300-400 คนทุกปี อาจสะท้อนเพื่อให้เห็นว่าการเสียชีวิตจาก H1 N1 คือเรื่องปกติ ไม่น่าตกใจ
4.การสกัดกั้นผู้ป่วยจากต่างประเทศด้วยการตรวจคัดกรองไข้ที่สนามบินนานาชาติต่างๆ แม้ดูเสมือนไม่มีประโยชน์ แต่ก็พบว่าประเทศท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม ยังปฏิบัติอย่างเข้มงวด และมีการตรวจซ้ำสามถึงสี่รอบ
5.ลักษณะที่อาจเป็นอาการเฉพาะตัวของไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้แก่ a.ระบบทางเดินอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย b.กล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยรุนแรง c. เมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้น จะมีความดันเลือดต่ำ จนช็อก d.ลักษณะการทำงานของไตน้อยลง อาจพบตั้งแต่มีอาการเริ่มรุนแรงขึ้น e.อาการทางสมองอาจพบบ่อยกว่าไข้หวัดตามฤดูกาล
6.ภาวะของโรคที่มีความรุนแรงจนปอดบวมและเสียชีวิตภาวะดังกล่าวอาจไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มเสี่ยงตามปกติ อันหมายถึงผู้มีอายุน้อยกว่า 5 ปี มากกว่า 65 ปี มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด ไต ตับ หัวใจ ความดันเลือดสูง ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น แต่เสียชีวิตในกลุ่มบุคคลปกติอายุ 5-65 ปีได้ กลุ่มคนอายุ 5-65 ปี ที่เสียชีวิต ไม่จำเป็นต้องมีโรคประจำตัวก็ได้ มีก็ได้ ทั้งนี้พบว่ากลุ่มอายุดังกล่าวที่เสียชีวิตมีโรคประจำตัวประมาณร้อยละ 45-64 หรือครึ่งหนึ่งอาจแข็งแรงดีก็ได้
อย่างไรก็ตาม ความอ้วน (BMI มากกว่า 30) เป็นความเสี่ยงของการทำให้เสียชีวิตจากปอดบวมได้ ดังที่ปรากฏในรายที่เสียชีวิตในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา และเม็กซิโกผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี แม้มีปอดบวมแต่กลับมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าหนุ่มสาวที่มีอาการปอดบวมเช่นกัน
จากรายงานผู้ป่วยในเม็กซิโก พบว่า ร้อยละ 87 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในกลุ่มอายุ 5-59 ปี และร้อยละ 71 มีปอดบวมรุนแรงได้ ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มดังกล่าวเพียงร้อยละ 17 และมีปอดบวมรุนแรงร้อยละ 32
ผู้เสียชีวิตในประเทศไทยหลายรายอายุน้อย ไม่มีโรคประจำตัว ถึงแม้ว่าสาเหตุของการเสียชีวิตอาจเกิดจากการวินิจฉัยไม่ทันการณ์ การได้รับยาช้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปรากฏการณ์ที่ผู้ป่วยแข็งแรงอายุน้อย เกิดอาการปอดบวมรุนแรงและรวดเร็วเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ เนื่องจากเคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2461 (ค.ศ.1918) ที่รู้จักกันว่าไข้หวัดสเปน ที่คร่าชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคน พบว่าผู้มีอายุ 20-40 ปี มีอัตราการตายมากกว่ากลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป ไข้หวัด 1918 นั้น เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และลักษณะการระบาดรวดเร็วเช่นกัน ในระลอกแรกมีผู้เสียชีวิตประมาณร้อยละ 5 แต่ระลอกที่สองการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60-80 คำว่าระลอกที่สองอาจมีระยะห่างจากรอบแรกตั้งแต่สองเดือนถึงหนึ่งปีหรือมากกว่า จึงต้องเฝ้าระวังทุกกลุ่มอายุ ไม่ว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ก็ตาม
7.อาการทางสมอง แม้จะพบอาการทางสมองในไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่เป็นจำนวนน้อยมาก การติดตามระยะนานกว่าสามปีที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ไม่พบผู้ป่วยมีอาการทางสมองเลย ที่พบมีรายงานจะมาจากญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี และประเทศในยุโรป ตุรกี ในญี่ปุ่นในช่วงปี พ.ศ. 2540-2541 มีการประมาณการที่พบเด็กมีอาการทางสมองประมาณ 100-200 รายต่อปี แต่ไข้หวัดใหญ่ 2009 พบแล้วในประเทศไทยในสามเดือนเท่านั้น เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่ต้องจับตามองมาตรการใดที่กระทรวงสาธารณสุขเริ่มประกาศต้องมีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
