วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

กระตุ้นปัญญาด้วยการคิดถึงความตาย


คราวหนึ่ง...พระผู้มีพระภาค ได้สนทนากับภิกษุหลายรูป ในเรื่องเกี่ยวกับความตาย ได้ตรัสถามพระเหล่านั้นว่า...เธอทั้งหลาย ได้เจริญมรณสติอยู่หรือเปล่า

ภิกษุก็กราบทูลว่า...ได้เจริญอยู่ พระเจ้าข้า
ตรัสถามต่อไปว่า...เจริญอย่างไร?

รูปหนึ่งกราบทูลว่า...ชีวิตไม่นานหนอ จะแตกดับภายในวันหนึ่งคืนหนึ่งโดยแท้
รูปหนึ่งทูลว่า...ได้คิดว่าชีวิตจักแตกดับภายในวันหรือคืน
อีกรูปหนึ่งทูลว่า...คิดว่าจะอยู่ได้ไม่เกินเที่ยงวัน
อีกรูปหนึ่งทูลว่า...ชีวิตนี้จักดำรงอยู่ไม่เกินสามชั่วโมง
อีกรูปหนึ่งทูลว่า...อยู่ไม่เกินชั่วโมง
อีกรูปหนึ่งทูลว่า
...ชีวิตนี้น้อยคงอยู่ได้ไม่เกินขณะลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

ทรง ติทุกรูปว่า ยังประมาทในความตาย ยังคิดว่าตนจักอยู่ได้นานถึงขนาดนั้น ทรงชมเชยรูปที่กล่าวว่าชีวิตนี้มีอยู่ชั่วลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้น หาอยู่นานไปกว่านั้นไม่ นั่นแหละถือว่าเป็นการเจริญในความคิดเกี่ยวกับความตายโดยแท้ นี้เป็นบทเรียนอย่างยิ่งสำหรับชีวิตเกี่ยวกับความตาย

การคิดถึงความ ตายมิใช่เรื่องของความผิด แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง เป็นเรื่องกระตุ้นเตือนให้เกิดปัญญา เกิดความก้าวหน้าในการประกอบกิจการงาน เพราะเมื่อรู้ว่าอายุเราเป็นของน้อย อาจจะแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้ ก็ควรที่จะได้รีบเร่งประกอบคุณงามความดีต่อไปตามโอกาส

พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า...
กิจอันใดเราจะต้องทำในวันนี้ จงทำทันทีอย่าช้าอยู่เป็นอันขาด เพราะถ้าขืนช้า...ความตายจะมาถึงแล้ว จะพลาดโอกาสอันงามนั้นไปเสีย

จึงควรเตือนตนเองเสมอ ๆ ว่า มีอะไรที่จะต้องทำจงรีบทำเสียเถิด ตายแล้วไม่มีโอกาสจะมาทำอีก จงทำเดี๋ยวนี้ ทำทันที ช้าจักเสียการ


สัจธรรมของชีวิต จาก พระเทพวิสุทธิเมธี

สแกนกรรม 45 อย่าง (ควรอ่านอย่างยิ่ง)


1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ มูลนิธิเด็กอ่อน


2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต


3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด


4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ


5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา


6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข


7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ ธรรมะแจกจ่ายฟรี


8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้


9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย


10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่ จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้


11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด


12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี


13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก


14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์


15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนาถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ


16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น


17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา


18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา


19. รูปร่างหน้าตาไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล


20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน


21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน


22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน


23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บูชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด


24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ


25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา


26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน


27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง


28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต


29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี


30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี


31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน


32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร


33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ


34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดี ขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้ รับกุศลและอโหสิกรรม


35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยว ได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข


36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย


37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน


38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร


39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ


40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา


41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว


42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ


43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน


44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด


45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นได้สมรัก

กฏแห่งกรรม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์


2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน


3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน


4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน


5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน


6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน


7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน


8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน


9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน


10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน


11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน


12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย


13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน


14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ


15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่


16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ


17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์


18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด


19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

สุดยอด 7 ความเข้าใจผิดทางการแพทย์


คนเรามักมีความเชื่อที่ถูก สอนกันมาเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งบางครั้งเป็นความเชื่อที่ผิดๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า 7 สุดยอดความเชื่อที่ผิดทางการแพทย์มีอะไรบ้าง
จาก วารสารวิชาการ British Medical Journal และ American Journal of Psychology ซึ่งมีผู้วิจัยคือ ผศ.ดร Aaron Carroll หมอทันตกรรมเด็กจากสถาบัน Regenstrief ที่ Indianapolis และ Rachel Vreeman นักวิจัยใน children’s health services research ที่ Indiana University School of Medicine ได้จัดอันดับความเชื่อที่ผิดทางการแพทย์ออกมาดังนี้

อันดับ 1 อ่านหนังสือในที่มืดทำให้สายตาเสีย ผู้เชี่ยวชาญทางสายตากล่าวว่า การอ่านหนังสื่อในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอจะไม่ทำให้สายตาเสียแต่จะทำให้คุณ ต้องหรี่ตาลง กระพริบตาเพิ่มขึ้น และมีปัญหาในการหาจุดโฟกัส
อันดับ 2 การโกนขนไม่ทำให้ขนงอกเร็วขึ้นหรือแข็งกระด้างขึ้น การโกนขึ้นไม่มีผลต่อความแข็ง หนา ของเส้นขนและไม่ทำให้อัตราการงอกของขนเพิ่มเร็วขึ้น แต่ขนที่พึ่งงอกมันยังขาดสารเคลือบ ทำให้เรารู้สึกไปว่ามันแข็งและหยาบขึ้น
อันดับ 3 ทานไก่งวงแลัวจะง่วงนอน (อันนี้เหมือนบ้านเราที่ทานข้าวเหนียวแล้วง่วงรึเปล่านะ) กรดอะมิโนตัวการที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนคือ ทริปโตเฟน (Tryptophan) แต่ไก่งวงไม่ได้มีกรดอะมิโนตัวนี้มากไปกว่าไก่หรือเนื้อวัว ซึ่งตัวการที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนก็คือการดื่มและทานอาหารมากไปในวัน คริสต์มาส
อันดับ 4 เราใช้ 10% ของสมองในการทำงาน ความเชื่อนี้เกิดขึ้นในปี 1907 แต่ปัจจุบันการแสกนสมองเผยให้เห็นว่าไม่มีส่วนไหนในสมองที่มีการหลับหรือไม่ทำงานเลย
อันดับ 5 เล็บและผมสามารถยาวได้หลังจากตายไปแล้ว เรื่องนี้ได้ความคิดมาจากนิยาย ghoulish ซึ่งนักวิจัยระบุว่าหลังจากตายไปแล้ว ผิวจะแห้งและหดกลับ ทำให้มองดูเหมือนผมและเล็บจะยาวขึ้น
อันดับ 6 โทรศัพท์มือถือเป็นอันตรายในโรงพยาบาล ความเชื่อนี้แพร่หลายมาก แต่จากการวิจัยพบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนอุปกรณ์ทางการแพทย์น้อยมาก
อันดับ 7 การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วทำให้สุขภาพดี ไม่มีผลการวิจัยไหนที่ระบุหรือสนับสนุนความคิดนี้เลย

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

แสงสว่างของชีวิต


เราทั้งหลายพากันปรนนิบัติ บำรุงบำเรอ ประคบประหงมต้นพืช "โลภะ" อยู่ทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ แล้วจะไม่ให้มันงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โตขึ้นมากระไรได้

ใครๆ พากันต้องการ อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะดี อยากจะเด่น อยากจะใหญ่โตเหมือนคนอื่น อันเป็นโลภตัณหา และโลภตัณหานี้ก็คือ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวในเวลานี้ มันได้ขันเกลียวของมันเขม็งขึ้นทุกที ถ้าคนทั้งโลกร้องประกาศความอยากนี้ขึ้นมาพร้อมกัน โลกก็คงจะสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างน่าสะพรึงกลัว แล้วก็คงจะต้องดังไปไกลจนถึงพรหมโลก จนทำให้พระพรหมต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์เป็นแน่

อำนาจของความโลภนำมาซึ่งความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนำมาซึ่งการช่วงชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แล้วการช่วงชิงนี้ก็นำไปสู่การเบียดเบียนกันหนักขึ้นๆ ไปจนถึงรบราฆ่าฟันกันตาย ประวัติศาสตร์ได้ให้บทเรียนอันมีคุณค่านี้แก่มนุษย์มาหลายครั้งแล้วแต่มนุษย์หาได้นำพาไม่

ความโลภทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้ดวงจิตเกิดความเร่าร้อน ดวงจิตเกิดความเร่าร้อน ทำให้กระเทือนไปถึงคนอื่น ความกระเทือนไปถึงคนอื่นทำให้กระเทือนกันต่อๆไป แล้วโลกทั้งโลกก็จะร้อนเป็นไฟเพราะความกระเทือนนั้น

เมื่อตัวเองไม่สงบ ครอบครัวก็ไม่สงบ
ครอบครัวไม่สงบ บ้านเมืองก็ไม่สงบ
บ้านเมืองไม่สงบ โลกจะสงบลงได้หรือ

การงานในทางโลกก็คือการแหวกวงล้อมจากอันหนึ่งไปสู่วงล้อมอีกอันหนึ่งนั่นเอง หาได้พ้นไปจริงๆไม่ และบางทีก็เจอะเอาวงล้อมที่ดิ้นไม่หลุดเข้าก็มี เพราะมนุษย์ไม่ใช่รังสีแกมม่า จะได้มีอำนาจทะลุทะลวงวงล้อมแผ่นโลหะที่หนาๆได้