1.แยกผู้มีอาการออกจากผู้อื่นโดยเด็ดขาด ตั้งแต่มีอาการหวัด ไอ น้ำมูก แม้ไม่มีไข้ก็ตาม หยุดงาน อยู่บ้าน สวมหน้ากาก อยู่ในห้องปิดประตู หรือถ้าอยู่ห้องรวมพยายามอยู่ห่างกันตลอดเวลาอย่างน้อย 1 เมตร เพื่อลดโอกาสติดกันทั้งบ้าน แยกภาชนะจาน ชาม แก้วน้ำ หน้ากาก หรือกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วควรแยก และทำลายทิ้ง คนในบ้านควรสวมหน้ากากด้วยเช่นกัน และต้องล้างมือเพื่อทำลายไวรัสที่ติดมือ แล้วเอามือ ขยี้ตา แคะจมูก
2.ผู้มีอาการน้อยเหมือนไข้หวัดธรรมดา ไม่ต้องรีบไปโรงพยาบาลและไม่จำเป็นต้องพยายามพิสูจน์ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 เพราะการไปโรงพยาบาลขณะป่วยเสี่ยงต่อการพาตัวไปติดเชื้อของจริง
3.ผู้มีอาการยกระดับจากไข้หวัดธรรมดาต้องพบแพทย์ ได้แก่ ไข้ไม่ลด สูงขึ้นเรื่อยๆ ในวันที่สองหรือวันที่สาม ปวดกล้ามเนื้อมากขึ้น หรือมีอาเจียน ท้องเสีย เพลียมาก หรือมีอาการปวดหัวมากขึ้น หรือมีซึม ในเด็ก ไม่กิน ไม่เล่น ซึม รีบไปโรงพยาบาล
4.รายงานจากห้องปฏิบัติการต้องเร็วและครอบคลุม การตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ขณะนี้รองรับจำนวนตัวอย่างมหาศาลของผู้ติดเชื้อทุกคนได้ยาก หากไม่จำกัดและคัดกรอง และตรวจทุกรายที่ต้องการตรวจ จะทำให้ในรายที่มีความจำเป็นต้องทราบผลด่วนไม่ได้รับผลการตรวจเร็วพอ ไม่ควรส่งตรวจผู้มีไข้หวัดธรรมดา
ผู้ที่ต้องได้รับการตรวจและทราบผลเร็วที่สุด ได้แก่ ก.ผู้ที่มีกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าอาการน้อยหรือมาก ข.ผู้ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ถ้ามีอาการมากกว่าหวัดธรรมดา แม้ไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม ค.บุคลากรสาธารณสุขที่มีโอกาสสัมผัสโรคและแพร่ให้คนไข้
5.ข้อมูลสถานการณ์แต่ละวันทั่วประเทศในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรงปานกลางขึ้นไป การนำข้อมูลจากทั่วประเทศที่ส่งให้กระทรวงสาธารณสุขมาแยกแยะอาการและแจ้งให้ทราบทั่วไปแก่บุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาล หรือผู้เกี่ยวข้อง ที่สำคัญช่วยในการพิจารณาความพร้อมของบุคลากร ห้อง ICU เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น แต่ละสถานพยาบาลควรกำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อการดูแลผู้ป่วยลดการเสียชีวิตที่สามารถทำได้
6.วิเคราะห์กลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยที่ติดเชื้ออาการระดับกลางถึงรุนแรง การที่ได้ทราบกลุ่มเสี่ยงจะทำให้บริการจัดการการให้วัคซีนในอนาคตได้ดี และจัดสรรให้กลุ่มเหล่านี้ได้เหมาะสม
7.การปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และอาจทำได้ และต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยก่อนปิดต้องมีการสื่อสารข้อมูลอย่างเข้มงวดแก่ผู้จะหยุดว่าอย่างน้อยสองวันแรกขอให้อยู่บ้าน และใส่หน้ากากเพื่อไม่ให้แพร่แก่คนในบ้าน เพราะถ้าติดโรคประมาณสองวันจึงแสดงอาการ ที่สำคัญอย่างยิ่ง ถ้าที่บ้านมีผู้ป่วย หรือผู้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ต้องจัดแยกให้ชัดเจน

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การดูแลรักษาดวงตาจากการใช้คอมพิวเตอร์

สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศรีษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ

เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากระพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกระพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)
5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ศาสตร์ของการยิ้ม

ศาสตร์ของการยิ้ม นอกจากเพื่อสังคมแล้ว การยิ้มคือยาขนานหนึ่งที่จะบรรเทาปัญหาสุขภาพ มายิ้มกันเถอะ...
ได้มีจิตแพทย์จำแนกการยิ้มได้เป็น 3 แบบ คือ ยิ้มจริงใจ ยิ้มเสแสร้ง ยิ้มเศร้า
1. ยิ้มจริงใจ คือ ยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกที่ดีงาม ยิ้มจริงใจเป็นการแสดงความรู้สึกทางด้านบวกอย่างแท้จริงจะปรากฎขึ้น หลังจากได้รับรู้สภาวะของอารมณ์ซึ่งรวมทั้งความยินดีจากสิ่งกระตุ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส อย่างรักใคร่ก็สามารถเรียกรอยยิ้ม อย่างจริงใจออกมาได้ รอยยิ้มอย่างจริงใจนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อหายจากเจ็บปวดจากแรงกดดันที่อึดอัดได้เหมือนกัน
ยิ้มอย่างจริงใจนี้ นอกจากจะใช้กล้ามเนื้อยิ้มตามปกติคือ กล้ามเนื้อขากรรไกรแล้ว ยังใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอีกด้วย ผลของการยิ้มจริงใจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน "ความสุข" (เอนเดอร์ฟิน) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปออกฤทธิ์ทำให้ม่านตาขยายตัว และตามีประกายของความสุขที่เราเรียกว่า "ตายิ้ม" ซึ่งตานี้เองจะแสดงออกถึงความรัก ความเป็นมิตรและความอบอุ่น
2. ยิ้มเสแสร้ง ก็คือรอยยิ้มที่ประดิษฐ์ขึ้น โดยเจตนาจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดทำให้ผู้อื่นคิดว่า เรารู้สึกว่าอย่างนั้นจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ยิ้มเสแสร้ง คือ การเจตนาที่จะพยายามกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกในด้านดี ยิ้มเสแสร้งจะปรากฏบนใบหน้านานกว่ายิ้มจริงใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจิตหลายคนเห็นว่า การหัวเราะเป็นตัวการที่จะปลดปล่อยความตึงเครียด หรือความตื่นเต้นที่มีมากจนเกินไป การหัวเราะช่วยปรับความสมดุล ให้อยู่ในสภาวะปกติ แม้ว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ตลกเลยก็ตาม เหตุผลที่เราชอบหัวเราะอีกอย่างหนึ่งก็เพราะ เวลาหัวเราะเราต้องยิ้มก่อนและใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ย่อมน่าดูกว่าใบหน้าบึ้งตึงดุร้าย การหัวเราะจึงเป็นอีกขั้นหนึ่ง ของการยิ้มนั่นเอง คุณสามารถยิ้มไปโดยไม่ต้องหัวเราะ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหัวเราะโดยไม่ยิ้ม
คนที่สามารถยิ้มและหัวเราะอย่างจริงใจก็เหมือนกับกำลังพูดว่า "ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรนะ ฉันเป็นมิตรนะ ฉันอยู่ข้างเธอนะ" คนที่สามารถยิ้มและหัวเราะในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจริงๆ นั้นก็คือ คนที่เป็นอัจฉริยะโดยแท้ เพราะเท่ากับเขากำลังพูดว่า "ฉันไม่กลัวหรอก"
3. ยิ้มเศร้า มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะเราทำตัวเองเป็นทุกข์ และเรายังทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์อีกด้วย คนที่หัวเราะมากๆ จะมีชีวิตยืนนาน คนที่มีความสุขจะมีอายุยืนกว่าคนที่อมทุกข์ การที่จะให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ จำเป็นจะต้องมีการแบ่งปัน คนที่รู้จักหัวเราะ ก็คือ คนที่รู้จักแบ่งปันนั่นเอง
"ดร.อาหาร ดร.เงียบ และ ดร.รื่นเริง" เป็นผู้เชี่ยวชาญยารักษาที่ดีที่สุดในโลก การรักษาเยียวยานั้น ต้องมาจากภายในและเรานั่นเองและที่จะมีอำนาจรักษาตัวเองได้ การหัวเราะมักจะเกิดพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไปในทางที่ดีที่ใครๆ ก็เห็นได้ชัด เช่น นัยน์ตาเป็นประกาย บุคลิกสดใส การร้องไห้จึงนับว่าเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ช่วยลบล้างความทุกข์หรือเกิดจากทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ จะมีส่วนผสมทางเคมีแตกต่างจากน้ำตาที่เกิดจากผงเข้าตา น้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ภายในจะมีสารช่วยลดความเจ็บปวดอยู่ด้วย ซึ่งจะผลิตออกมาในปริมาณมากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เราเอาชนะความเจ็บปวดและความโศกเศร้าได้ คนที่พยายามยิ้มและหัวเราะอยู่เสมอ แม้จะรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ภายใน ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์เป็นไปในทางดีได้ จะมีความสุขขึ้นทั้งสมองและจิตใจ
ใครดำเนินชีวิตอย่างหวาดกลัวตลอดเวลา มักจะป่วยบ่อยๆ ความกลัวสามารถทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายจับแข็งจนเลือด และฮอร์โมนกับสิ่งบำรุงร่างกายไปเลี้ยงไม่ถึง การหัวเราะ จะช่วยให้มันละลายแล้วเริ่มทำงานตามปกติต่อไป คนที่เป็นทุกข์เนื่องจากมีความกลัวอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะผลิตสารอะดรีนาลินออกมามากเกินไป และไหลเวียนไปทั่งร่างกายตลอดเวลาทำให้ล้มเจ็บได้ ความกลัวสามารถลดได้ด้วยการเผชิญหน้ากับสาเหตุนั้นๆ และการหัวเราะก็เป็นวิธีเผิชญหน้ากับความกลัวที่ดีที่สุด เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด ถ้าเราเรียนรู้ที่จะหัวเราะให้มากขึ้น ในไม่ช้าความกลัวก็จะค่อยๆ หมดไป
วิธีดูว่ายิ้มอย่างไหนจึงจะเหมาะสำหรับคุณก็คือ ลองยืนหน้ากระจกเงา แล้วแสดงสีหน้าแบบต่างๆ ทั้งยิ้มและบึ้ง สังเกตว่า สีหน้าแบบไหนที่ทำให้คุณดูอ่อนวัยลง มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ขึ้น แต่ละคนจะมีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันออกไป รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้านานเกินไป จะดูเหมือนกับหุ่นยนต์ หรือยิ้มเสแสร้ง คุณควรจะมีรอยยิ้มที่จริงใจจะดีกว่า เพราะถ้ายิ้มเสแสร้งของคุณเด่นชัดเกินไป ผู้คนก็จะไม่เชื่อถือ บางครั้งคนอื่นจะตัดสินเราที่เสียงมากกว่ารูปร่างหน้าตา ดังนั้นเราควรจะพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเวลาตอบโทรศัพท์ คนที่อยู่ปลายสายอีกข้างหนึ่ง ไม่เห็นรอยยิ้มกับประกายตา อันแวววาวของคุณหรอก แต่คุณต้องใส่มันลงไปในน้ำเสียง มาพูดโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มกันดีกว่า วิธีมีรอยยิ้มอันสดใส ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก เพียงแต่หัดยิ้มให้บ่อยๆ เท่านั้นแหละ ยิ่งคุณยิ้มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น แต่รางวัลพิเศษแท้จริงก็คือ คุณจะค่อยมีความสุขมากขึ้นควบคู่ไปด้วย รู้คุณค่าของการยิ้มและวิธีใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง รอยยิ้มเปรียบเสมือนดวงประทีป

ประโยชน์ของการยิ้ม
การยิ้มมีประโยชน์ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม
ระดับบุคคล
ด้านร่างกาย มีหลักฐานการศึกษาวิจัยหลายเรื่อง ที่แสดงถึงผลของการยิ้มที่มีต่อสุขภาพร่างกาย คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเร็วขึ้นด้วย ด้านจิตใจ รอยยิ้มทำให้จิตใจเป็นสุข อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้มองโลกในแง่ดีขึ้น และการยิ้มในสถานการณ์ที่คับขันยังช่วยเพิ่มความกล้าในจิตใจด้วย ทำให้มีพลังที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคมากขึ้น
ระดับครอบครัว
ครอบครัวที่อยู่ร่วมกันในบรรยากาศแห่งรอยยิ้ม ช่วยเพิ่มความรักความผูกพัน ความอบอุ่นใจ และมีความสุข เป็นครอบครัวที่น่าอยู่ ส่งผลกระทบให้เกิดความมั่นคงในครอบครัว ครอบครัวที่อยู่ร่วมกันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส จะเสริมสร้างคุณภาพจิตใจที่ดีให้แก้สมาชิก ทำให้อารมณ์ดี มีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กจะเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพ ครอบครัวที่มีเรื่องขัดแย้ง หรือความไม่เข้าใจกัน รอยยิ้มจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความบาดหมาง และลดปัญหาต่างๆ ในครอบครัวให้น้อยลง
ระดับสังคม
เป็นที่ยอมรับว่า การยิ้มเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการสร้างมิตร เพราะช่วยลดความแปลกหน้า ทำให้เกิดความไว้วางใจ ทำให้คนอื่นอยากพูดคุยด้วย คนที่มีบุคลิกลักษณะยิ้มแย้มอยู่เป็นนิตย์ จะช่วยให้ตนเองและผู้อื่นมีความสดชื่น เพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองและได้ภาพลักษณ์ที่ประทับใจผู้อื่น การยิ้มแย้มทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ลดปัญหาอุปสรรค ความขัดแย้ง หรืออคติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เกิดการประสานงานที่ดี ราบรื่น สังคมที่มีแต่คนยิ้มแย้ม เป็นสังคมที่น่าอยู่ เป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรมที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม และยิ่งไปกว่านั้น การยิ้มยังเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้ส่งผลที่ดีต่อเศรษฐกิจของประเทศได้ด้วย

"การหัวเราะ"

การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีการยิ้มหรือหัวเราะ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "ความสุข" ชื่อ "เอ็ดโดฟีน" ซึ่งช่วยให้สามารถต่อสู้กับความกลัว ความเครียด ระบบย่อยอาหารดีขึ้นกระตุ้มการเจริญอาหารและระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการผ่อนคลาย การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นร่างกายได้ดีขึ้น สามารถต่อต้านและช่วยบรรเทาอาการกังวล และเจ็บปวดต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ และช่วยในการปรับปรุงสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย การเก็บกวาดสิ่งที่ไม่ต้องการในร่างกาย เช่น คอเลสเตอรอล ไขมันส่วนเกินและขยะต่าง ๆ จากจิตใจด้วยการหัวเราะให้ความตึงเครียดผ่อนคลายลง ให้ผลดีกว่าการออกกำลังกายทุกชนิด เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ถ้าหัวเราะ 1 นาที เท่ากับได้พักผ่อนนานถึง 45 นาที การหัวเราะ ถือเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง คนที่หัวเราะมาก ๆ จะมีชีวิตยืนยาวนักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับการหัวเราะนี้มากถึงขนาดเปิดเว็บไซต์เสาะหาซุปเป้อร์โจ๊ก เราเกิดมาแล้วก็รู้จักกับการหัวเราะกันตั้งแต่ก่อนจะพูดได้เสียอีก ผู้ใหญ่จะหัวเราะสักวันละ 20 ครั้งได้ ส่วนเด็กๆจะหัวเราะได้ถึงวันละ 200 ครั้ง นักปรัชญาที่สำคัญๆในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ เพลโต้ อริสโตเติ้ล ค้านท์ และ ฮูเม่ ต่างก็เขียนถึง การหัวเราะ กันมาแล้วทั้งนั้น แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ เรายังแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการหัวเราะ มีปัญหาต่างๆมากมายที่ยังไม่มีใครตอบได้ เช่น ผลทางกายภาพและจิตภาพโดยละเอียดจากการหัวเราะว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมมนุษย์เราจึงมีวิวัฒนาการให้หัวเราะกันมา เรื่องตลกมันไปทำอะไรจนสะกิดให้เกิดการหัวเราะให้เกิดขึ้นมา ผลของเรื่องตลกต่อคนเล่าและคนฟังต่างกันอย่างไร ฯลฯ แต่ว่ากันไปตามจริงแล้ว ก็พอจะมีสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องโจ๊กๆอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ ยังตกลงกันไม่ได้เสียเอง ทฤษฎีทางตลกศาสตร์ถึงยังไม่ได้เกิดเสียที คนเราไม่ได้หัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องขำๆแต่เพียงอย่างเดียว เรายังมีการหัวเราะแก้เขิน แก้ประหม่า หรือตกใจ แม้แต่หัวเราะเพราะไม่รู้จะทำอะไร คิดอะไรไม่ออกก็หัวเราะเอาลูกเดียว บ้างก็หัวเราะตามๆเค้าไปเหมือนได้รับโรคติดต่อก็มี จากผลการศึกษาของ รอเบิร์ต โพรไวน์ นักชีวประสาทวิทยา(neurobiologist) แห่ง มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ในบัลติมอร์ สหรัฐ จากการสังเกตการณ์ข้อมูลกว่า ๑๒๐๐ สถานการณ์ พบว่า กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของการหัวเราะที่สังเกตการณ์มาวิจัยนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องขำๆเลย กลับเป็นการหัวเราะคั่นประโยคเช่นที่ว่า "แน่ใจเหรอ" "ขอนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยได้ไหมครับ" เป็นต้น แถมคนที่หัวเราะก็ไม่ใช่คนฟังแต่ฝ่ายเดียว ประมาณ ๔๖ เปอร์เซ็นต์ในการสังสันท์ทางสังคม คนที่หัวเราะกลับเป็นคนพูดเสียเอง หาใช่คนฟังไม่ และการหัวเราะก็หาได้สงวนไว้ให้แต่มนุษย์เท่านั้น สัตว์ประเภทลิงที่มีวิวัฒนาการสูงๆ เช่น ชิมแพนซี ก็หัวเราะได้ด้วยเหมือนกัน แม้จะฟังเหมือนคนกำลังหืดขึ้นคอเสียมากกว่า และในการทดลองกับหนูด้วยการจั๊กกะจี้ ก็ดูเหมือนหนูมันจะหัวเราะด้วยเหมือนกัน (เออนะ ใครขอทุนวิจัยไปจั๊กกะจี้หนูได้นี่ ยอดมนุษย์แท้ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่า เวลาหนูมันหัวเราะจะมีเสียงอย่างไร) นักวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับว่า การหัวเราะ ไม่ใช่พฤติกรรมที่ได้มาจากการเรียนรู้ แม้ว่าสาเหตุของการหัวเราะจะต่างกันไปบ้างตามสังคมที่ต่างกัน แต่การหัวเราะ ก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดกับทุกวัย ตั้งแต่ทารกวัยสามสี่เดือน แม้แต่เด็กหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ก็ยังหัวเราะกันได้ เราเองก็คงจะผ่านความรู้สึกว่า การหัวเราะนั้นควบคุมไม่ได้ หรือเกิดเหมือนเป็นโรคติดต่อ หลักฐานต่างๆเหล่านี้ บ่งไปในทางที่ว่า การหัวเราะเป็นพฤติกรรมที่มีมาอยู่แล้วในตัวเรา ทั้งด้านกายภาพและจิตภาพ คล้ายๆกับมีโปรแกรมเขียนติดมาแต่เกิดอย่างนั้น แล้วเรื่องการหัวเราะมันคืออะไร เกิดมาเพื่ออะไร ได้อย่างไร ก็มีคำอธิบายหลากหลายที่หาข้อยุติไม่ได้ บ้างก็ว่า เป็นเหมือนเสียงเรียกร้องออกศึก "การหัวเราะและอารมณ์ขัน เกี่ยวพันกับพฤติกรรมก้าวร้าวเอาชนะกันด้วย ดูได้จากเวลานักบอลเล่นชนะ ก็จะกระโดดโลดเต้น หัวเราะเริงร่าเหมือนเกิดอาการบ้าฉับพลัน อารมณ์ที่ผู้ชายสามารถแสดงออกได้ในที่สาธารณะมีสองอย่างเท่านั้น คือ ความสุข และ ความโกรธ" ชาร์ลส์ กรันเร่อร์ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์เจียเสนอข้อสมมติฐานนี้ขึ้นมา สมมติฐานในแนวนี้ก็อธิบายว่า การหัวเราะเป็นเหมือนการเชื่อมความสามัคคี เหมือนคำพังเพยฝรั่งกล่าวว่า "เราไม่ได้หัวเราะเยาะท่าน แต่เราหัวเราะไปด้วยกันกับท่าน" เป็นการบ่งว่า การหัวเราะเป็นการคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นการสร้างความรู้สึกร่วมของคนที่หัวเราะไปด้วยกัน แล้วเป็นการผ่อนคลายทางอารมณ์ แต่ใครที่ไม่ตลกไปด้วยก็จะถูกกันออกไป กลายเป็นคนนอกไม่ได้ร่วมเป็นพวกไปด้วย ผลการศึกษาของ โพรไวน์ แสดงด้วยว่า เราหัวเราะอยู่คนเดียวน้อยมาก มากกว่าสามสิบเท่าของการหัวเราะ เป็นการได้หัวเราะไปกับคนอื่น และในสถานการณ์ทางสังคม การหัวเราะ หรือทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ก็จะเกิดผลในทางบวกตามมา เด็กทารกก็เรียนมาจากปฏิกิริยาของแม่ที่สนองตอบต่อเสียงหัวเราะของลูก เมื่อโตขึ้นก็ได้รับการตอกย้ำไปเรื่อยว่า การสร้างเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่สร้างผลดี เช่น มีเพื่อนเลี้ยงข้าว หรือแม้แต่หาแฟนก็ยังได้ง่ายขึ้น กระนั้นก็ดี ก็ยังไม่มีการตัดสินลงไปให้แน่ๆกันเสียที ในเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับการหัวเราะ รวมทั้งสาเหตุและผลของมันด้วย เมื่อต้นปีนี้ ทีมวิจัยด้านสมองได้ค้นพบโดยบังเอิญPว่า เมื่อกระตุ้นพื้นที่เล็กๆประมาณ 2 ตารางเซ็นติเมตร ในสมองของเด็กหญิงวัย ๑๖ ที่เป็นโรคลมบ้าหมู ด้วยกระแสไฟฟ้า ก็สามารถทำให้เธอหัวเราะขึ้นมาได้ ถ้าใช้กระแสไฟอ่อนๆ ก็หัวเราะเบาๆ ถ้าใช้กระแสไฟแรงขึ้น ก็หัวเราะลั่นสนั่นห้องไปเลย แต่การทดลองทางกายภาพนี้ ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องมีการศึกษาค้นคว้ากันอีกมาก นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในอังกฤษ คือ British Association for the Advancement of Science จึงได้มีโครงการที่จะศึกษาว่า อะไรเป็นเรื่องน่าขำที่สุด ด้วยความร่วมมือจากคนทั่วโลกทางอินเตอร์เน็ต โดยขอให้คนคนที่เข้าไปที่เว็บนี้ http://www.laughlab.co.uk/home.html ช่วยกันให้คะแนนความขำของเรื่องตลก(ภาษาอังกฤษ)ครั้งละ ๕ โจ๊ก หรือจะส่งเรื่องตลกไปร่วมด้วยก็ได้ หลังจากนั้นอีก ๖ เดือน ก็จะเอาเรื่องตลกพวกนี้ไปอัดเสียงด้วยนักเล่าเรื่องตลกอาชีพ แล้วให้คนฟังที่เขาจะวัดคลื่นสมองไปด้วย เพื่อดูปฏิกิริยาของการหัวเราะ



วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

" ไมเคิล แจ็กสัน "

ไมเคิล แจ็กสัน (อังกฤษ: Michael Jackson) (29 สิงหาคม พ.ศ. 2501 – 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน (Michael Joseph Jackson) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอ็มเจ (MJ) หรือแจ็กโก้ (Jacko) เป็นนักร้องชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป หรือ “ King of Pop ” เขาเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ในปี 1969 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ในปี 1982 มีผลงานอัลบั้มที่ชื่อ Thriller ซึ่งถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และสี่อัลบั้มเดี่ยวที่เหลือก็ยังถือว่าเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดอัลบั้มหนึ่ง อันประกอบด้วยชุด Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory (1995) ต้นทศวรรษ 1980 เขาเริ่มมีความโดดเด่นในวงการเพลงป็อป และถือเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน คนแรกที่มีแฟนเพลงมากมายผ่านทางช่องเอ็มทีวี ความนิยมของเขามาจากการออกอากาศมิวสิกวิดีโอทางช่องเอ็มทีวี อย่างเช่นเพลง "Beat It", "Billie Jean" และ "Thriller—เพลงนี้ได้รับเครดิตว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของศิลปะ— มิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่องที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น วิดีโอเพลง "Black or White" และ "Scream" ก็ยังคงเปิดบ่อยทางช่องเอ็มทีวีในทศวรรษ 1990 ด้วย ลีลาบนเวทีของไมเคิลและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งเดังกับท่าเต้นซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนและท่าเต้นมูนวอล์ก ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังเป็นอิทธิพลให้กับศิลปินแนวฮิปฮอป ป็อป และอาร์แอนด์บี ให้อีกหลายคน อิทธิพลเพลงของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่น แจ็กสันหาเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อมูลนิธิการกุศลของเขา มีซิงเกิ้ลการกุศลมากมายที่สนับสนุนให้กับ 39 องค์กร ชีวิตส่วนตัวของเขาเขามักปรากฏตัวโดยการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและพฤติกรรมให้คนอื่นจำไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายังถูกข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศเด็กในปี 1993 แต่ก็ปิดลงโดยเขาไม่มีความผิดเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ ไมเคิลมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 และยังมีข้อมูลรายงานขัดแย้งในเรื่องฐานะการเงินของเขาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 แจ็กสันแต่งงานมาแล้วสองครั้ง มีลูกสามคน ต่อมาในปี 2005 เขามีข้อพิพาทอีกครั้งเรื่องล่วงละเมิดทางเพศและอีกหลายคดี แต่เขาก็ไม่มีความผิด (ซึ่งในภายหลังคู่กรณีหลายรายได้ออกมายอมรับว่า ไมเคิล ไม่ได้กระทำ และที่กล่าวหา เพราะเป็นเด็ก และถูกผู้ปกครองบังคับ โดยหวังที่จะได้รับเงินค่าเสียหาย) เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่มีชื่ออยู่ใน ร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟมถึงสองครั้ง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับสถิติหลายครั้งจากกินเนสบุ๊ค รวมถึงในหัวข้อ เป็นหนึ่งใน"ศิลปินบันเทิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล" เขาได้รับรางวัลแกรมมี่13 ครั้ง มี 13 ซิงเกิ้ลที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะนักร้องเดี่ยว และมียอดขายรวมกว่า 750 ล้านชุดทั่วโลก เขาถือเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อปมากว่า 4 ทศวรรษ ไมเคิล แจ็กสันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 อายุได้ 50 ปี
ไมเคิล แจ็กสัน กับประเทศไทย
ไมเคิล แจ็กสัน เป็นที่รู้จักของคนไทยส่วนหนึ่ง ขึ้นมาจากมีชื่อถูกอ้างถึงในเพลง ทับหลัง ของคาราบาว ในปี พ.ศ. 2531 ที่มีเนื้อร้องในท่อนแยกว่า "เอาไมเคิล แจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา" ซึ่งเป็นบทเพลงที่ได้รับความนิยมจากกระแสเรียกร้องทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จากสถาบันศิลปะชิคาโก สหรัฐอเมริกา ไมเคิลเคยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในกลางปี พ.ศ. 2536 เป็นการโปรโมตปิดอัลบั้ม Dangerous กำหนดการแสดง 2 รอบ ในวันที่ 21 สิงหาคม และ 22 สิงหาคม ที่สนามศุภชลาศัย โดยทางบริษัท เทโรเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เป็นผู้จัด ซึ่งก่อนการแสดงได้มีการโปรโมตทางช่อง 3 เป็นรายการพิเศษเกี่ยวกับไมเคิล แจ็กสัน มี เมทินี กิ่งโพยม เป็นพิธีกร โดยออกอากาศในช่วงเที่ยงของวันเสาร์-อาทิตย์ อยู่นานนับเดือน คอนเสิร์ตในครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตที่ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากชาวไทย และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงความเหมาะสมของการจัดแสดง เพราะบางส่วนเห็นท่าเต้นลูบเป้าของไมเคิลไม่เหมาะสมต่อวัฒนธรรมไทยและเมื่อเดินทางมาถึง ไมเคิลได้แต่งตัวแปลก ๆ เมื่อลงจากเครื่องบินส่วนตัวด้วยผ้าปิดหน้า โดยเจ้าตัวอ้างว่าได้ยินว่ากรุงเทพ ฯ มีควันไอเสียเยอะ ซึ่งส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงเห็นว่าเป็นการแสดงออกที่ดูถูกประเทศไทย อีกทั้งต้องใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในการแสดง และราคาบัตรที่เข้าชมก็นับว่าแพงมากด้วย คือ 500, 800, 1,000, 1,500 และ 2,500 บาท โดยคอนเสิร์ตวันแรกจบลงด้วยดี แต่ในวันที่ 22 สิงหาคม ไมเคิล อ้างว่าป่วย ขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 23 สิงหาคม แต่เมื่อมาถึงก็ขอเลื่อนไปอีก สร้างความไม่พอใจแก่แฟน ๆ จนเกิดเป็นจลาจลย่อย ๆ หน้าสนาม ซึ่งต้องใช้เทปเสียงของเจ้าตัวมาเปิดยืนยันว่าป่วยจริง ๆ ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 24 สิงหาคม อีกที คราวนี้เมื่อถึงวันที่ 24 สิงหาคมจริง ๆ ก็สามารถจัดการแสดงได้และจบลงด้วยดี ซึ่งปรากฏการณ์คอนเสิร์ตในครั้งนี้นับเป็นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ของนักร้องชาวต่างประเทศระดับโลกครั้งแรกของไทย และต่อมาก็ได้มีศิลปิน นักร้องต่างประเทศทยอยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเรื่อย ๆ ตราบจนปัจจุบัน ซึ่งหลังจากเดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว ไมเคิลก็ได้เดินทางต่อไปยังประเทศบรูไน เพื่อเปิดแสดงคอนเสิร์ตที่นั่น โดยมีสุลต่านบรูไนเป็นผู้จัดและเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ครั้งที่ 2 เป็นคอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้ม HIStory โดยแสดงแบบกลางแจ้งที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 เปิดแสดง 2 รอบเช่นเคย ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้รับความสนใจเท่าครั้งแรกและบัตรก็จำหน่ายไม่หมดทุกที่นั่ง แต่ผู้ชมยังคงเข้าไปชมอย่างหนาแน่น โดยเพลงที่นำมาแสดงในครั้งนั้นได้แก่ Scream, They Don't Care About Us, You Are Not Alone, Beat It, Billie Jean, Heal The World, Childhood และเพลงอื่น ๆ ร่วม 20 เพลง ในปี พ.ศ. 2542 ไมเคิลได้เผยว่าจะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรอบพิเศษ โดยจะจัดแสดงทั่วอเมริกาเพียง 10 ที่ ซึ่งตัวไมเคิลเองอยากจะแสดงและโชว์อีกครั้ง แต่ในการแสดงอาจจะมีการเปิดเทปในการแสดงเป็นบางช่วง เพราะตัวไมเคิลเองอาจร้องไม่ไหว และการเต้นอาจจะไม่สนุกเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะไมเคิลมีอายุถึง 48 ปี ในการแสดงครั้งนี้จะเปิดการแสดงในชุด Jackson 5 ซึ่งมีการรวมตัวเหล่าพี่น้องของไมเคิล ในการแสดงจะมีเพลงแค่ 16 เพลง ในชุด Jackson 5 จะมี 6 เพลงและเพลงของไมเคิลเอง 10 เพลง คือ You Are Not Alone, Heal the World, Billie Jean, Man in the Mirror, Will You Be There, Black or White, Beat It, Stanger in Moscow, Rock with You และ Bad และจะจัดขึ้นทั่วโลกในปี พ.ศ. 2552 เพียง 9 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, อิตาลี, สเปน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศไทยด้วย ในราคาค่าตัวสำหรับการเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตถึง 20,000,000 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 650,000,000 บาท คอนเสิร์ตจะจัดขึ้นในประเทศไทยที่สนามศุภลาศัย ที่จุคนได้ถึง 70,000 คน โดยคาดว่าค่าบัตรเข้าชมจะมีราคา 1000, 2,000, 3,000, 4,000 บาทโดยประมาณ ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551 ไมเคิล แจ๊กสัน และพี่น้องเขาให้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อได้ปรากฏตัวอีกครั้งในรูปแบบคอนเสิร์ตเต็มที่ และทำให้นักข่าวตกตะลึง เมื่อสถานที่แสดงศิลปินวงอื่น ๆ ยังสามารถทำได้เพียง 50,000 คน เท่านั้น แต่ในที่นี้ไมเคิลได้ทำลายสถิติทั้งหมด เพียง 1 ครั้งเท่านั้น โดยมีผู้ชม ถึง 125,000 คนเลยทีเดียว
ถึงแก่กรรม
ไมเคิล แจ็กสัน ได้ถึงแก่กรรมอย่างกระทันหันในวัย 50 ปี ในช่วงบ่ายของวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ณ ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (Ronald Reagan UCLA Medical Center) เมื่อเวลา 14 นาฬิกา 26 นาที ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 4 นาฬิกา 26 นาที 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ตามเวลาประเทศไทย โดยสาเหตุการเสียชีวิตเชื่อว่าเขามีอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่ยังต้องรอผลการชันสูตรศพเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงก่อน และข่าวการเสียชีวิตก็ได้เป็นข่าวโด่งดังและเป็นที่สนใจไปทั่วโลก