ความสวยสดงดงามของสิ่งทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ มายั่วยวนชวนให้หลงด้วยอำนาจเสน่ห์เล่ห์กลของมัน มนุษย์ผู้อวดดี อวดว่าตนเฉลียวฉลาด ความจริงเป้นผู้โง่าเขลาต่อธรรมชาติ จึงได้โดดเข้ายื้อแย่งแข่งดี ช่วงชิงกันอย่างอุตลุด บางทีถึงต้องล้มหมอนนอนเสื่อ หรือเสี่ยงต่ออันตราย แม้จะเสี่ยงกับความตายก็ยอมได้

สรรพสิ่งทั้งหลายที่มายั่วยวนกวนใจดังกล่าวมา ก็เหมือนกับความมายาของน้ำทะเลซึ่งมีสีเขียวขจีใสสะอาด ประหนึ่งจะท้าทายความกระหายของคนทั้งหลาย หรือเสมือนประกาศตัวของมันว่าจะทำลายความกระหายของผู้ที่อดโซได้

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

"ทุ่งทานตะวัน"

ทุ่งทานตะวัน ตั้งอยู่ใกล้วัดมณีศรีโสภณ ตำบลช่องสาริกาอำเภอพัฒนานิคม เกษตรกรในพัฒนานิคมได้ปลูกดอกทานตะวัน



ซึ่งในช่วง เดือนตุลาคม - มกราคมดอกจะบานสะพรั่งเป็นภาพที่สวย-งาม การเดินทางจากจังหวัดสระบุรีไป ตามเส้นทางสู่ลำนารายณ์ และเพชรบูรณ์ ขึ้นไปจากสระบุรีเพียง 30 กิโลเมตร จะพบทางเข้าวัดมณีศรีโสภณ ทางขวามือ เข้าไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่ง จากจังหวัดลพบุรี ไปตามเส้นทางลพบุรี-สระบุรี จนถึงสามแยกพุแค สระบุรี ให้เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทาง ไปเพชรบูรณ์ ไปอีก 15 กิโลเมตร (ทางหลวงหมาย เลข 21) จะพบทางเข้าวัดมณีศรีโสภณอยู่ทางขวามือ




เส้นทางสู่ทุ่งทานตะวันบาน

จากกรุงเทพฯ -ลพบุรี
ระยะทางเพียง 153 กม. โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน)- รังสิต กม.ที่ 50 เลี้ยวขวา - อำเภอวังน้อย จังหวัด สระบุรี - สามแยกพุแคเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 21 (ถ.เพชรบูรณ์ - หล่มสัก) - กม.ที่ 13 ทุ่งทานตะวันบานนับหมื่นไร่ สี่แยกพัฒนานิคมซอย 12เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3017 (ถ.ลพบุรี -เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) - เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
















ขอขอบคุณเนื้อหาจาก moohin.com

อุทยานแห่งชาติดอยภูคา



อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
Doi Phu Kha National Park
สถานที่ตั้ง อุทยานแห่งชาติดอยภูคา: ปัว น่าน

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่ท่องเที่ยว ตลอดทั้งปี

ลักษณะของสถานที่

อุทยาน แห่งชาติดอยภูคา มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอปัว อำเภอเชียงกลาง อำเภอทุ่งช้าง อำเภอแม่จริม อำเภอท่าวังผา และสันติสุข จังหวัดน่าน มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำลำธาร และมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกภูฟ้า น้ำตกแม่จริม น้ำตกผาฆ้อง ธารน้ำลอดพระลานหิน และป่าปาล์มดึกดำบรรพ์ เป็นต้น อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1,269.84 ตารางกิโลเมตร หรือ 783,650 ไร่

ข้อมูลอาหารพื้นเมือง ( ถ้ามี )

แกงคั่ว แกงอ่อม ยำผักแว่น ยำไก่ น้ำพริกน้ำปู๋ น้ำพริกหนุ่ม ห่อนึ่งไก่ แอ๊บอ่องออ แอ๊บปลา ลาบคั่ว ลาบดิบ ลู่ ฯลฯ

ของฝากของที่ระลึก

ส้มสีทอง มะไฟจีน ข้าวหลาม(ไส้ถั่วดำ-เผือก-สังขยา) ผ้าทอมือ เครื่องเงิน และมีด

ข้อมูลอื่นๆ ( มีโชว์ การแสดง )

ชมวิวทิวทัศน์,เที่ยวน้ำตก และชมต้นชมพูภูคาและป่าปาล์มยักษ์

ที่อยู่

อ.ปัว

การเดินทางโดยรถยนต์

อยู่ ห่างจากจังหวัดน่าน ประมาณ 85 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 1080 สายน่าน-ปัว ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากนั้นใช้เส้นทางสายปัว-บ่อเกลือ อีกประมาณ 25 กิโลเมตร

การเดินทางโดยรถประจำทาง/รถตู้

รถสองแถวใหญ่สายปัว-บ่อเกลือ จอดที่หน้าสนามกีฬา อ.ปัว มาลงบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา

จุดเด่นที่น่าสนใจของดอยภูคา
• ต้นชมพูภูคา เป็น พรรณไม้ที่มีชนิดเดียวในโลก ในประเทศไทยพบเพียงที่เดียวที่ป่าอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ต้นชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงถึง 25 เมตร เปลือกเรียบ สีเทาอ่อน ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
• เต่าร้างยักษ์ (เต่าร้างน่านเจ้า) เป็นไม้เฉพาะถิ่นของดอยภูคา จัดเป็นประเภทปาล์มลำต้นเดี่ยว สูงประมาณ 40 เมตร ยังไม่มีรายงานว่าพบที่ใดในโลก
• ก่วมภูคา เป็น พรรณไม้ที่พบครั้งแรกในประเทศไทย จัดเป็นไม้ผลัดใบ พืชวงศ์เดียวกับเมเปิ้ล ลำต้นสูงประมาณ 15 - 20 เมตร ใบอ่อนสีแดงเว้า 5 แฉก ใบแก่สีเขียว 3 แฉก นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้หายาก อาทิ จำปีช้าง ไข่นกคุ้ม ค้อเชียงดาว โลดทะนงเหลือง ขาวละมุน เทียนดอย เสี้ยวเครือ มะลิหลวง สาลี่หนุ่ม เหลือละมุน กุหลาบขาวเชียงดาว ฯลฯ
• ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้ง เป็น ถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยอันความสวยงามและยังมีลำธาร น้ำตกภายในถ้ำด้วย เป็นถ้ำที่ยาวมากที่สุดในอุทยานฯ ตั้งอยู่ในบริเวบ้านมณีพฤกษ์ อ.ทุ่งช้าง (อ่านรายละเอียดในบ้านมณีพฤกษ์)
• ถ้ำผาฆ้อง เป็น ถ้ำขนาดกลาง ปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยอันสวยงามและลำธารไหลผ่าน ในช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าไปเที่ยวได้เพราะภายในถ้ำอาจมีน้ำท่วม อย่ระหว่างทางขึ้นอุทยานฯ
• น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูน ขนาดกลาง มี 3 ชั้น สูงประมาณ 60 เมตร อยู่บริเวณใกล้ๆที่ทำการอุทยานฯ
• น้ำตกวังเปียน อยู่ใกล้กับหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยภูคาที่ 8 (บ้านห้วยโกร๋น) เขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ
• จุดชมวิวลานดูดาว เป็นจุดกางเต้นท์พักแรมและชมทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์ของขุนเขา
• เส้นทางศึกษาธรรมชาติ บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ท่านได้เดินเที่ยวชมพันธุ์ไม้ บรรยากาศสวยครับ
• ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลาง ใน เขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งน้ำว้าระดับ 3 - 5 ประมาณ 20 กว่าแก่ง ต้องใช้เวลากับกรพักแรมกลางป่าระหว่างการล่องแก่งด้วย ซึ่งลำน้ำว้าเกิดจากเทือกเขาในเขตอุทยานขุนน่าน ไหลผ่านพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ผ่านอุทยานแห่งชาติแม่จริม ก่อนที่จะไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านครับ
• ดอยภูแว เป็น แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ยอดดอยมีความสูง 1,837 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า ลานหิน หน้าผา และพันธุ์ไม้ที่สำคัญ อาทิ ดอกกุหลาบพันปี ค้อ ทุ่งดอกไม้ เป็นสถานที่ชมวิวทิวทัศน์และทะเลหมอกอันสวยงาม การเดินทางสู่ดอยภูแวต้องเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร มีลูกหาบไว้คอยบริการ
(หาก เพื่อนๆสนใจที่จะไปพิชิตดอยภูแว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคาได้ครับ ช่วงที่เหมาะคือเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ครับ อากาศกำลังหนาว ทะเลหมอกสวยครับ)
• บ้านมณีพฤกษ์
อยู่ ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เขต อ.ทุ่งช้าง เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง มีโครงการปลูกดอกไม้ พืชผักเมืองหนาว ดำเนินการโดยโครงการพัฒนาต้นน้ำ และจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ มีถ้ำต่างๆมากมาย ฐานปฎิบัติการทางทหาร และมีต้นชมพูภูคามากกว่าทางด้านที่ทำการอุทยานฯ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบ้านมณีพฤกษ์)
การเดินทาง : จาก จังหวัดน่าน เดินทางโดนรถยนต์ ทางหลวงหมายเลข 1080 สู่ อ.ปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตร จากนั้นแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) ระยะทาง 25 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
สิ่งอำนวยความสะดวก :
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีบ้านพัก ร้านอาหาร อำนวยความสะดวกต่อผู้มาเยี่ยมเยือนคือ
บ้านภูคา1 เป็นบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พักได้ 7 ท่าน
บ้านภูคา2 เป็นบ้านชั้นเดียว 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พักได้ 6 ท่าน
บ้านภูคา3/1, 3/2 - 7/1, 7/2 เป็นบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พักได้ 6 ท่าน
บ้านเกวียน มีทั้งหมด 16 หลัง พักได้หลังละ 2 ท่าน ห้องน้ำรวมครับ
• นอกจากนี้ยังมีสถานที่กางเต้นบริเวณที่ทำการ 2 จุดและที่ลานดูดาว 1 จุด ที่ลานกางเต้นท์มีห้องน้ำไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย

สอบถามรายละเอียด ได้ที่
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ตู้ ปณ.8 ตำบลูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120 โทรศัพท์ 054-701 000
หรือที่ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร.0 2562 0760

วิธีพักสายตาเวลาใช้คอมนานๆ


วิธีการพักสายตา จากการใช้ คอมพิวเตอร์

คน เราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา

ไอคอนดุ๊กดิ๊ก ภาพเคลื่อนไหว ภาพกลิตเตอร์  icon_dukdik_104 แต่ง hi5 1. หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5นาที

ไอคอนดุ๊กดิ๊ก ภาพเคลื่อนไหว ภาพกลิตเตอร์  icon_dukdik_104 แต่ง hi5 2. ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว

ไอคอนดุ๊กดิ๊ก ภาพเคลื่อนไหว ภาพกลิตเตอร์  icon_dukdik_104 แต่ง hi5 3. มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล 70%

ไอคอนดุ๊กดิ๊ก ภาพเคลื่อนไหว ภาพกลิตเตอร์  icon_dukdik_104 แต่ง hi5 4. หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ


นอก จากนี้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทิ้งเรื่องเครียดๆ ไว้ที่ทำงาน ก็จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น หายเหนื่อยเมื่อยล้า พร้อมสู้งานในวันถัดไปได้

10 ความลับสุดยอดที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับร้านอาหารริมทาง


ผมเองเป็นเจ้าของร้านอาหาร มีประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย อยากมา share ให้คุณทั้งหลายได้อ่านเล่นๆ ลองสังเกตุดูนะว่า มันจริงมั้ย?

1. แก้วน้ำล้างแบบไม่ใช้น้ำยาล้างจาน
เกือบ ทุกร้าน 90% จะล้างแบบจ้วงๆ น้ำสักสองสามครั้งเป็นอันเสร็จพิธี แล้วมันจะสะอาดมั้ยเนี่ย ยิ่งหวัด 2009 กำลังระบาดอยู่ด้วยนะ...เสียว จริงๆ

2. ประหยัดน้ำล้างจานกันจัง กะละมังเดียว ล้างเกือบ 200 จาน
ร้านเหล่านี้มักมีแหล่งน้ำน้อย หรือต้องจ่ายตังค่าน้ำแพง

3. ตะเกียบเก๊าส์เก่า บางร้านเป็นพลาสติกดั๊มดำ บางร้านใช้ไม้ไผ่ขึ้นราดำ......เฮ้อ... เศร้าง่ะ

4. กระทะผัดแล้วผัดอีก จนมีแต่กลิ่นไหม้ ระหว่างจานแค่ราดน้ำแล้วใช้ตะหลิวเขี่ยกระทะดัง เชี๊ยะ เชี๊ยะ เชี๊ยะ เป็นอันเสร็จ เรียกว่าไม่ล้งไม่ล้างมันแหละ

5. น้ำเปล่าที่ให้กินฟรีน่ะ น้ำก๊อกล้วนๆ บางร้านใจดีใช้น้ำก๊อกมาต้มกะใบชา โอเคล่ะครับ ถือว่าน้ำประปาดื่มได้ (จิงอะ?)

6. ทำไมมีแต่ข้าวเสาไห้ง่ะ มีข้าวหอมมะลิบ้างไหมครับ หรือว่าคนรุ่นใหม่กินข้าวหอมมะลิไม่เป็น ???

7. เกือบทุกร้านไม่ใช้น้ำปลาทิพรสจริง เอาน้ำปลาถูกๆ มากรอกใส่ขวดทิพรสเฉยเลย ถ้าโชคดีก็เจอร้านที่เปลี่ยนพริกทุกวัน โชคร้ายเจอพริก ? ทับถมกันข้ามปี!

8. ผัดกะเพรายอดฮิตของทุกท่าน มีส่วนผสมของผงชูรสประมาณ 1ช้อนชาพูนๆ (ถ้าคุณกินทุกวัน ปีนึง 300 กว่า ช้อนชา) มิน่าแชมพูหยุดการหลุดร่วงของเส้นผมจึงขายดี๊ ดี อีกอย่างมีร้านไหนล้างกะเพราบ้าง สังเกตุมาหลายร้านแล้ว เด็ดจากกิ่งมาผัดไม่เคยเห็นร้านไหนล้างเลย แล้วขี้ดิน สารพิษฯลฯ เต็มๆครับ
แถมหมูก็ให้แม่ค้าที่ตลาดใส่เครื่องปั่นออกมาเสียละเอียด ไม่มี
การล้งการล้างอย่างเด็ดขาด! แหวะ กินกันเข้าไป

9. น้ำมัน ที่ใช้ผัด เป็นน้ำมันเก่า ( ผ่านการทอดจนใช้ไม่ได้แล้ว) เขาจะเก็บรวบรวมใส่ปี๊บเก่าๆ (ขึ้นสนิมง่ะ) และขายต่อให้พ่อค้านำไปผ่านกรรมวิธี แล้วนำมาแบ่งถุงขาย...
(มา เล็ง ทั้ง นั้น เลย ค๊าบ พี่น้อง! )

10. เคย กินหมูนุ่มๆ เนื้อนุ่มๆ มั้ยครับ แหะๆ ทั้งหมดนั้นเค้าไม่ได้หมักด้วยกรรมวิธีธรรมชาติหรอกครับ ใช้ผงปีศาจ (เพื่อนผมเรียกผงปีศาจฮะ) มาหมักให้นุ่มเร็วๆ ที่สำคัญไม่มียี่ห้อไหนผ่านการรับรองด้วย อิอิ อยากรู้ว่าแรงแค่ไหน ให้ตักใส่มือสัก 1/4 ช้อนชาครับหยดน้ำลงไป 1หยด กำไว้ 1 นาที หนังมือไม่ลอกก้อแสดงว่าคุณไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะคร๊าบบบบ

ผม ทำร้านอาหารมานาน...เห็นสิ่งเหล่านี้ในสังคมไทยแล้ว รับไม่ด๊าย... รับไม่ได้ครับ...ถ้าคุณไม่แคร์ก็ช่างปะไร แต่ผมห่วงใยสุขภาพคุณนะครับ

ตู้เอทีเอ็มสกปรกเกือบเท่าห้องน้ำ


เทียบดูระหว่างหูโทรศัพท์กับที่นั่งส้วม และลูกบิดของประตูห้องน้ำกับปุ่มกดของตู้เอทีเอ็ม อันไหนน่าสกปรกด้วยเชื้อโรคมากกว่ากัน

จากการสำรวจความเห็นทั่วประเทศของผู้ใหญ่ 1,000 คนในสหรัฐอเมริกาทางโทรศัพท์ โดยมหาวิทยาลัยอริโซนา ให้เทียบความสกปรกของพื้นผิวสิ่งต่างๆ อันไหนสกปรกมากกว่ากัน ปรากฏผลสำรวจตรงข้ามความจริง ที่พบว่าส่วนที่สกปรกเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากที่สุดอยู่กันตามอุปกรณ์ในสนาม เด็กเล่น หูฟังโทรศัพท์ ตู้เอทีเอ็ม และแม้กระทั่งปุ่มกดในลิฟต์ ตามความเห็นของคนทั่วไปยังหลงผิดกันอยู่มาก

อย่างเช่นมากถึง 64% เชื่อว่าลูกบิดประตูห้องน้ำต้องมีเชื้อโรคอยู่มากกว่าปุ่มกดของตู้เอทีเอ็ม
ความจริงปุ่มของตู้เอทีเอ็มมีเชื้อโรคอยู่มากกว่า เนื่องจากโดนมือคนถูกต้องไม่รู้ว่ามากกว่าเท่าไรต่อเท่าไร

คนอีก 75% ยังเชื่อว่า ที่นั่งของส้วมตามร้านอาหารต้องมีเชื้อโรคยุบยับยิ่งกว่าที่นั่งส้วมบน เครื่องบิน ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม และผลของการสำรวจกับของจริง พบว่าหูโทรศัพท์สกปรกยิ่งกว่าที่นั่งส้วม
และแหล่งที่มีเชื้อโรคชุกชุมอื่นๆ ยังได้แก่ บนโต๊ะทำงาน แป้นพิมพ์ ปุ่มกดในลิฟต์ และราวบันไดเลื่อนด้วย

เทคนิคการจำ..ฝึกได้ง่ายๆ


รู้ไหมว่า...วัน ๆ หนึ่ง เราต้องใช้สมองจดจำอะไรบ้าง...

จำ ศัพท์ภาษาอังกฤษ จำ tense ตารางธาตุ ประวัติศาสตร์ อักษรสูง กลาง ต่ำ ชื่อเพื่อน หน้าเพื่อน จำเนื้อเพลง วันเกิดพ่อแม่พี่น้อง เบอร์โทรศัพท์ และจำ จำ จำ อีกหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะจำอะไรที่เป็นวิชาการ มันช่างจำได้ยากเย็นเต็มที ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่า "การเรียนด้วยความเข้าใจนั้นดีที่สุด" แต่จะมีใครกล้าปฏิเสธมั๊ยล่ะว่าเราเรียนได้โดยไม่ต้องใช้การท่องจำ...

เทคนิคแรก โยงสิ่งที่ต้องจำไปหาสิ่งที่จำง่ายและติดตากว่า

เช่น ภาษาอังกฤษคำว่า "sue" แปลว่าฟ้องร้อง การออกเสียงคำว่า "sue" คล้ายกับคำว่า "สู้" ของไทย แต่การสู้ในที่นี้ เราต้องสู้กันในศาล เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าฟ้องร้องนั่นเอง (สำหรับการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ขอแนะนำเพิ่มเติมว่าควรจะท่องกลุ่มคำที่มีความหมายเหมือนกัน จะได้จำไปคราวเดียว ไม่ต้องท่องหลายรอบ เช่น purpose-goal-aim-intention-objective)

เทคนิคที่สอง ใส่ทำนองร้องเป็นเพลง

ถ้า อยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งยาว ๆ ลองใส่ทำนองเข้าไปแล้วลองร้องออกมา นอกจากจะสนุกสนานล้ว อาจจะจำได้ดีขึ้นด้วย แต่จะไพเราะเสนาะหูขนาดไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว

เทคนิคที่สาม วิธีจำโดยสังเกตตัวอักษรที่เหมือนกัน

ใช้ ได้ผลดีกับวิชาภาษาไทย เช่น คำนวน ต้องเขียนว่า คำนวณ ใช้ "ณ" เหมือนคำว่า คณิตศาสตร์ หรือ เข้าฌาน สะกดด้วย "น" เพราะเป็นการนั่งแบบ "นิ่ง ๆ"

เทคนิคที่สี่ ประโยคเด็ดช่วยจำ

แต่ง ประโยคหรือเรียบเรียงเรื่องที่ต้องจำเป็นข้อความสั้น ๆ และถ้าสามารถ อาจแต่งให้คล้องจองกัน จะช่วยให้จำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ประโยคยอดฮิตที่ว่า "ไก่ จิก เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง" ทำให้พวกเราจำอักษรกลางได้อย่างง่ายดาย

เทคนิคที่ห้า จำเป็นรูปภาพ

สมอง คนเราจำรูปได้ดีกว่าข้อความ ดังนั้นพวกสูตรคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ลองเขียนเป็นตัวใหญ่ ๆ ทำให้โดดเด่นมีสีสัน แปะไว้ข้างฝาบ้าน มองทุกวัน หลาย ๆวัน เราจะจำภาพหรือสูตรนั้นได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญอย่าลืมมองเจ้าสิ่งที่แปะบ่อย ๆ ด้วย

เทคนิค การจำก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวเหมือนกัน ต้องมีการฝึกฝนและพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์ การจำเรื่องยาก ๆ อาจต้องใช้หลายเทคนิคหรือเทคนิคขั้นสูงต่อไป

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

งูสวัด เกิดจากการอดนอนได้ !!

ยารักษางูสวัด (หมอชาวบ้าน)

"การป้องกันการเป็นงูสวัดก็คือ การรักษาสุขภาวะของร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ"

โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างในประเทศไทย มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Varicella zoster virus หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV เชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดโรคในคนได้ 2 โรค คือ โรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัด

ครั้งแรกเป็น "อีสุกอีใส"

เมื่อร่างกายของเราได้สัมผัสเชื้อไวรัสชนิดนี้ในครั้งแรก มักจะมีอาการไข้ ตัวร้อนมาก่อนสัก 2-3 วันแล้วจึงเริ่มมีตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ รูปร่างของตุ่มน้ำใสจะคล้ายหยดน้ำบนใบบัว ขึ้นกระจายทั่วตัว และขึ้นเป็นรุ่น ๆ เป็นระลอก ๆ หลายรุ่น เมื่อเราสังเกตช่วงใดช่วงหนึ่งของโรคนี้จะพบเห็น "ตุ่มสุก ตุ่มใส" (ตุ่มน้ำใสทั้งที่เพิ่งเริ่มเป็น และตุ่มน้ำใสที่เต่งเต็มที่แล้ว) กระจายอยู่ทั้งร่างกาย ชาวบ้านจึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคอีสุกอีใส" (ปัจจุบันบางคนมีความเห็นว่า "อี" เป็นคำที่ไม่สุภาพ จึงตัดคำว่า "อี" ออกเสีย และเรียกโรคนี้ว่า "โรคสุกใส")

ครั้งที่สองเป็น "งูสวัด"

เชื้อไวรัส VZV นี้เมื่อเริ่มเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส ซึ่งมักเกิดในเด็ก และจะหายได้เอง ภายใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสชนิดนี้จะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และรอเวลาที่เหมาะสมกับการเพิ่มจำนวนของไวรัส หรือเวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง อดนอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะใช้เวลา นานเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่เป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว และพบมากในผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุ บางคนจะมีภูมิต้านทานลดต่ำลงหรืออ่อนแอลง

เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ไวรัสที่หลบอยู่ ณ ปมประสาทก็จะกลับออกมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้จะแสดงอาการของ "โรคงูสวัด"

ดังนั้น งูสวัด จึงมีสาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นครั้งแรกจะเป็น "โรคอีสุกอีใส" แต่เมื่อกลับมาเป็นอีก จะเป็น "โรคงูสวัด" นั่นเอง (การใช้ยารักษาก็เป็นเช่นเดียวกัน)

งูสวัด...มักเป็นในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว จะมีเชื้อไวรัส VZV สะสมหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย พร้อมทั้งคอยรอเวลาว่าเมื่อใดที่ร่างกายของเราอ่อนเพลีย หรือมีภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง เชื้อไวรัสชนิดนี้จะฉวยโอกาสออกมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นงูสวัดได้

ดังนั้นวิธีง่าย ๆ ในการป้องกันการเป็นงูสวัด ก็คือการรักษาสุขภาวะที่ดีของร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และมีภูมิต้านทานโรคที่ดี เชื้อไวรัสก็จะไม่ออกมาเพิ่มจำนวน และแสดงอาการของโรคอีกได้

อาการสำคัญของโรคงูสวัด

อาการของโรคงูสวัด แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

เริ่ม ต้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งนี้เพราะช่วงนี้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง ทำให้เชื้อไวรัสเริ่มเพิ่มจำนวน เกิดการติดเชื้อ ณ ระบบประสาท จึงมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ ในระดับเส้นประสาท

หลัง จากที่ปวดแสบร้อนได้ประมา 2-3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 เริ่มมีผื่นแดง ต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ (รูปร่างคล้ายหยดน้ำกลิ้งบนใบบัว) เรียงกันเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแนวยาว ๆ ตามเส้นประสาทของร่างกายเป็นหย่อม ๆ เช่น ตามความยาวของแขน หรือตามความยาวของขา หรือรอบเอว รอบหลัง หรือศีรษะ เป็นต้น ตุ้มน้ำใสเต่ง ๆ ของงูสวัดนี้จะแตกออกเป็นแผลต่อมาก็จะตกสะเก็ด และหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์

เมื่อตุ่มแตก และแผลหายดีแล้ว (ระยะที่ 3) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ ตามรอยแนวของโรคที่เกิดขึ้น ในบางคนอาจเกิดได้อีกเป็นเดือน หรือหลาย ๆ เดือน โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางคนอาจมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ หลังจากที่แผลหายดีแล้วเป็นปี ๆ

งูสวัด...ถ้าพันรอบเอวจะตาย...จริงหรือ?

เนื่องจากรอยโรคของงูสวัด ส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ เรียงเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแนวยาวตามเส้นประสาทซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ยังไม่เคยพบผู้ที่เป็นงูสวัดทั้ง 2 ด้านของร่างกายเลย (ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลียมาก ๆ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เมื่อเป็นงูสวัดแล้ว โรคจะลุกลามมากกว่าปกติ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้)

ผู้ป่วยทั่วไปที่เป็นงูสวัดมักจะหายได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายเมื่อพบว่า ไวรัสมารุกราน ก็จะเริ่มกระบวนการทำงานและจัดการกับเชื้อไวรัสได้ในที่สุด จึงไม่เคยพบงูสวัดชนิดที่เป็น 2 ด้าน หรือพันรอบเอว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นงูสวัดก็จะหายเองเป็นปกติ แต่ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ และไม่เคยพบคนตายจากงูสวัดเลย

สรุป "งูสวัด...ถ้าพันรอบเอวจะตาย...จริงหรือ?" เป็นความเชื่อ...แต่ไม่เป็นความจริง

ยารักษางูสวัด...มีจริงหรือ?

ปัจจุบันมียาต้านไวรัสชื่อ อะซัยโคลเวียร์ (acyclovir) ซึ่งมีการใช้ยานี้มากว่า 20 ปีแล้ว เป็นยาที่ได้ผลดี "โรคงูสวัดมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Varicella zoster virus หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV" เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส VZV จึงได้ผลดีทั้งผู้ป่วยโรคงูสวัดและอีสุกอีใส (รวมถึงโรคเริมด้วย) มีทั้งรูปแบบยาเม็ดยาแคปซูล ยาทา และยาฉีด

แต่ ยานี้เป็นยาที่แปลกกว่ายาอื่นในแง่วิธีใช้ เพราะยาชนิดนี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย แถมมีระยะเวลาออกฤทธิ์ในร่างกายสั้น จึงมีวิธีใช้ที่มีความถี่มากกว่ายาทั่วไป ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคงูสวัดและอีสุกอีใส ควรได้รับยาเม็ดในขนาด 800 มิลลิกรัม กินวันละ 5 ครั้งทุก 4 ชั่วโมง (ยกเว้นเวลากลางคืน) และควรใช้ติดต่อกันนาน 7-10 วัน

นอกจากยาชนิดกินแล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจให้ยาแก่ผู้ป่วยในรูปแบบของยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง ขนาดครั้งละ 500 มิลลิกรัม หยดเข้าสู่หลอดเลือดดำวันละ 5 ครั้ง และควรใช้ติดต่อกันนาน 7-10 วันเช่นกัน

ส่วนยาอะซัยโคลเวียร์ชนิดครีมทาภายนอกนั้น ไว้ใช้สำหรับโรคเริม แต่ใช้ไม่ได้ผลกับงูสวัดและอีสุกอีใส

นอกจากยาอะซัยโคลเวียร์แล้ว ยังมียาอีก 2 ชนิด คือ วาลาซิโคลเวียร์ (valaciclover) และแฟมซิโคลเวียร์ (famciclovir) ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนกับยาอะซัยโคลเวียร์ แต่มีข้อดีกว่าคือ กินวันละ 3 ครั้งเท่านั้น (ยาอะซัยโคลเวียร์ ต้องกินวันละ 5 ครั้ง)

อย่างไรก็ตามยาทั้ง 2 ครั้ง (วาลาซิโคลเวียร์และแฟมซิโคลเวียร์) ยังมีราคาค่อนข้างสูง เพราะมีแต่ผู้ผลิตต้นตำรับของแต่ละรายเท่านั้น ไม่เหมือนกับยาอะซัยโคลเวียร์ ที่ปัจจุบันหมดสิทธิบัตรคุ้มครองเอกสิทธิ์ของยาแล้ว (น่าจะเรียกว่า "ผูกขาด" มากกว่า) หลังจากที่หมดสิทธิบัตร ทำให้มีผู้ผลิตจำนวนมากผลิตยาอะซัยโคลเวียร์ออกสู่ตลาด ส่งผลให้ราคายาชนิดนี้ถูกลงจากเดิมหลายเท่าตัว และเมื่อใช้ยาเหล่านี้แล้วก็ได้ ผลดีในการรักษาเหมือนเช่นเดิม

ถึงตอนนี้ขอตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยว่า "เมื่อยาหมดสิทธิบัตรแล้ว ราคายาจะถูกลงมาก"

จะ ให้ได้ผลดี...ควรเริ่มใช้ยาอะซัยโคลเวียร์ให้เร็วที่สุด เนื่องจากยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ยาจึงมีประโยชน์ในช่วงที่ไวรัสกำลังเพิ่มจำนวน คือตั้งแต่เริ่มมี อาการปวดแสบปวดร้อนในระยะแรก (ยังไม่ขึ้นตุ่มน้ำใส) จนถึงระยะที่ 2 ก่อนที่ตุ่มน้ำใสจะแตกออกโดยทั่วไปจึงแนะนำว่า ควรใช้หลังจากพบตุ่มน้ำใสแล้วไม่เกิน 2-3 วันจึงจะได้ผลดีที่สุด

ตัวอย่างเช่น มีผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการปวดหัวบริเวณกลางกระหม่อม และที่หน้าผากมาประมาณ 2-3 วัน ต่อมามีผื่นขึ้นที่กลางกระหม่อม และลามมาที่หน้าผาก เป็นตุ้มน้ำใสเต่ง ๆ คาดว่าต่อไปเชื้อไวรัสอาจลามมาที่ตา และอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้

ในรายนี้เมื่อผู้ป่วยได้รับเป็นยาอะซัยโคลเวียร์ชนิดเม็ด ขนาด 800 มิลลิกรัม กินวันละ 5 ครั้ง (ทุก 4 ชั่วโมง) เมื่อได้ใช้ยาไปเพียง 1-2 วัน ตุ่มน้ำใสก็หยุดการลุกลาม และหยุดอยู่แค่ที่หน้าผาก (ยังไม่ลามเข้าที่หนังตาและลูกตา) พร้อมทั้งตุ่มน้ำใสเริ่มเหี่ยวลง ไม่เต่งเหมือนเดิม เมื่อใช้ยาต่ออีก 4-5 วัน ก็ตกสะเก็ด ต่อมาจึงหายเป็นปกติ

ดัง นั้น การใช้ยาชนิดนี้เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส จึงควรให้ยาให้เร็วที่สุด เพื่อหยุดการลุกลามของโรค แต่ถ้าโรคงูสวัดลุกลามเต็มที่แล้ว เช่น เมื่อผู้ป่วยเริ่มตกสะเก็ดแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยานี้ หรือใช้ยานี้แล้ว ก็จะไม่เกิดประโยชน์ในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสแต่อย่างไร กลับเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอีกด้วย

การใช้ยาทุกครั้งจะต้องมองถึงความคุ้มค่า และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

เป็นงูสวัดไปรักษากับหมอจีน ดีไหม?

อีกประเด็นหนึ่งที่พบได้บ่อยเมื่อผู้ป่วยเป็นงูสวัด คือ การไปรักษาแบบแพทย์แผนจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมจ่ายยาสมุนไพรมาปิดพอกทับที่ตุ่มและแผลของงูสวัด

จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า การนำสมุนไพรจีนมาพอกปิดที่ตุ่มน้ำใส และแผลของงูสวัดนั้นเกิดประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่า คืออาจจะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ผลเสียที่ตามมาค่อนข้างมาก คือมักทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนทีแผลของงูสวัด และทำให้แผลหายช้าลงกว่าปกติ

ปัจจุบัน จึงไม่แนะนำให้ไปพอกยาจีนที่ตุ่มและแผลของงูสวัดแล้ว ประกอบกับมียาแผนปัจจุบันที่ได้ผลดีกว่าอย่างชัดเจน ถ้าผู้ป่วยงูสวัดที่ต้องการใช้ยา จึงแนะนำให้ใช้ยาอะซัยโคลเวียร์เป็นดีที่สุด "คุ้มค่าปลอดภัย และประหยัด"

การดูแลแผลของูสวัด

นอกจากนี้ เมื่อตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเปิด ก็ควรดูแลสุขอนามัยของแผลเช่นเดียวกับแผลทั่วไป เช่น การล้างแผลและทำแผลให้สะอาด ปราศจากเชื้อแบคทีเรียในรายที่มีแผลเป็นจำนวนมาก อาจพิจาณาเลือกใช้ยาปฏิชีวนะคล็อกซาซิลลิน (cloxacillin) เพื่อช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรีย ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ควรไปแกะเกาที่ตุ้มน้ำใสหรือแผล เพราะจะทำให้ลุกลามเป็นมากขึ้น หายยากขึ้นด้วย

ถึง ตอนนี้คงจะกระจ่างแล้วว่า ยารักษางูสวัดนั้นมีจริงและได้ผลดีในการเลือกใช้ยาควรพิจารณาถึง "3 ป" ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประหยัด เพื่อให้ได้ใช้ยาอย่างพอเพียง ไม่มาก หรือน้อยเกินไป เป็นการใช้ที่คุ้มค่า

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ให้รู้จักพอ ให้รู้จักประมาณตน (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)

ให้รู้จักพอ ให้รู้จักประมาณตน


สันโดษ มาจากภาษาบาลีว่า สันโตสะ
สัน แปลว่า ตน
โตสะ แปลว่า ยินดี

สันโดษ จึงแปลว่า ยินดี พอใจ อิ่มใจ สุขใจ กับของของตน
กล่าวโดยย่อคือ ให้รู้จักพอ ให้รู้จักประมาณตน



ลักษณะของสันโดษมี 3 ประการคือ

ยินดีตามมี
ยินดีตามได้
ยินดีตามควร


เมื่อเราเข้าใจกฎแห่งกรรม
ยอมรับกฎแห่งกรรมด้วยปัญญาชอบ แล้วก็จะพอใจ
ในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ตามฐานะของตนในปัจจุบัน
ยอมรับว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน สมบูรณ์แล้วด้วยเหตุผล

อดีต........เป็น........เหตุ
ปัจจุบัน....เป็น........ผล
.....มันเป็นกรรมเก่า


พระพุทธเจ้าตรัสว่า
กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร่างกายจิตใจของเรา
รวมทั้งสิ่งที่เป็นที่พึ่งอาศัยของกาย
เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ลูกๆ บุคคลต่างๆ
ตลอดจนทรัพย์สมบัติ สถานที่ บ้าน สังคม ประเทศชาติ
ที่เราต้องไปเกี่ยวข้องล้วนเป็นกรรมเก่า



ยินดีตามมี


โลกธรรม 8 ที่เราประสบอยู่ในปัจจุบัน
โลกธรรมฝ่ายน่าปรารถนา ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข
โลกธรรมฝ่ายไม่น่าปรารถนา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
ล้วนเป็นผลจากการกระทำของเราทั้งสิ้น
ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏมีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จึงสมบูรณ์ด้วยเหตุและผล เราจึงต้องยินดีพอใจ

แม้มีบางสิ่งบางอย่าง “ไม่ถูกใจ”
ก็ต้องอาศัยปัญญาชอบที่จะยอมรับความจริง
จนทำใจให้สงบ สบายได้





ยินดีตามได้


ยินดีกับของส่วนที่ได้มา
คือ เมื่อแสวงหาประโยชน์อันใดแล้ว
ได้เท่าไรก็พอใจเท่านั้นยินดีพอใจในสิ่งที่ได้
เมื่อเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เราย่อมมีความปรารถนา
อยากได้ อยากมี อยากเป็น
และเมื่อเราแสวงหาสิ่งที่ต้องการด้วยความตั้งใจ
ความพยายามอย่างดีที่สุดตามกำลังตนแล้ว
เราต้องยอมรับผลที่ได้ เพราะเราก็ได้อาศัยบุญเก่า
ได้ใช้ความขยันหมั่นเพียร ความมานะอดทน ความสามารถ
กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาเต็มที่แล้ว
มันเป็นเพราะการกระทำทั้งในอดีตและปัจจุบันร่วมกันออกผล
เรียกว่าสิ่งที่ได้มันก็พอดีๆ กับการกระทำของตนเองทั้งนั้น
เมื่อเข้าใจจุดนี้ก็จะสบายใจ มีความยินดีพอใจในสิ่งที่ได้





ยินดีตามควร


ยินดีกับของที่สมควรแก่ตนเท่านั้น
สิ่งใดที่มีอยู่หรือจะได้มา หากเห็นว่าไม่สมควรกับเรา
ก็ไม่ยินดี ไม่ยอมรับไว้

การจะตัดสินว่า ควรหรือไม่ควรนั้น
ให้พิจารณาโดยใช้หลัก 3 ประการ คือ

ควรแก่ฐานะ
ควรแก่ความสามารถ
ควรแก่ศีลธรรม



ควรแก่ฐานะ

ให้พิจารณาว่าปัจจุบัน เราอยู่ในฐานะอะไร
เช่น เป็นฆราวาส หรือ เป็นนักบวช
เป็นผู้ใหญ่ หรือผู้น้อย
เช่น เมื่อเราเป็นฆราวาส มีใครเอาบาตร
เอาจีวรมาให้ เราก็ไม่ควรใช้
หรือเมื่อเราเป็นพระ
ก็ไม่ควรรับของที่ไม่เหมาะสมแก่ฐานะตน
เช่น อาวุธ บุหรี่ เหล้า หนังสือโป๊
วิดีโอเกมส์ เป็นต้น


ควรแก่ความสามารถ

คนเราเกิดมามีกำลังความสามารถไม่เท่ากัน
ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา
ดังนั้น เราควรรู้กำลังความสามารถของตนเอง
และแสวงหา หรือยอมรับเฉพาะของที่ควรแก่กำลัง
ความสามารถของตนเองเท่านั้น เช่น
ถึงแม้ว่าครอบครัวเราจะมีอำนาจบารมี
สามารถฝากงานในตำแหน่งสูงๆ ให้กับเราได้
แต่ถ้าเราพิจารณาถึงกำลังสติปัญญาและประสบการณ์
ของเราแล้วว่า ยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบงานได้
ก็ไม่ควรยินดีรับตำแหน่ง เป็นต้น


ควรแก่ศีลธรรม

ของใดก็ตามแม้ควรแก่ฐานะของเรา
ควรแก่ความสามารถของเรา
แต่ถ้าไปยินดีกับของนั้นแล้ว ทำให้เราผิดศีลธรรม
เสียชื่อเสียงเกียรติยศ ศักดิ์ศรี
ก็ไม่ควรยินดีกับสิ่งของนั้น
เช่นของที่ลักขโมย ฉ้อโกงเขามา
ของผิดกฎหมาย เช่น อาวุธเถื่อน ยาเสพติด
ของที่เขาให้เพื่อเป็นสินจ้างรางวัลในทางที่ผิด
หรือในกรณีที่เราแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
เมื่อมีใครมารักมาชอบเราแบบชู้สาว
แม้เราพอใจในตัวเขามากแค่ไหนก็ตาม
ก็ไม่ควรรับ ไม่ควรตอบสนอง เป็นต้น

สติที่นึกถึงธรรมะ


...การภาวนาคือการทำให้สงบ เมื่อสงบแล้วก็คือทำให้รู้ การทำให้สงบหรือทำให้รู้นี้ต้องลงมือปฏิบัติ กายกับจิตสองอย่างนี้เอง ไม่ใช่อื่น

ความเป็นจริงสิ่งที่กล่าวนี้มันเป็นสิ่งละสิ่ง เช่น รูปก็เป็นส่วนหนึ่ง เสียงก็เป็นส่วนหนึ่ง กลิ่นก็เป็นส่วนหนึ่ง รสก็เป็นส่วนหนึ่ง โผฏฐัพพะก็เป็นส่วนหนึ่ง ธรรมารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละอย่างนี้ก็เป็นคนละส่วน ๆ อยู่ แต่ท่านก็ให้เรารู้จักมันเสีย แยกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออก สรุปเป็นสุขทุกข์บ้าง สุขเกิดขึ้นมาก็เป็นสุขเวทนา ทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็เรียกทุกขเวทนา เรื่องสุขกับทุกข์ ท่านก็จัดไว้เพื่อให้แยกมันออกจากจิต จิตก็คือผู้รู้ เวทนานั้นก็คืออาการที่มันสุขหรือทุกข์ ชอบใจไม่ชอบใจ เป็นต้น เมื่อจิตของเราเข้าไปเสวยในอาการเหล่านั้นเรียกว่า จิตของเราเข้าไปยึดหรือหมายมั่น หรือสำคัญมั่นหมายในความสุขนั้น ในความทุกข์นั้นนั่นเอง การที่เราเข้าไปหมายมั่นนั้นก็คือเรื่องของจิต อาการที่มันสุขหรือทุกข์นั้น คืออาการของเวทนา ที่เป็นความรู้นั้นเรียกว่าจิตของเรา ที่ชื่อว่าสุขหรือทุกข์นั้นมันเป็นเวทนา ถ้ามันสุขก็เรียกว่าสุขเวทนา ถ้ามันทุกข์ก็เรียกว่าทุกขเวทนา

ถ้าปกติของจิตเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเกิดเวทนาเข้ามา ก็เกิดสุขทุกข์อย่างนี้ ถ้าเรามีสติอยู่ก็จะรู้ว่าอันนี้เรียกว่าสุข ที่เป็นสุขนั้นมันก็สุขอยู่ แต่จิตรู้ว่าสุขนั้นไม่เที่ยง มันก็ไม่ไปหยิบเอาสุขอันนั้น สุขนั้นมีอยู่ที่ไหน มีอยู่ แต่มันอยู่นอกจิต ไม่มีฝังอยู่ในดวงจิต แต่ก็รู้ได้ชัดเจน หรือเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา ถ้ามันแยกเวทนาได้ มันไม่รู้จักทุกข์หรือ? รู้ มันรู้จักทุกข์ แต่ว่าจิตมันก็เป็นจิตเวทนา มันก็เป็นเวทนา จิตนั้นจะไม่ไปยึดทุกข์มาแบกไว้ว่าทุกข์ ว่านี้มันเป็นทุกข์ นี่ก็เพราะเราไม่ไปยึดให้เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมาย

คำที่กล่าวว่าพระพุทธองค์และพระอริยเจ้าของเราท่านตัดกิเลสแล้ว ท่านฆ่ากิเลสแล้วนี้ ไม่ใช่ท่านไปฆ่ากิเลสหรอก ถ้าท่านฆ่ากิเลสหมดแล้ว เราก็คงไม่มีกิเลสน่ะสิ เพราะท่านฆ่าไปหมดแล้ว ความจริงท่านไม่ได้ฆ่ามัน แต่ท่านรู้แล้ว ท่านก็ปล่อยมันไปตามเรื่องของมัน ใครโง่ มันก็ไปจับเอาคนนั้นแหละ ท่านรู้เฉพาะใจของท่านว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นพิษ ท่านก็เขี่ยมันออกไป สิ่งที่ทำให้ท่านเกิดทุกข์ ท่านก็เขี่ยมันออกไป ไม่ได้ฆ่ามันหรอก คนที่ไม่รู้ว่าท่านเขี่ยออก กลับเห็นว่าดีก็ไปตะครุบเอา เออ... อันนี้ดีนี่ ก็ตะครุบเอา ความเป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านทิ้ง อย่างสุขยังงี้ท่านก็เขี่ยออก เราก็เห็นว่าดี ก็ตะครุบเอาเลย จับใส่ย่ามไปเลยว่าของดีของเรา ความเป็นจริงนั้นท่านรู้เท่าทัน เมื่อสุขเกิดขึ้นมาท่านก็รู้ว่ามันเป็นสุข แต่ท่านไม่มีสุข ท่านก็รู้อยู่ว่าอันนี้มันเป็นสุข แต่ท่านไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นของเขา ว่าเป็นของเราทั้งนั้น อย่างนี้ท่านก็ปล่อยมันไป ทุกอย่างก็เหมือนกัน

พระพุทธองค์ท่านทรงรู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นโทษ สุขทุกข์จึงมีราคาเท่ากัน ดังนั้นเมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้นท่านจึงปล่อยวางไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีราคาเสมอเท่ากันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจึงเป็นสัมมาปฏิปทา เห็นสิ่งทั้งสองนี้มีทุกข์โทษเสมอกัน มีคุณประโยชน์เสมอกันทั้งนั้น และสิ่งทั้งสองนี้ก็เป็นของที่ไม่แน่นอน ตกอยู่ในลักษณะของธรรมะว่าไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เกิดแล้วดับไปทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เมื่อท่านเห็นเช่นนี้สัมมาทิฐิก็เกิดขึ้นมา เป็นสัมมามรรค จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็ตาม หรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตนั้นจะเกิดขึ้นมาก็ตาม ท่านก็รู้ว่าอันนี้เป็นสุขอันนี้เป็นทุกข์เสมอเลยทีเดียว ท่านไม่ได้ยึด

การปฏิบัติภาวนานี้เป็นของสำคัญ รู้เฉย ๆ ไม่พอหรอก รู้เกิดจากการปฏิบัติที่จิตสงบ กับรู้ที่เราเรียนมานั้น มันไกลกันอยู่มากทีเดียว มันไกลกันมาก รู้ในการศึกษาเล่าเรียนนั้นมันไม่ใช่จิตของเรารู้ รู้แล้วมันตะครุบไว้ เก็บไว้ทำไม? เก็บไว้เพื่อให้มันเสีย เสียแล้วก็ร้องไห้ ถ้าเรารู้แล้วก็มีการปล่อยวาง รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ลืมตัว เมื่อถึงคราวทุกข์เจ็บไข้มา เราก็ไม่หลง บางคนคิดว่า เออ...ปีนี้ฉันเป็นไข้ตลอดปีนะ ไม่ได้ภาวนาเลย นี้คือคำพูดของคนที่โง่ที่สุดเลย คนเป็นไข้คนจะตายนี้มันควรจะรีบภาวนายิ่งขึ้น อันนี้ยิ่งไปพูดว่าเราไม่มีเวลาภาวนาเสียแล้ว ความเจ็บมันก็เกิดขึ้นมา ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา ความไม่ไว้ใจในสังขารเหล่านั้นมันก็มีมาแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรายังไม่ได้ภาวนา พระพุทธองค์ท่านไม่ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่านั่นแหละมันกำลังถูกที่ที่เราปฏิบัติละ จวนจะเจ็บจะไข้จะตายยิ่งเร่งยิ่งรู้ยิ่งเห็นสัจธรรม มันเกิดเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเราไปคิดเช่นนั้น มันก็ลำบากนะ

บางคนก็คิดว่าไม่มีโอกาส มีแต่การงานทั้งนั้น ไม่มีโอกาสที่จะภาวนา เคยมีอาจารย์หลายคนมาที่นี่ อาตมาถามว่าทำอะไร เขาตอบว่าสอนเด็ก มีงานมากสารพัดอย่าง วุ่น ไม่มีเวลาจะภาวนา อาตมาถามว่าเมื่อสอนเด็กนักเรียนน่ะ คุณมีเวลาหายใจไหม? มีครับ อ้าว...ทำไมมีเวลาหายใจล่ะ? ที่ว่าสอนเด็กอยู่งานมันยุ่ง นี่คุณห่างไปไกลไป ความเป็นจริงเรื่องปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของจิต เรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปวิ่งไปเต้นอะไรมากมาย เป็นเรื่องความรู้สึกเท่านั้น ลมหายใจนั้นเราทำงานอยู่เราก็หายใจเรื่อยไป เราพยายามแต่เพียงให้มีสติให้รู้อยู่เท่านั้น พยายามเรื่อย ๆ เข้าไป ให้เห็นชัดเข้าไป การภาวนาก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าเรามีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ จะทำงานอะไรอยู่ก็ตามเถอะ มันจะยิ่งทำให้การทำงานเหล่านั้นทำอย่างรู้ผิดชอบอยู่เสมอ นี้ให้คุณเข้าใจเสียใหม่ อาตมาบอกเขาอย่างนี้ เวลาที่จะภาวนานั้นมันเยอะ คุณเข้าไม่ถึงเฉย ๆ หรอก นอนอยู่ก็หายใจได้ ใช่ไหม? อยู่ที่ไหนก็หายใจได้ ทำไมมันจึงมีเวลาล่ะ ถ้าคุณคิดอย่างนี้ชีวิตของคุณก็มีราคาเท่ากับลมหายใจ แล้วมันจะอยู่ที่ไหนก็มีเวลา ความรู้สึกนึกคิดมันเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่เรื่องของรูปธรรม ดังนั้นเพียงแต่ให้มีสติอย่างเดียวเท่านั้นก็จะรู้จักความรับผิดชอบอยู่ตลอดกาล ทั้งการยืน เดิน นั่ง นอนเหล่านั้น เวลามันเยอะไป เราไม่ฉลาดในเรื่องเวลาของเราเอง อันนี้ให้คุณเอาไปพิจารณาดู มันเป็นอย่างนี้

ถ้าเรารู้จิตเป็นจิต เวทนาเป็นเวทนาเท่านี้ มันก็แยกกันเป็นคนละอย่างคนละตอน จิตมันก็พ้นได้สบาย อารมณ์มันก็เป็นอย่างนั้นของมันเอง เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น มันเกิดแล้วก็ดับไป ดับแล้วก็เกิดแล้วก็ดับ มันก็เป็นอยู่เท่านั้น เรารู้แล้วเราก็ปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมันอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้รู้เห็นตามที่เป็นจริง อันนี้ปัญหามันก็จะจบลงที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นแม้เรา จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ขอให้มีการประพฤติปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะ อยู่ตลอดกาลเวลา เรื่องที่ถึงคราวนั่งสมาธิเราก็ทำไป ให้เข้าใจว่าการทำสมาธิก็เพื่อให้เกิดความสงบ ความสงบนั้นมันจะเพาะกำลังให้เกิดเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิเพื่อจะตามไปเล่นอะไรมากมายหรอก ดังนั้นการทำสมาธิก็ต้องให้มันสม่ำเสมอ การทำวิปัสสนาก็คือทำสมาธินั่นเองแหละ บางแห่งเขาก็ว่า บัดนี้เราทำสมาธิ ต่อไปเราจึงจะทำวิปัสสนา บัดนี้เราทำสมถะเป็นต้น อย่าให้มันห่างกันอย่างนั้นสิ สมถะนี้แหละคือบ่อเกิดของปัญญา ปัญญานี้ก็คือผลของสมถะ จะไปถือว่าบัดนี้เราทำสมถะ ต่อไปเราจะทำวิปัสสนาอย่างนั้น มันแยกกันไม่ได้หรอก มันจะแยกกันได้ก็แต่คำพูด เหมือนกับมีดเล่มหนึ่งนะ คมมันก็อยู่ข้างหนึ่ง สันมันก็อยู่อีกข้างหนึ่งนั่นแหละ มันแยกกันไม่ได้หรอก ถ้าเราจับด้ามมันขึ้นมาอันเดียวเท่านั้น มันก็ติดมาทั้งคมทั้งสันนั่นแหละ

ความสงบนั้นมันก็ให้เกิดปัญญาในตรงนั้น ให้เข้าใจว่ามันเป็นท่อนฟืนดุ้นเดียวกันนั่นแหละ มันจะมีมาจากไหนล่ะ? มันไม่มีพ่อแม่เกิดมานะ ธรรมะจะเกิดขึ้นที่ไหน? ศีลก็คือพ่อแม่ของธรรมะ นี้คือสงบ หมายความว่า ความผิดทางกายทางใจมันไม่มี เมื่อไม่มีมันก็เป็นศีล และมันก็ไม่เดือดร้อน เพราะมันไม่มีความผิด ทีนี้เมื่อไม่เดือดร้อนความสงบระงับมันก็เกิดขึ้นมานี้ คือจิตเกิดความสงบขึ้นมาแล้วในตัวของมันเอง อันนี้ท่านจึงว่าศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นทางของพระอริยเจ้าจะดำเนินเข้าไปสู่พระนิพพาน มันเป็นอันเดียวกัน

ถ้าพูดให้สั้นเข้ามา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นอันเดียวกัน ศีลก็คือสมาธิ สมาธิก็คือศีล สมาธิก็คือปัญญา ปัญญาก็คือสมาธิก็เหมือนมะม่วงใบเดียวกันนั่นแหละ เมื่อมันเป็นดอกขึ้นมามันก็ดอกมะม่วง เมื่อเป็นลูกเล็ก ๆ ก็เรียกว่าผลมะม่วง เมื่อมันโตขึ้นมาก็เรียกว่ามะม่วงลูกโต มันโตขึ้นไปอีกก็เป็นมะม่วงห่าม เมื่อมันสุกก็คือมะม่วงสุก มันก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ มันเปลี่ยน ๆ ๆ ๆ ไป มันจะโต มันก็โตไปจากเล็ก เมื่อมันเล็กมันก็เล็กไปหาโต จะว่ามะม่วงคนละใบก็ได้ จะว่าใบเดียวกันก็ถูก

ศีลก็ดี ปัญญาก็ดี มันก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างนั้น ผลที่สุดแล้วก็ต้องเป็นมรรคเดินทางเข้าไปสู่กระแสของพระนิพพาน มะม่วงตั้งแต่เป็นดอกมาเป็นต้น มันก็ดำเนินไปถึงที่มันสุกก็พอแล้ว นี่ให้เราเห็นเช่นนี้ ถ้าเราเห็นเช่นนี้เราก็ไม่ว่ามัน เขาจะเรียกให้เป็นอะไรก็ช่างมัน เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะแก่จะเป็นอะไรไปก็ตามพิจารณาไปเถอะบางคนก็ไม่อยากจะแก่ แก่แล้วก็น้อยใจ งั้นก็อย่ากินมะม่วงสุกสิ จะอยากให้มะม่วงสุกทำไมล่ะ? เมื่อมันสุกไม่ทัน เราก็เอาไปบ่มไม่ใช่หรือ? ถึงเราจะแก่ก็ไม่ต้องบ่นน้อยใจ บางคนก็ร้องไห้ กลัวว่ามันจะแก่ตาย ยังงั้นมะม่วงสุกก็ไม่ต้องกินสิ กินดอกมะม่วงดีกว่านะ นี้แหละถ้าเราคิดอย่างนี้ มันก็เห็นธรรมะกระจ่างออกมา เราก็สบาย มีแต่จะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติไปเท่านั้น

ทำบุญบำบัดป่วย


บุญคืออะไร ..ท่านพระครูสุจินต์วรคุณ เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย เขต 1 จังหวัดเชียงราย จึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า บุญคือความปลอดโปร่งโล่งสบายของใจ และความปลื้มปีติอิ่มเต็มในความรู้สึก โดยตามหลักพุทธศาสนา บุญสามารถเกิดขึ้นได้สามทางด้วยกันดังนี้ คือ

การให้ทาน การให้ (ให้โอกาส ทุนทรัพย์ สิ่งของ กำลังใจ ความช่วยเหลือ ฯลฯ) ด้วยความตั้งใจบริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ให้ได้บุญ ยิ่งถ้าทั้งผู้รับและผู้ให้มีใจบริสุทธิ์ทั้งคู่ ก็จะยิ่งได้อานิสงส์

การถือศีล ศีลเป็นเหมือนกฎหมายที่คอยควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา และใจของเราให้อยู่ในกรอบเกณฑ์แห่งความดี การรักษาศีลทั้งห้าข้อให้บริษสุทธิ์ สามารถทำให้ร่างกายอิ่มเอิบเป็นสุข รู้สึกจิตใจสะอาด และได้บุญ

การเจริญภาวนา การทำใจให้รู้เท่าทันปัจจุบันขณะ มีสติสมาธิในการคิดตรึกตรองกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างรอบคอบและไม่ประมาท (วิธีภาวนาให้เกิดความเจริญงอกงามทางใจตามหลักพุททธศาสนามี 3 เรื่องด้วยกันคือ การศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆ ที่ส่งเสริมคามฉลาดของตน การทำงานที่สุจริตด้วยเหตุผลอย่างตั้งใจอุทิศตนเต็มที่ และการรู้จักหาวิธีสงบใจไม่ให้ฟุ้งซ่านเพื่อลดความยึดมั่นถือมั่นใจตัว) ก็ทำให้ผู้ปฎิบัติได้บุญเช่นเดียวกัน


ในทางศาสนา "บุญ" เป็นเหมือนยาทิพท์ที่แม้จะไม่ช่วยรักษาอาการของโรคทางกายต่างๆให้หายได้ทันทันที แต่ก็สามารถบำบัดความป่วยไข้ได้ แล้วในทางการแพทย์สมัยปัจจุบันล่ะ คุณหมอจะว่าอย่างไร


บุญช่วยกาย

แพทย์หญิงอมรา มลิลา คุณหมอนักปฎิบัติธรรมจากชมรมพุทธธรรมจุฬา กรุณาตอบคำถามชวนสงสัยของพิมพ์พลอยให้ฟังว่า การทำบุญทั้งสามประเภทคือ การให้ทาน การถือศีล การเจริญภาวนา มีส่วนช่วยให้โรคภัยไข้เจ็บที่ผู้ป่วยเผชิญอยู่มีอาการดีขึ้นจริง กล่าวคือ

"เดี๋ยวนี้มีองค์ความรู้ที่เรียกว่าโรคนามรูป คือใจที่เครียดเป็นกังวลจะทำให้ร่างกายของเราวิปริตแปรปรวน โรคชนิดนี้รักษายังไงก็ไม่หายจะมีแต่ทรงกับทรุด แต่พอได้รักษาด้วยการทำบุญ จิตใจจะเบิกบาน ได้ปิติอิ่มเอิบ อาการเจ็บป่วยจะดีขึ้น ซึ่งตรงนี้เองที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าหายป่วยด้วยปาฎิหาริย์ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เขาหายเพราะใจสงบหรือเรียกง่ายๆว่า ทำบุญนั่นเอง เพราะ
ในขณะที่เราทำบุญ เช่น การให้ทาน เป็นต้น ใจของเราจะเกิดความเมตตา มีความสบายใจ หรือที่เราเรียกว่าเกิดความปิติอิ่มเอมใจขึ้นในทันที ทำให้สมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) หลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข หรือเอ็นโดรฟิน (Endorphin) ออกมา ส่งผลให้หลอดเลือดแดงขยายตัวได้ดีขึ้น ปริมาณแล็คเตสในเลือดลดต่ำลง (ทำให้ความวิตกกังวลน้อยลง) ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานช้าลง"

"ที่สำคัญยังทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิชีวิต ซึ่งทำหน้าที่คอยป้องกันและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายเช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อมะเร็ง เป็นต้น มีการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกาย (Immune system) ของเราแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้ความเจ็บปวดทางกายลดน้อยลง และหายจากโรคร้ายได้เร็วขึ้น"

เช่นเดียวกับการทำบุญด้วย การถือศีล นั่งสมาธิเจริญวิปัสสนา ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพกาย เช่นเดียวกัน ดังที่คุณหมออมราได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า

"จากการศึกษาระบบการเปลี่ยนแปลงของระดับสารเคมีในร่างกายพบว่า การนั่งสมาธิช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง จากประมาณ 75 - 100 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 65 ครั้ง/นาทีหรือน้อยกว่านั้น การหายใจช้าลงจะทำให้การหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) (ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการกระตุ้นไกลโคเจนในตับให้สลายตัวเป็นกลูโคส ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นทำให้ กระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกายเพิ่มขึ้นมากขึ้น) ในร่างกายของเราลดลง"

"ส่งผลให้คลื่นสมองมีการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ เกิดเป็นความนิ่งสงบ ความเครียดความดันโลหิตลดลง อีกทั้งยังทำให้ผนังของถุงลมและหลอดเลือดฝอยในปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ดีขึ้น ร่างกายมีเวลาในการใช้ออกซิเจนเพื่อเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากกว่าภาวะที่เราหายใจปกติ และช่วยให้กล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อลายซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของจิตใจ และใช้ในการขยับเคลื่อนไหวกระดูกในร่างกาย เกิดการคลายตัว ทำให้หายเกร็ง"

คุณหมออมรายังกล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้คนที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหืด โรคเครียด หรือแม้กระทั่งมะเร็ง ควรทำบุญเพราะจะสามารถทำให้อาการของโรคทุเลาลงได้


บุญช่วยใจ

สอดคล้องกับที่ท่านพระครูสุจินต์วรคุณ บอกไว้เช่นกันว่า "ถ้าพูดถึงความป่วยทางใจ จะรุนแรงกว่าป่วยกาย เพราะถ้าใจเราป่วยก็จะส่งผลมาถึงกายได้ เช่น คนที่ร่างกายแข็งแรงดี แต่ถ้าไม่สบายใจก็จะรู้สึกว่าตัวเองป่วยไม่อยากกินข้าวดื่มน้ำ ซึ่งที่สุดก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำบุญจึงรู้สึกสบาย เพราะเวลาที่เราทำบุญก็จะส่งผลให้จิตดี แล้วก็เหมือนกายดีไปด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไปไปทำบุญแล้วสุขภาพร่างกายเราถึงดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บทุเลา ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าเราทำบุญแล้วความป่วยไข้ที่เป็นอยู่จะหายไปนะ มันอาจจะยังอยู่ แต่อาจจะทำให้เราเจ็บปวดน้อยลง"

นอกจากนี้ ท่านพระครูสุจินต์วรคุณยังบอกอีกว่า หากอยากให้อานิสงส์ของบุญส่งผลสูงสุด ควรทำบุญให้ครบทั้งสามอย่างดังกล่าว เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วย เพราะจะยิ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทางใจ อันจะนำไปสู่กายที่เข้มแข็งได้ในเร็ววัน

เทคนิค "อร่อย เอ็นจอยอารมณ์"


หลายคนอาจคุ้นเคยกับกิจกรรมการระบายอารมณ์ไม่ดีต่างๆ ด้วยการหาอะไรรับประทาน ทั้งๆ ทีรู้ดีว่าความอ้วนคือผลพลอยได้ที่จะตามมา แต่เมื่อวิธีนี้ยังคงเป็นหนทางสร้างความสุขสำหรับใครๆ การเลือกทานของดีมีประโยชน์เพื่อการผ่อนคลายอารมณ์อย่างฉลาด จึงเหมาะกับทุกคนที่ต้องการเฟิร์มหุ่นสวย พร้อมหัวใจแจ่มใสไว้ให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ

ผ่อนคลาย “ความเครียด”
นม การดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้วก่อนนอนช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น เพราะแคลเซียมในนมช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
ส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี จากงานวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ทานวิตามินซี 3,000 มิลลิกรัมจะรู้สึกลดความเครียดลง รวมถึงความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนความเครียดก็กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น
กล้วย เวลาเครียด อัตราการเผาผลาญในร่างกายของเราจะสูงขึ้น และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วย จะช่วยให้เกิดความสมดุล และยังช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ
พริกขี้หนู รสเผ็ดของพริก ช่วยให้หายเครียดได้เพราะในพริกมีสาร “แคปไซซิน” ที่มีผลทำให้สมองหลั่งสาร “เอนโดฟิน” หรือสารแห่งความสุขออกมา
ผักโขม มีแม็กนีเซียมช่วยผ่อนคลาย ความว้าวุ่นใจ เหมาะสำหรับคนแอคทีฟที่อาจเข้าข่ายไฮเปอร์ ทานผักโขมสักนิดช่วยลดความหงุดหงิดได้
ปลาแซลมอน กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาแซลมอน ช่วยลดระดับฮอร์โมนเครียดที่ชื่อว่า “คอร์ติซอล” ที่เป็นต้นเหตุสำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังหาทานได้จากไข่ นม โยเกิร์ต และถั่วเหลืองอีกด้วย
ถั่วอัลมอนด์ พิสตาชิโอ และวอลนัต อัลมอนด์ มีวิตามินบี ช่วยผ่อนคลายร่างกายในยามโศกเศร้า พิสตาชิโอ อุดมด้วยสารอูทีนและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยผลวิจัยว่าหากรับประทาน 3 มื้อต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและความตึงเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ เช่นเดียวกับการทานวอลนัต วันละหนึ่งกำมือ ที่มีสรรพคุณและให้ผลดังกล่าวเช่นกัน


ลดอาการ “ซึมเศร้า”
แป้งรสไม่หวาน ขนมปัง และข้าวทุกชนิ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีส่วนกระตุ้นให้สมองหลั่งสารซิโรโทนิน ช่วยให้จิตใจสงบและลดอาการซึมเศร้า
ปวยเล้ง ผักอารมณ์ดี อุดมด้วย “กรดโฟลิก” ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ การที่ร่างกายขาดกรดโฟลิก จะนำไปสู่การลดการหลั่งฮอร์โมนซิโรโทนิน ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า
กระเทียม สมุนไพรไทยที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ “เซเรเนียมไ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น

ปรับอารมณ์ “เบื่อ เซ็ง เฉื่อย”
ถั่วเหลือง อุดมด้วยสารซิโรโทนิน ช่วยเพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และสารไดโทโรซิน ที่ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ
ปลาทูน่า ช่วยเพิ่มความกระปรี้ประเปร่าและทำให้มีสมาธิภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากรับประทานเช่นเดียวกับการทานพาสต้าผสมซอสมะเขือเทศ

เลิก “เหงา” หยุด “วิตกกังวล”
ช็อคโกแลต ช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนซิโรโทนิน และสารเอ็นโดฟินในร่างกาย ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีและยังช่วยลดความวิตกกังวล เพราะอุดมด้วยน้ำตาลที่มีความสัมพันธ์กันกับการเพิ่มขึ้นของสารซิโรโทนินและ เอ็นโดรฟิน

จากนี้ไป ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์แบบไหนก็หาความสุขได้จากรับประทานอาหารของดีมีประโยชน์ อย่างสบายอารมณ์แล้วจ้า แต่ความสุขจะอยู่กับเราได้ยั่งยืนที่สุด ก็ด้วยการปรับใจให้อยู่เย็น และเป็นสุขกับสิ่งที่มีและที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน