วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำไมดวงตาของชาวยุโรปเป็นสีฟ้า


มนุษย์ทุก เผ่าพันธ์ในโลกล้วนมีลูกนัยน์ตาเป็นสีดำ แต่ชาวยุโรปลูก นัยน์ตาเป็นสีฟ้า ปกติร่างกายคนเรามีสารสีดำสะสมอยู่จำนวนมากก็จะทำให้ เยื่อหุ้มรอบๆ ลูกนัยน์ตาเป็นสีดำเช่นชาวเอเชีย

แต่ถ้ามีสารสีดำ สะสมอยู่น้อยเยื่อหุ้มรอบๆ ลูกนัยน์ตาก็จะสะท้อนออกมาให้เป็นสีฟ้าอย่างเช่น ชาวยุโรปเป็นต้น


ที่ มา geocities

ล้อเกวียน - รอยเกวียน


พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ. อุบลราชธานี

วัฏฏะก็เหมือนกับล้อเกวียน


โคลากเกวียนไป ล้อเกวียนมันไม่ยาว
ถ้าโคตัว นั้นมันลากไปไม่หยุด รอยเกวียนมันก็ทับรอยโคไปไม่หยุด

มันกลมแต่ว่า มันยาว
จะว่ามันยาวก็ได้ แต่ว่ามันกลม

เราเห็นความกลมเช่นนี้
ก็ ไม่เห็นความยาว ในวงเกวียนอันนั้น

เมื่อโคลากไปไม่หยุด ล้อเกวียนก็หมุนไปไม่หยุด

อีกวันหนึ่ง โคมันหยุด มันเหนื่อย สลัดแอกออกไปเสีย
โคไปโค เกวียนไปเกวียน
ล้อเกวียนก็หยุดเอง ทิ้งอยู่นาน
พอนานไปมันก็เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ถมทับเป็นดินหญ้า อย่างเดิม

คนทำกรรมก็เหมือน กัน มันไม่จบเรื่อง
คนพูดความจริงก็ไม่จบ คนมิจฉาทิฏฐิก็ไม่จบ.....




ขอบคุณบทความจาก dhammajak
ที่มา
เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต
รวบรวมคำอุปมาของ หลวงพ่อชา สุภัทโท

ทำบุญอุทิศให้คนเป็น ..หลวงปู่จันทา ถาวโร


หลวง ปู่ยังเล่าไว้อีกว่า หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่สาวเป็นทหารเสือพรานไปรบที่ เวียดนามเหนือ แล้วถูกเขาจับขังไว้ ๔ ปีนะ ทุกข์ยากลำบากแสนที่จะตาย ก็นึกว่าจะไม่ได้กลับเมืองไทย ทีนี้ พี่สาวกับพี่เขย เขาก็มานิมนต์พาไปทำบุญหาหลานสงสัยจะตายไปแล้ว มาถึงก็พาเขาทำเลย อย่าฆ่าวัว ฆ่าควายนะ ถ้าต้องการก็ไปหาเนื้อปลาอาหารที่ตลาดที่เขาทำไว้แล้ ว จึงจะอุทิศถึง นั่นแหละก็เลยทำ ทำเสร็จก็อุทิศให้ว่า

“ขอบุญจงไป ถึงนายแขก เขาไปอยู่เวียดนามเหนือนั้นจะตายหรือยัง ถึงตายแล้วก็ดี หรือยังอยู่ก็ดี ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ถ้ายังไม่ตายขอให้กลับคืนมาเมืองไทย”

ไม่ นานเขาก็มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันนะ รัฐบาลเขาประกาศว่า ใครมีลูกมีหลาน ก็ไปรอรับเอาที่ขอนแก่น หรือโคราชนะ เขาจะขึ้นเครื่องบินมาลงที่นั่น นั่นแหละพี่น้องเขาก็ไปรอรับ โอ๋...ผอมดำเหมือนผี กลับมาแล้ว เขาก็ซักไซ้ไต่ถามดูว่า

“เป็นอย่างไรเล่า ทำบุญให้ได้รับไหม ?”

“โอ้...เดือน ๓ เพ็ญ นอนหลับฝันไปนะ มีแต่ข้าวต้มขนมเต็มอยู่ กินจนเต็มอิ่มนะ ตื่นขึ้นมาก็อิ่มอีกนะ โอ๊...อาจจะแม่นพ่อแม่เขาทำบุญมาให้นะ”

นั่นแหละ ไม่นานก็พ้นโทษ รัฐบาลทั้ง ๒ ก็แลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน กลับมาแล้วก็ดีใจ นั่นแหละผลของบุญดีอย่างนั้น


คัดลอกมาจาก :: หนังสือ 80 ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร

สิ่งที่ควรมีตลอดชีวิต


( 1 ) เอาใจเขามาใส่ใจเรา
( 2 ) เชื่อมั่นตัวเอง
( 3 ) อย่ามองคนที่หน้าตา
( 4 ) กล้าคิด พูด และทำ
( 5 ) เมื่อมีเรื่องจงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
( 6 ) และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
( 7 ) อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
( 8 ) ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
( 9 ) เปิดใจให้กว้าง
( 10 ) มองการณ์ไกล
( 11 ) วางแผนอนาคต
( 12 ) อย่าโทษตัวเอง
( 13 ) มีความรับผิดชอบ
( 14 ) ตอบแทนเมื่อได้รับ
( 15 ) ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้หรือไม่มี
( 16 ) อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
( 17 ) คิดถึงส่วนรวมให้มาก
( 18 ) ดูแลตัวเองให้เป็น
( 19 ) รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
( 20 ) อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
( 21 ) อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว
( 22 ) จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
( 23 ) ที่ทำอยู่มีผลดี / เสีย มีประโยชน์ / ไร้ประโยชน์
( 24 ) อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
( 25 ) ให้อภัยแก่ตนเอง และ ผู้อื่น
( 26 ) อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
( 27 ) คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
( 28 ) ได้หน้าอย่าลืมหลัง
( 29 ) คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึกที่เสียไปแล้ว แต่จงวางแผนที่จะดูแลไม่ให้มันเสีย
( 30 ) อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
( 31 ) อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
( 32 ) รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่
( 33 ) ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
( 34 ) อย่าเห็นแก่ตัว
( 35 ) อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
( 36 ) อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้ หรือ เปลี่ยนแปลงมันได้
( 37 ) กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
( 38 ) เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้
( 39 ) อย่าคิดว่าเขาไม่โทรมา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทรหาเขาเช่นกัน
( 40 ) จงเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ
( 41 ) ดูแลบิดา มารดาให้ดี คุณมีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มี
( 42 ) อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมาแต่คุณสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
( 43 ) คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับได้ ดังนั้นคิดก่อนพูด
( 44 ) อย่าทุ่มเทกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์
( 45 ) คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
( 46 ) ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
( 47 ) หาจุดหมายให้กับชีวิต
( 48 ) เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
( 49 ) ถ้างง เขียนหนังสือได้แต่เขียนให้เป็นภาษา
( 50 ) วันๆ หนึ่งคุณทำอะไรไปบ้างที่ไม่ใช่กิน นอน เล่น
( 51 ) ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตาย แล้วค่อยช่วยหรอกนะ
( 52 ) เพื่อนคุณก็เช่นกันอย่าปล่อยให้เขา เครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
( 53 ) ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
( 54 ) คุณซื้อนาฬิกาได้แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้
( 55 ) ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า ? ถ้ามีกลับไปหาซะ
( 56 ) ตอนนี้คุณคอยใครอยู่รึเปล่า ? จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ? ทำอะไรซะบ้าง
( 57 ) อย่ากล่าวคำว่าขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามขอโทษ
( 58 ) ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร ? คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ ?
( 59 ) ตอนนี้คุณสบายอยู่ ? แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ ? หมดประโยชน์ ?
( 60 ) ไม่ใช่ ? แล้วไง ?? ต้องให้บอกต่อมั้ย ???
( 61 ) ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของผู้อื่น
( 62 ) ตอนที่คุณกำลังอ่านประโยคนี้ จงรู้ไว้ซะว่าคุณเป็นมนุษย์และยังมีชีวิตอยู่
( 63 ) ใครเป็นคนทำให้คุณมีชีวิต ? ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง ?
( 64 ) ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกว่ารักเขาก็เพียงพอแล้ว
( 65 ) อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
( 66 ) ไม่มีกฎหมายใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
( 67 ) ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีไหม ? หรือว่าดูที่ราคาขนม ?
( 68 ) เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
( 69 ) อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีผู้เขียนอีกคน
( 70 ) อย่าคิดว่าตนเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด
( 71 ) อย่าพูดคำว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้าคุณก็ไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
( 72 ) เหนื่อยแล้วพักซะเถอะ อย่าฝืนอ่านต่อเลย คนเขียนดีใจมากแล้วที่คุณอ่านถึงตรงนี้
( 73 ) อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
( 74 ) ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณ ?
(75) คุณมองเพชรมองที่ความงามภายใน หรือป้ายราคาข้างนอก?
( 76 ) ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
( 77 ) มีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือลองค้นคว้าดูจะรู้
( 78 ) ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง
( 79 ) การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
( 80 ) ทำยังไง ?? ต้องขโมยขึ้นบ้านก่อนถึงไปดูแลรั้วบ้านใช่มั้ย ??
(81) ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี
(82) จะยกตัวอย่างให้ สมมุติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่าคุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง??
(83) อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำรึยัง? ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ?
(84) คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น? คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก็ไม่ฟื้นหรือได้ยินหรอกนะ ?
(85) ตัวคุณมีคุณค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า??
(86) หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากที่คุณไม่รู้?
(87) ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า? หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิตย์
( 88 ) การใส่เสื้อสวยๆ ไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
( 89 ) หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
( 90 ) ลองทำอะไรบ้าๆดูบ้างก็ดี อย่ายึดติดกับอะไรนักเลย
( 91 ) ผู้เขียนไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รู้อะไรไว้บ้างก็ดี
( 92 ) สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือ เรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี
( 93 ) อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี
( 94 ) อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
( 95 ) ยาเสพย์ติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
( 96 ) อย่าทำตามเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากะร่างกายเราคนละร่างกายกัน แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน
( 97 ) ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย ผู้หญิงก็คือผู้หญิง
( 98 ) บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
( 99 ) ไม่มีมิตรถาวร และ ศัตรูที่แท้จริง
( 100 ) จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

จนกว่าบุญจะเห็นเรา


ผมเคยเห็นคำๆนี้ที่ไหนน๊อ อาจจะเป็นในเวบพลังจิต หรือที่ไหนก็ได้ จำไม่ได้แล้ว
แต่ที่ผ่านมา ผมไม่ได้สะดุดใจคำนี้ จนกระทั่งไม่กี่วันนี้ นึกขึ้นมาได้เอง มีความรู้สึกเต็มหัวใจว่า เอ้อ คำว่า

"จนกว่าบุญจะเห็นเรา" เนี่ย มันช่างไพเราะเสนาะหูเสียนี่กระไร

ตราบใด ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารนั้น คำ ว่า "บุญ" เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะบุญเป็นเสบียง เพราะบุญเป็นเชื้อเพลิง ที่เราจำเป็นต้องนำติดตัวไปในวัฏสงสารอันยาวไกลนี้

แต่การที่ เราทำบุญนั้น บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่า เอ้อ ทำไปก็เท่านั้น ทำดีไม่เห็นได้ดี หรือเมื่อไหร่เราจะได้รับผลดีเสียที นั่นเป็นเพราะเราเกิดความไม่เชื่อมั่น เราเกิดความท้อแท้ เราเกิดความสิ้นหวัง เรากำลังแพ้ใจตัวเอง เรากำลังปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ และเรากำลังแพ้พญามาร.....

การทำบุญนั้น อย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้ผลบุญอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปคาดหวังว่าบุญจะบังเกิดผลเวลานั้นเวลานี้ เพราะมิฉะนั้นเราจะตั้งหน้าตั้งตารอ เมื่อไม่สมหวัง เราก็จะเกิดอาการท้อ

จง ทำบุญเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร เป็นสิ่งที่ทำให้เราลดละกิเลสในตัวเอง นั่นแหละเป็นสิ่งที่สุดยอดแห่งการทำบุญ

และอย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้ผลบุญอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะได้ผลบุญเมื่อนั้นเมื่อนี้

แต่จงทำบุญไปเรื่อยๆ ....

จนกว่า บุญจะเห็นเรา

และ แม้บุญจะเห็นเรา เราก็จะไม่หยุดยั้งการทำบุญ จนกว่าถึงขั้นที่เราอยู่เหนือบุญเหนือบาป

แต่ ณ ขณะนี้ จำไว้ว่า เราจะทำบุญ

● 10 วิธีแก้ง่วงตอนกลางวัน ●


เกือบจะทุกคนมีอาการง่วงตอนกลางวันจนเป็นเรื่อง ธรรมดาเหมือนเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิต

ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราที่จะง่วงกันได้ แต่มีบางคนที่ความง่วงนั้นเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ทำให้ การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก หรือไม่ก็หันไปพึ่งกาแฟกันไป อาการง่วงอย่างผิดธรรมดาเป็นอาการที่เราเรียกว่า hypersomnia ซึ่งทำให้เราง่วงและสามารถหลับได้ง่ายๆ ในทุกที่เลยทีเดียว

ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่าปัญหาการง่วงนอนตอนกลางวันเกินขีดจำกัดมักจะเกิด จากตอนกลางคืน โดยส่วนมากจะเป็นการนอน ไม่พอหรือการนอนตอนกลางคืนถูกรบกวน ทำให้คุณหลับได้ยากหรือหลับๆ ตื่นๆ เมื่อคุณไม่สามารถนอนหลับเป็นปกติได้ใน ตอนกลางคืน ก็จะทำให้คุณเป็นโรคนอนหลับยากจนฬฒนาไปถึงอาการง่วงนอนตอนกลางวัน เป็นผลกระทบทั้งด้านการทำงานและด้านจิตใจ

พฤติกรรมหลับยากนี้เองเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับการง่วงนอน ตอนกลางวัน ก่อนที่คุณจะไปหายานอนหลับมากินเพื่อให้หลับง่ายขึ้น หรือหันไปพึ่งกาแฟอย่างบ้าคลั่งในตอนกลางวัน เรามี 10 วิธีในการแก้ปัญหานี้ซึ่งจะช่วยคุณได้

1. นอนหลับให้เพียงพอ
แน่นอนว่าคำแนะนำข้อแรกมักเป็นสิ่งที่ เห็นได้ชัดอยู่แล้วนี่นา แต่ทว่าพวกเราในสังคมเมืองจำนวนมากไม่ได้ใช้เวลาในการ นอนอย่างมีคุณภาพ ในผู้ใหญ่ทั่วไปควรจะนอนเป็นจำนวน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่วัยรุ่นควรมีเวลานอนเพียงพอถึง 9 ชั่วโมง เลยทีเดียว ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นพัฒนาการนอนหลับในกลางคืนอย่างจริงจังให้สามารถนอนได้ ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคุณ สามารถใช้การออกกำลังกายในตอนเช้า หรือตอนเย็นเข้ามาช่วย และดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนจะสามารถช่วยคุณให้หลับสบายขึ้น อีกทั้งคุณไม่ควรอ่านหนังสือ หรือดูทีวีรับข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดอาการเครียด ตื่นเต้น หรือขุ่นมัว คุณควรทำจิตใจให้ผ่อนคลายที่สุดเพื่อทำให้สามารถหลับได้ง่ายขึ้น

2. เอาสิ่งรบกวนการนอนไปให้พ้นห้องนอนซะที
มีคำกล่าวไว้ว่าเตียงนอนมีไว้สำหรับนอน และมี sex ซึ่งเป็นเรื่องจริง คุณไม่ควรจะอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือเล่นวีดีโอเกมส์บนเตียงนอน หรือแม้แต่ใช้คอมพิวเตอร์บนเตียง เริ่มต้นสร้างวินัยในห้องนอนตอนนี้จะทำให้การพัฒนาการนอนของคุณเป็นไปได้ดี การได้ รับข้อมูลข่าวสารจากทีวี หรือการอ่านหนังสือ หรือแม้แต่เล่นวีดีโอเกมส์จะทำให้สภาวะทางอารมณ์ของคุณไม่พร้อมที่จะผ่อน คลาย ทำให้หลับได้ยาก

3. ตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำทุกวัน
คนส่วนมากที่มีปัญหาในการนอนหลับมักจะได้รับคำแนะนำให้เข้านอน และตื่นเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว รวมทั้ง การนอนและตื่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นกัน การตั้งเวลานอนและตื่นก็ยังเป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชีวิตคนเมือง ที่มีความเร่งรีบ มีงานด่วน มีงานล่วงเวลา มีรถติด และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตามหากคุณพยายามจัดเวลานอนที่ชัดเจน และหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขปัญหาที่จะทำให้ตารางเวลาการนอนของคุณ บกพร่องก็จะเป็นการดีสำหรับตัวคุณอย่างยิ่ง หากคุณสามารถนอนและตื่นเป็นประจำทุกวันได้สองถึงสามอาทิตย์ติดต่อกัน ร่างกายคุณจะปรับตัวเป็นความเคยชินเกิดขึ้น ทำให้การเข้านอนและตื่นนอนกลายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลานอนคุณจะง่วงทันที และเวลาตื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาปลุกอีกด้วย เพราะเมื่อคุณทำเป็นประจำแล้วร่างกายของคุณจะจำเวลาตื่นได้เองโดยอัตโนมัติ

4. ค่อยๆ ขยับเวลานอนให้ไวขึ้น
อีกวิธีนึงที่จะช่วยคุณได้คือลองพยายามเข้านอนให้ไวขึ้นอย่างน้อย 15 นาที และขยับให้ไวขึ้นแบบนี้ทุกๆ วันเป็นเวลาสี่วันจากนั้น ให้นอนเวลานั้นติดต่อกันไปอีกสองถึงสามอาทิตย์ตามข้อที่ 3 จะทำให้คุณหลับได้ง่ายขึ้น การทำแบบนี้จะเป็นการฝึกร่างกายให้ นอนได้ดีกว่าการพยายามนอนให้หลับในทันที หรือพยายามนอนเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงในคราวเดียว

5. ตั้งเวลาการกินอาหารที่แน่นอนทุกวัน
การกินอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นมื้อไหนก็ตามคุณควรมีเวลาที่ชัดเจนเพื่อให้ร่างกายปรับตัวในการ ย่อยอย่างเป็นระบบระเบียบ และเป็นเวลาซึ่งจะมีผลกระทบต่อการนอนตอนกลางคืนของคุณ นอกจากนี้คุณไม่ควรรับประทานอาหารหนักๆ ก่อนนอนโดยเด็ด ขาดเพราะจะทำให้ระบบในร่างกายทำงานหนักมาก และนอนไม่หลับกระสับกระส่าย คุณไม่ควรได้้รับอาหารหนักก่อนเข้านอน สองถึงสามชั่วโมง

ในแต่ละมื้ออาหาร คุณควรรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และดีต่อสุขภาพการทานอาหารเป็นมื้อๆ เป็นเรื่องเป็นราว ดีกว่าการกิน junk food แบบลวกๆ หรือกินแซนวิชสองสามแผ่นกับกาแฟอย่างแน่นอน เวลาที่คุณกินอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของ ร่างกายจะทำให้เกิดอาการโหย ซึ่งจะทำให้คุณกินจุกกินจิกโดยไม่รู้ตัว และอาจน้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นก็จะมีปัญหาการนอนตามมาด้วย

6. อย่าพึ่งเข้านอนถ้ายังไม่ง่วง
คุณควรจะเข้านอนเวลาที่รู้สึกเหนื่อยและง่วงพร้อมที่จะนอนไม่อย่างนั้นคุณจะ ไม่สามารถนอนหลับได้ง่ายๆ ทำให้เป็นการสร้าง นิสัยเสียในการนอนขึ้นมา ความเคยชินจากการนอนไม่หลับบนเตียงจะทำให้ร่างกายไม่รู้สึกว่า ฉันต้องนอนแล้วนะ ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของการฝึกนิสัยเสียให้กับตัวคุณ หากคุณนำข้อนี้ไปใช้ร่วมกับการตั้งเวลานอนที่ชัดเจน และออกกำลังกายเป็นประจำการเข้านอนตอนกลางคืนของคุณจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นทำ ให้สามารถทำข้อ 6 นี้ได้ง่าย อย่าฝึกเข้านอนทั้งๆ ที่ยังตื่นเต็มที่เพราะจะบ่มเพาะ นิสัยหลับยากให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

7. อย่านอนตอนกลางวัน
การนอนตอนกลางวันจะเป็นอุปสรรคในการนอนตอนกลางคืนอย่างแน่นอน คุณควรจะฝืนทนไม่ยอมนอนตอนกลางวันแล้วเก็บมา นอนตอนกลางคืน ซึ่งเป็นการฝึกระเบียบวินัยการนอนที่ดี

8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากปัญหาการหลับยากและการง่วงนอนตอนกลางวันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกของคุณ คุณควรไปปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณยังง่วงนอนตอนกลางวันอย่างมากแม้ว่าจะนอนพอแล้วในตอนกลางคืน คุณอาจจะกำลังป่วยเป็นโรคบางอย่างมะเร็งในสมองก็สามารถทำให้เกิดอาการง่วง นอนตลอดเวลาได้เช่นกัน หรือคุณอาจจะเป็นโรคนอนไม่หลับอย่างรุนแรงก็เป็นได้ หรือคุณอาจมีอาการเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอก็เป็นไปได้ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างจริงจังเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยให้คุณรับรู้ปัญหาที่แท้จริง แนวทางแก้ไขหรือวิธีรักษาต่อไปนั่นเอง

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'


มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'

เห็นอาหารญี่ปุ่นกำลังเป็นที่นิยม วันนี้เราเลยนำเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเรื่อง ข้อห้ามการใช้ 'ตะเกียบ' มาฝากกัน

แม้วัฒนธรรมการกินของไทยเราจะใช้ช้อนส้อมในการตักอาหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้ 'ตะเกียบ' ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของชาติเอเชียหลายๆชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีและเวียดนามนั้นมีบทบาทต่อคนไทยอยู่ไม่น้อย

ตะเกียบเข้ามาในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานกว่าช้อนส้อมซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกิน ของชาวยุโรปที่ได้รับความนิยมในไทยมากกว่า อย่างไรก็ตาม ตะเกียบมีความสำคัญเช่นกันเพราะอาหารจีนได้เข้ามาแทรกอยู่ในวิถีชีวิตคนไทย ที่เห็นได้ชัด คือ การใช้ตะเกียบกินก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ส่วนในปัจจุบันคนไทยก็ใช้ตะเกียบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่ออาหารญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยม วันนี้เราจึงนำข้อห้ามการใช้ตะเกียบมาฝากกัน ซึ่งจริงๆแล้วมีอยู่หลายข้อ แต่ข้อห้ามที่สำคัญมีดังนี้

1.ห้ามปักตะเกียบ แบบเสียบให้ตั้งบนถ้วยข้าว เพราะการทำแบบนี้จะถือเป็นข้าวสำหรับคนที่เสียชีวิตแล้ว
2.ห้ามถือ ตะเกียบส่ายไปมาบนอาหารหลายชนิด โดยไม่ตัดสินใจเสียที ว่าจะเลือกอาหารชนิดใด
3.ห้ามนำตะเกียบแทงของกินหรือใช้ตะเกียบชี้คน
4.ห้าม ใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหารชิ้นที่ต้องการในถ้วยอาหาร
5.ห้ามใช้ตะเกียบเพื่อ ดึงหรือขนย้ายภาชนะอาหาร
6.ห้ามใช้ปากดูดตะเกียบ

นอกจากนี้ยังถือว่า สิ่งที่หยิบและส่งต่อรับด้วยตะเกียบได้ ก็คือ กระดูกของศพที่เผาแล้วในพิธีงานศพเท่านั้น ดังนั้นจึงห้ามทำเช่นนี้บนโต๊ะอาหาร

ทั้งนี้ เทคนิคในการใช้ตะเกียบถือเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก โดยในประเทศตะวันตกมีศูนย์ฝึกอบรมการใช้ตะเกียบโดยเฉพาะ และในประเทศเยอรมนีมีพิพิธภัณฑ์ตะเกียบแห่งแรกของโลกที่จัดแสดงตะเกียบจาก ทองคำ เงิน หยก และกระดูกสัตว์รวมกว่าหมื่นคู่ โดยตะเกียบเหล่านี้นำมาจากประเทศและเขตแคว้นต่างๆทั่วโลก


8 วิธีให้คุณหันมาดื่มน้ำง่ายขึ้น


ปกติเราส่วน ใหญ่ก็ทราบก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายคนก็ไม่เคยชิน และทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันไม่ได้สักที เราเลยมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้ง่ายขึ้น มาฝากกันค่ะ


1. ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่น นอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอดทั้ง วัน ทั้งยังช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย

2. บีบน้ำมะนาวใส่นิดๆ หากคุณรู้สึกแปลกๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ

3. ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4. ถ้าร้อนนักก็ดื่มซะ เมื่อคุณ กำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่นๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ

5. ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอกๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

6. เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่ายๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

7. ถูกและถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรีแบบไม่อั้น

8. หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อนๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

เห็นไหมคะว่า การดื่มน้ำไม่ยากอย่างที่คุณคิดและน้ำมีประโยชน์มากๆ ในชีวิตประจำวัน อย่าลืมนะคะ หันมาใส่ใจสุขภาพก่อนที่จะสายเกินแก้ เพียงแค่พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วเท่านั้นค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก สำนักบริการวิชาการมหาวิทยาลัยบูรพา
วิชาการดอทคอม

ความแตกต่างที่หลายคนมองผ่าน...


ความแตกต่างที่หลายคนมองผ่าน...

หนูน้อยยืนอยู่ที่ข้างสระ ...
วันนี้วิชาพละต้องเรียนว่ายน้ำ
คุณ แม่บอกลูกอยากเก่งต้องพยายาม
แต่หนูอยากอยู่เฉยๆ บ้าง ไม่ต้องวุ่นวาย

พรุ่ง นี้ยังต้องไปเรียนคณิต
วันอาทิตย์ต้องไปเรียนดนตรีตอนสาย
ถึงอยู่ บ้านก็คงน่าเบื่อมากมาย
ก็คุณพ่อ คุณแม่หาย ไม่เห็นเงา

มองเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ข้างนอก
ท่า ทางน่าสนุกไม่เบาหรอกชีวิตเขา
อิสระมากมายกว่าตัวเรา
อย่างน้อยเขา มีพ่ออยู่ยืนคู่กัน


หนูน้อยอีกคนยืนอยู่ที่ข้างสระ ...
พ่อจ๊ะ วันนี้มีคนมาว่ายน้ำ
หนูอยากว่ายบ้าง แต่ได้แค่มองตาม
ทำไมเราจึง ไม่มีอย่างที่เขาเป็น

วันนี้พ่อจะไปขยะกองไหนต่อ
ด้านหลังนู้น ยังมากพอ หนูเห็น
เก็บแต่เช้ากว่าจะหมดคงจรดเย็น
ค่ำๆ นี้คงได้เห็นเป็นอาหารมื้อดี

แล้วหันหลังกลับมองคนในสระ
เขาคง เรียนพละกันใช่ไหมวิชานี้
น่าอิจฉาน้ำในสระคงใสไหลเย็นดี
หนูไม่มี สักวิชา จะหาเรียน ...


"ท่านยิ่งใหญ่แล้วหรือ ต่ำต้อยที่สุดแล้วหรือ
เปล่าเลย ยังมีคนที่ยิ่งใหญ่กว่าท่าน และต่ำต้อยกว่าท่านอีกมากมายนัก..."

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ก้อนเมฆไม่เคยตาย


ก่อนที่พระพุทธองค์จะปรินิพพานไป พระพุทธองค์ได้สอนบทคาถาที่สวยงามที่มีชื่อเป็นภาษาบาลีของเถรวาท ในพระสูตรมหาปรินิพพานว่า

"สังขารเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นอนิจจังเป็นปรากฏการณ์ที่จะต้องผ่านการเกิดและการตายเมื่อธารแห่งการเกิดและการตายนั้นจบสิ้นลงนิพพานก็กลายเป็นแหล่งแห่งความสุข"
เมื่อความคิดเห็นเรื่องการเกิดและการดับได้ถูกถอดถอนออกไป การดับสิ้นซึ่งความคิดเห็นนั้นเราเรียกว่า ความสุข เราอาจแบ่งบทคาถานี้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนต้นคือสองประโยคแรกซึ่งหมายถึง ภาวะที่ยังมีการเกิดการดับ สองประโยคสุดท้ายคือเป็นความจริงอันสูงสุด หรือปรมัตถ์ธรรม สองประโยคแรกนี้พูดถึงความเป็นจริงเปรียบเทียบ หมายถึงปรากฏการณ์ต่างๆ สรรพสิ่งต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมานั้นเป็นอนิจจัง เพราะทั้งหมดจะต้องผ่านการเกิดการตาย เวียนว่ายอยู่ในนั้น เป็นประโยคที่พูดอยู่ในโลกธรรม ส่วนสองประโยคสุดท้ายพูดถึงความเป็นจริงอันสูงสุด หรือปรมัตถ์ธรรมเมื่อเราได้ถอดถอนความคิดเห็นเรื่องของการเกิดการดับ เราก็จะพบความสุขที่แท้จริง เพราะว่าการเกิดการดับเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ใช่ความเป็นจริง เมื่อเราฝึกอย่างลึกซึ้ง เราจะมองเห็นว่าภาพข้างนอกเหมือนกับมีการเกิดการตายอยู่ แต่เมื่อมองอย่างลึกซึ้งเธอจะเห็นว่า ไม่มีการเกิด-การตาย ไม่มีการเกิด-การดับเมื่อเรามองไปที่เมฆบนท้องฟ้า เราจะเห็นว่าเมฆไม่เคยตาย เมฆไม่เคยดับไป เมฆนั้นไม่เคยตายไปจากความไม่มีอะไรไปเป็นสิ่งที่มีอะไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เมฆนั้นจะเกิดขึ้นมา เพราะว่ามีการเกิดขึ้นนั้นหมายถึง จากที่ไม่มีอะไร เธอได้เกิดเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จากที่ไม่เคยเป็นใคร เธอเกิดขึ้นมาเป็นใครคนหนึ่ง เมฆไม่เคยเป็นแบบนั้น ก่อนที่จะเกิดขึ้นมาเป็นเมฆ เมฆได้เป็นอะไรสักอย่างมาก่อนแล้ว เช่น เป็นมหาสมุทร เป็นไอร้อนที่สร้างขึ้นจากพระอาทิตย์ ฉะนั้นเมฆไม่ได้มาจากสิ่งที่ไม่มีอะไรแล้วกลายมาเป็นเมฆ ธรรมชาติของเมฆจึงเป็นธรรมชาติของการไร้การเกิดไร้การตายธรรมบรรยายโดยท่านติช นัท ฮันห์

คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้ พระพุทธเจ้าผู้เลิศ ด้วยพระปัญญาพิจารณาเห็นแจ้งชัดด้วยความจริงว่า โลกทั้งโลกเป็นเครื่องห่อหุ้มด้วยอวิชชา โมหะ มีภูมิทั้งสามเป็นเสมือนเรือนจำเป็นเครื่องอยู่ มีตัณหา อุปทานเป็นเครื่องสัญจรไปมา มีกามารมณ์ รูปารมณ์และอรูปารมณ์เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พระองค์ทรงรู้อย่างนี้แล้ว จึงทรงเบื่อหน่ายคลายความใคร่ความยินดีในภูมิทั้งสามนั้นด้วยวิปัสนาญาณ เห็นภูมิทั้งสามนั้นเป็นเรื่องส่งนอกด้วยจิตของพระองค์เอง (ส่งนอกในที่นี้หมายถึงส่งนอกด้วยกามารมณ์ รูปารมณ์ และอรูปารมณ์) มีแต่ไหลไปในอนาคตไม่เข้าถึงปัจจุบันสักที พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งชัดอย่างนี้แล้ว จึงทรงสละปล่อยวางจิตที่เป็นอดีตและอนาคตที่ปรุงแต่งภพทั้งสามเข้ามาอยู่ เป็นกลางๆ คือตัวใจ และรู้อยู่ว่าเป็นกลางๆ ภพชาติก็หมดไป การประพฤติกิจในพระพุทธศาสนานี้ทั้งหมด มีการรักษาศีล ฝึกหัดทำสมาธิและวิปัสสนา เป็นต้น ก็คือ ต้องการค้นคว้าหาเหตุและผล สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดีและชั่ว สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมในสิ่งนั้นๆ ให้เห็นรู้เห็นตามเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ไม่เป็นจริงสักที เพราะเราพิจารณาส่งออกไปข้างนอก เห็นของไม่จริงจังแปรปรวนอยู่ร่ำไป การค้นคว้าส่งออกไปภายนอกพิจารณาของไม่เที่ยงแปรปรวนนี้แล จึงต้องเป็นทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที การพิจารณาของภายนอกนอกจากตัวของเราจึงไม่ใช่ตัวของเราและไม่เห็นตัวของเรา จึงรักษาตัวของเราให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ ปราชญ์ผู้ฉลาดจึงปล่อยวางทิ้งสิ่งที่มิใช่ของตัวไม่มีแก่นสาร วางสิ่งที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย แล้วเข้าอยู่ตรงกลาง วางเฉย แล้วรู้ตัวอยู่ว่าเราวางเฉย เมื่อใจเข้ามาอยู่ตรงกลาง วางเฉยและรู้ตัวว่าวางเฉยแล้ว มันจะมีอะไรเหลือหลอ ภารกิจในพระพุทธศาสนาที่กระทำมาแต่ต้นก็เห็นจะสิ้นสุดลงเท่านี้

AMAZON ความเล้นลับแห่งป่าดงดิบ


โลกเรานี้มีป่าดงดิบอยู่หลายแห่ง แต่ไม่มีป่าดงดิบใด จะกว้างใหญ่ไพศาล และคงความบริสุทธิ์ยิ่งไปกว่าป่า อเมซอน (Amazon) แห่งอเมริกาใต้ มีเรื่องราวหลายหลาก ที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าดิบแห่งนี้ ป่าอเมซอนกินเนื้อที่กว้างถึง 2 ใน 5 ของ อเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของบราซิล ที่เหลือนั้นแผ่เข้าไปในอีก 8 ประเทศใกล้เคียง คิดเป็นเนื้อที่ป่าได้ราว 2.5 ล้านตารางไมล์ (6.4 ล้านตารางกิโลเมตร) ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ขนานกับเส้นศูนย์สูตร และสิ่งที่แบ่งป่า ออกเป็นตอนเหนือกับตอนใต้ ก็คือ แม่นํ้าอเมซอน ซึ่งมีต้นนํ้าอยู่ที่เทือกเขา แอนดีส (Andes) ของเปรู แล้วไหลจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นระยะทางถึง 6,400 กิโลเมตร ลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก แต่ที่น่าตื่นตะลึงก็คือ ขนาดปริมาตรของมันที่ไม่มีแม่นํ้าใดเทียมทัน ทั้งนี้เพราะมีแควที่ไหลลงมาสู่แม่นํ้านี้ถึง 1,100 สาย และความกว้างของแม่นํ้าอเมซอน ก็มีขนาดใหญ่มาก ประมาณว่าเหนือจากปากอ่าวขึ้นไปในทวีป 1,000 กว่ากิโล ก็ยังกว้างถึง 10 กิโลเมตร ส่วนความกว้างที่ปากอ่าวปาเข้าไป 320 กิโลเมตร!!

ดังนั้น ปริมาณนํ้าที่พุ่งลงสู่มหาสมุทรจึงมีปริมาตรมหาศาล ดันนํ้าเค็มให้ห่างจากฝั่งออกไปได้ถึงเกือบ 200 กิโลเมตร นอกจากนี้แม่นํ้าอเมซอนยังลึกมาก ว่ากันว่า เรือสินค้าสามารถแล่นทวนนํ้าเข้าไปในแผ่นดินบราซิลได้ไกลถึง 3,700 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้การคมนาคมทางนํ้าในดินแดนนี้จึงมีความสำคัญกว่าทางบกหลายเท่า

และแน่นอน ในแม่นํ้าที่ใหญ่ที่สุดของโลกนี้ก็มีปลาที่ดุร้ายที่สุดของโลกเช่นกัน ซึ่งเรารู้จักกันดีก็คือ ปลาปิรันยา (piranha) ซึ่งมันมีฟันที่คมกริบและกัดเก่ง ว่ากันว่าชาวประมงที่ตกมันได้ และปลดจากเบ็ดโยนไว้ที่ท้องเรือนั้น หลายคนมีนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเพียง 9 นิ้ว !! แต่ถ้าจำเป็นต้องลงไปอยู่ในนํ้า ชาวพื้นเมือง เค้าก็มีเทคนิคเฉพาะตัว ก็คือให้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อย่าลอยคอเล่น แล้วท่านจะพ้นภัยจากปิรันยา สัตว์ในวารีที่น่ากลัวอีกชนิดหนึ่งก็คือ ไคมาน (caiman) จระเข้ขนาดใหญ่ที่สุดของ อเมซอน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ดุเท่าใดนัก และตกเป็นเหยื่อของนักล่าที่ชำแหละหนังของมันไปขายได้ราคางาม จนจำนวนของมันร่อยหรอลง สัตว์ที่น่ากลัวอีกอย่างก็ อนาคอนดา (anaconda) งูยักษ์ มีผู้เคยพบอนาคอนดาที่ยาวถึง 13 เมตร ในป่าอเมซอนนี้


สัตว์บกที่อาศัยหากินอยู่ตามชายตลิ่งแม่นํ้า อเมซอนนั้นมีหลายชนิด อาทิ สมเสร็จ (tapir) หุ่นของมันคล้ายแรดผสมม้า หนังหนาถึง 2 นิ้ว ทำให้มันลอยตัวหากินพืชนํ้าตามตลิ่งได้สบาย คาปีบารา (capybara) สัตว์ประเภทหนู (rodent) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวขนาดเท่า หมูนั่นแหละครับ โตเต็มที่ยาวถึงเมตรกว่า และหนักเกือบ 80 กิโล ชอบอยู่เป็นฝูงราว 20 ตัว กินหญ้าและพืชนํ้าเป็นอาหาร หรือตัว พะยูน (manatee) ตัวอ้วนกลมไร้ขนดูน่าเกลียดน่าชัง แขนขาของมันเหมือนพายทำให้มุดนํ้าดำว่ายได้คล่องเช่นกัน มันมักชอบว่ายคลอไปข้างๆ เรือ จัดเป็นสัตว์ที่มีความเป็นมิตรที่สุดในโลก
อีกตัวหนึ่งซึ่งชอบนํ้า แต่หากินบนบก คือ ตัวกินมด (anteater) ที่อเมซอนนี่จัดเป็นตัวกินมดขนาดยักษ์ (giant anteater) มันจะขุดคุ้ยหามด และปลวกกินในพื้นที่สูงๆ กรงเล็บเท้าหน้าของมันยาวและทรงพลัง ทลายจอมปลวกได้อย่างง่ายดาย แล้วใช้งวงหรือจมูกอันแข็งแรงคุ้ยหาเหยื่อ ลิ้นอันเหนียวหนึบของมันยาวถึง 10 นิ้ว ทีนี้มาดูสัตว์ที่หากินบนบกจริงๆ บ้าง
อันที่จริงคำว่า "บก" สำหรับป่าอเมซอนนั้นคงใช้ไม่ได้ ด้วยเหตุที่ว่าพื้นที่แผ่นดินนี้เป็นแอ่งราบลุ่มชุ่มไปด้วยนํ้า อย่างที่บอกแล้วว่ามีแควหรือสาขาแม่นํ้าอยู่มากมาย ดังนั้นจึงเกิดนํ้าท่วมทุกปี หรือพูดอีกอย่างว่าท่วมเกือบตลอดปีก็ว่าได้ และพอนํ้าลงก็จะมีนํ้าขังอยู่เป็นหย่อมๆ ซึ่งชนบราซิลเรียกทะเลสาบนํ้าขังนี้ว่า "วาร์ซีอา (varzea)" แผ่นดินที่ชุ่มฉํ่านั้นมีผลต่ออุณหภูมิของป่า คือค่อนข้างคงที่อยู่ระหว่าง 20-32 เซลเซียส ไม่มีฤดูร้อน ฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ผลิ มีก็แต่ฤดูเปียกกับแห้ง (wet and dry seasons) เมื่ออุณหภูมิคงที่ ต้นไม้จึงผลัดใบ แตกหน่อแตกตา ผลิดอกออกผล ตลอดเวลาทั้งปี เช่นว่า หลังฝนตกใหญ่ บางทีต้นไม้ก็ชูช่อดอกไสว ราวกับฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วนั้นเอง พอถึงตอนเที่ยงวันอันอบอ้าว เสียงนกกาเงียบหายไป ใบไม้หุบ กลีบดอกจะร่วงพรูลงดินเหมือนอยู่ในเหมันตฤดู และพอความมืดเข้ามาเยือน อากาศก็เย็นเยียบลงเฉียบพลันจวบจนอรุณรุ่งจึงจะมีความสดชื่นเข้ามาแทนที่อีกครั้ง ชีวิตในหนึ่งวันเป็นดังเหมือนผ่านฤดูกาลทั้งปี


สิ่งน่าอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของป่าอเมซอน ก็คือ ความมืด เนื่องจากต้นไม้นับล้านๆ ต้น พากันแก่งแย่งแสงแดด มันจึงเติบโตสูงชลูดสุดกู่ และแผ่กิ่งก้านสาขาราวกับมีร่มสีเขียวมหึมากาง อยู่บนยอด ส่วนลำต้นนั้นมีแต่ความเปลือยเปล่าไร้กิ่งก้าน แสงอาทิตย์สามารถส่องทะลุลงไปถึง พื้นดินได้เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แลดูสลัวๆ ดุจอยู่ในโบสถ์ทึมๆ บางต้นไม้ใหญ่จะมีไม้เถาวัลย์ที่เรียกว่า ไลอานา (Liana) ขึ้นเกาะเกี่ยวพันอยู่ราวกับงูตัวยาวเลื้อยขึ้นไปหาแสง สว่างแล้วก็มีไม้พวกรากอากาศคือ อีพิไฟต์ (epi- phyte) เกาะเป็นกลุ่มอยู่บนยอดไม้ใหญ่ อะไรๆ ก็แย่งกันขึ้นไปหาแสงแดด ส่วนล่างนั้น โปร่งเหมือนบ้านใต้ถุนสูงที่มีแต่เสา ความคงที่ของอุณหภูมิยังทำให้สภาพป่าและพรรณไม้ดำรงอยู่ โดยไม่เปลี่ยนแปลงมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ป่าในยุโรปหรืออเมริกาเหนือนั้นอายุแค่ราว 11,000 ปี แต่ป่าดงดิบอเมซอนมีมากกว่า 100 ล้านปีแล้ว!! เป็นป่าเดียวที่หลงเหลืออยู่ให้ใครๆ ได้สัมผัสถึงอดีตอันไกลโพ้น และด้วยอายุอันยาวนาน จึงมีสรรพสิ่งถือกำเนิดและวิวัฒนาการมากมายหลาย หลากยิ่งกว่าป่าใดในโลก ยกตัวอย่างเช่น ปลาหลายชนิดเคยเป็นปลาทะเลที่เปลี่ยนมาอยู่ในนํ้าจืด รวมแล้วในแม่นํ้าเครืออเมซอนมีปลาถึงกว่า 3,000 สกุล (species) เทียบกับแม่นํ้ายุโรปที่มีเพียงแค่ 150 สกุล
แต่น่าประหลาดที่สัตว์ใหญ่บนบกกลับหาดูได้ยาก จากความที่พื้นดินไร้แสงแดด จึงมีพืชน้อย สัตว์กินพืชจึงน้อย สัตว์กินเนื้อ (ซึ่งกินสัตว์กินพืช) ก็เลยน้อยไปด้วย สัตว์ต่างๆ ที่ดำรงชีพในป่าอเมซอนได้นั้นเป็นเพราะมีการปรับตัว ให้เข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมของป่า หลายชนิดปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนยอดไม้สูง หลายชนิดหัดว่ายนํ้าเพื่ออาศัยอยู่ริมตลิ่งอันอุดมด้วยพืชผัก เจ้าลิงขนปุย (woolly monkey) ตัวจิ๋ว ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนยอดไม้ มันจะใช้ หางเกี่ยวโยนตัวจากกิ่งนี้ไปกิ่งโน้นอย่างรวดเร็ว หางของมันก็คือ แขนขาที่ 5 นั่นเอง ด้านล่างของหางปราศจากขน และเป็นหนังที่มีลักษณะเดียวกับหนังฝ่ามือฝ่าเท้า ส่วนเจ้า สล็อธ (sloth) ผู้เชื่องช้า มี 2 ชนิดคือ มี 2 นิ้วกับ 3 นิ้ว มันจะห้อยตัวนิ่งไม่ เคลื่อนไหว แขวนอยู่กับกิ่งไม้ต้นเดียวเป็นปีๆ อาศัยเพียงแค่กรงนิ้วอันทรงพลังจับยึดกิ่ง จนมันเดินไม่เป็น นานนักหนากว่ามันจะลงดินมาสักครั้ง ซึ่งมันต้องคลานไปด้วยท้อง เห็นมันนิ่งๆ อย่างนั้นแต่ปลอดภัยจากศัตรู เพราะพวกตะไคร่เขียวๆ จะเกาะติดขนและอำพรางตัวของมันไว้ อีกทั้งการห้อยอยู่ใต้กิ่งไม้ก็ทำให้เสือที่ไต่กิ่งมาขยํ้ามัน ต้องหกคะเมนตีลังการ่วงลงมา

ความจริงอเมซอนมีทุ่งราบสูงอยู่หย่อมหนึ่งที่ชื่อ ซาวานนาห์ (savannah) สัตว์ที่อาศัยอยู่ได้ก็มีเสือภูเขาปูม่า (puma) กับเหยื่อของมันคือกวาง นอกจากกวางแล้วเจ้าปูม่ายังจับลิงกับนกกินเป็นภักษาหารด้วย มันกระโจนหนเดียวได้ไกลถึง 7 เมตร และโดดได้สูงถึง 5 เมตร อย่างง่ายดาย มันไม่ค่อยได้ไต่ต้นไม้ ต่างจากเสือจากัวร์ ซึ่งเป็นนักกินเนื้อพวกเดียวกับมัน ส่วนเจ้ากวางมักซ่อนตัวเงียบกริบอยู่ในดงไม้ทึบๆ เกือบทั้งวัน พอความมืดย่างกรายเข้ามา มันจึงจะออกหากินเลาะไปตามริมตลิ่งเคี้ยวหญ้าและวัชพืชยังชีพอย่างระแวดระวัง

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

16 กันยายน วันโอโซนโลก (World Ozone Day)

วัน โอโซนโลก (World Ozone Day)


เพื่อเป็นการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซนนานาประเทศ ได้ร่วมกันจัดทำอนุสัญญาการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน ขึ้นในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)เรียกว่า "อนุสัญญาเวียนนาและ พิธีสารว่าด้วยการเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน" ขึ้นในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) เรียกว่า "พิธีสารมอลทรีออล"


สาระสำคัญของอนุสัญญาเวียนนานับว่าเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มุ่งมั่นใน การพิทักษ์ ชั้นโอโซน และเป็นเครื่องมือทางกฎหมายข้อแรกที่กลายเป็นรูปแบบของการแก้ปัญหา สิ่งแวดล้อมร่วมกัน

ปัจจุบันมีประเทศที่ร่วมให้สัตยาบันแล้วรวม 131 ประเทศ นั่นหมายถึง ชุมชนโลกส่วนใหญ่ ได้พร้อมใจกันที่จะพิทักษ์ ชั้นโอโซนแล้ว พิธีสารมอลทรีออลเป็น ส่วนหนึ่งของอนุสัญญาเวียนนาฯ

ประเทศไทย ได้ ร่วมลงนามในพิธีสารนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2531 และให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2532 มีผลบังคับใช้ต่อประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2532 ผลของพิธีสารในขั้นต้นสารเคมี ที่ถูกควบคุมคือ สาร CFC (Chlorofluorcarbon) รวม 5 ชนิดและสารฮาลอน (Halon) 3 ชนิด รวมสารควบคุมทั้งสิ้น 8 ชนิด

ซึ่งสารเหล่านี้มีการใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่นสารทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ใช้เป็นก๊าซสำหรับ เป่าโฟมและเป็นฉนวนในโฟม รวมทั้งใช้เป็นตัวทำละลายในการทำความ สะอาดล้างคราบไขมันสิ่งสกปรกในชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์หรือแม้แต่สารที่ อยู่ในกระป๋องสเปรย์ ส่วนสารฮาลอนใช้เป็นสารดับเพลิง ในอุปกรณ์ป้องกันและระงับอัคคีภัย ซึ่ง การใช้สาร CFC ก็มีมากในการอุตสาหกรรม นั่นคืออุตสาหกรรมยิ่งพัฒนา ก็จะมีการทำลายโอโซนกันมากเท่านั้น

เกราะป้องกันของโลกตัวนี้ชื่อว่า โอโซน (OZONE) โอโซนเกิดจากธรรมชาติ เกิดจากออกซิเจน 3 อะตอม มีหน้าที่ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตและ รังสีคอสมิกผ่านมายังโลก เพื่อไม่ให้มวลมนุษย์และสัตว์บนโลกเกิดอันตรายในการดำรงชีวิต เพราะรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต สามารถทำลายเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้ โดยปริมาณรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตที่กระทบผิวหนังมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังขึ้นได้ หรือ อาจมีผลในเรื่องอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็วในปัจจุบันเนื่องจากชั้นโอโซนเกิดช่องโหว่นั่นเอง

"โอโซน" มีคุณสมบัติที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทุกชนิด รวมทั้งคุณสมบัติในการ ชำระล้างสารพิษที่ตกค้างต่างๆ นอกจากนี้โอโซนยังสามารถแก้ไขปัญหาน้ำเสียได้ โดยการนำโอโซนผสมกับน้ำ ทำให้แบคทีเรียในน้ำถูกโอโซนทำลาย เหลือแต่น้ำบริสุทธิ์ มาทำน้ำดื่มหรือ ใช้อาบก็ดี

จากสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้ องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 16 กันยายน ของทุกปี เป็น “วันโอโซนโลก” เริ่มตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา


วัตถุ ประสงค์

1. เพื่อกระตุ้น ให้ประเทศปฏิบัติต่ออนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

2. เพื่อช่วยกันลดใช้สารซี เอฟ ซี และสารฮาลอนซึ่งเป็นตัวทำลายบรรยากาศโอโซนในชั้นบรรยากาศ

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

5 อย่า! เมื่อคุณจะนอน


อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ

เพราะขณะที่ นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงาน ทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย

อย่าคุย โทรศัพท์มือถือจนหลับ

รวมถึง อย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า

เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า

โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า

พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง

อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง

ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น

จะ ก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ

อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง

นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

อย่านอนกับ สามีหรือภรรยาของคนอื่น

เพราะ คุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ทุกคนเปรียบดั่งดอกบัว


เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บัว ๔ เหล่า ได้แก่

๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาด เฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู)

๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)

เรียงลำดับความสำคัญของชีวิตดี หรือยัง


อาจารย์สอนปรัชญา เข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่าง

เมื่อได้เวลา เรียน เขาก็หยิบเหยือกแก้วขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม
จาก นั้นก็ถามบรรดานักศึกษาว่าเหยือกเต็มหรือยังนักศึกษาต่างก็ยอมรับว่าเต็ม แล้ว

แต่แล้วอาจารย์ก็หยิบกระป๋องใส่ กรวดออกมาแล้วเทกรวดลงไปในเหยือก เขย่าเหยือกเบาๆ
กรวด ก็เลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิส เขาถามนักศึกษาว่าเหยือกเต็มหรือยัง นักศึกษาก็ยอมรับว่าเต็มแล้ว

อาจารย์คนเดิมควักเอากล่องทรายขึ้นมาเท ใส่ลงไปในเหยือก และทรายก็ไหลลงไปแทนที่ตามช่องว่างได้อย่างง่ายดาย เขาถามนักศึกษาอีกครั้งว่าเหยือกเต็มหรือยัง นักศึกษาตอบอย่างหนักแน่นว่าคราวนี้เต็มแน่แล้ว

ถึงตอนนี้อาจารย์ หยิบเบียร์สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ เบียร์ก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะกันครืนใหญ่

เอาล่ะ อาจารย์กล่าวขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะซาลง ผมอยากให้พวกคุณจำไว้ว่าเหยือกนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา

ลูกเทนนิสก็คือ สิ่งที่สำคัญในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต สุขภาพ ลูก เพื่อนฝูง และสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ
สิ่งที่ถ้าคุณต้องสูญเสีย ทุกอย่างไป และเหลือแต่เพียงสิ่งเหล่านี้ ชีวิตคุณก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่

เม็ดกรวดก็เหมือนสิ่งที่สำคัญรองลงมา เช่นงาน บ้าน รถยนต์

ทราย ก็คือเรื่องอื่นๆที่เหลือ เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราต้องทำและมักจะหมกมุ่น ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน
คุณก็จะไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวดและไม่มีที่ใส่ลูก เทนนิสแน่ ชีวิตคุณก็เหมือนกัน ถ้าคุณใช้เวลาและกำลังให้

หมดไปกับ เรื่องเล็กๆน้อยๆ คุณก็จะไม่มีที่ให้เรื่องที่สำคัญสำหรับคุณ คุณต้องมุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตไปเต้นรำ เล่น เทนนิสสักสองสามเซ็ท
คุณยังมีเวลาอกมากที่จะเอาผ้าไปซัก ทำความสะอาดบ้าน จัดงานเลี้ยง ซ่อมแซมอะไรต่อมิอะไร ดูแลลูกเทนนิสก่อน ดูแลเรื่องที่สำคัญจริงๆ เรียงลำดับความสำคัญให้ดี เรื่องอื่นๆมันก็แค่เม็ดทราย

นักศึกษาคน หนึ่งยกมือขึ้นถามว่า แล้วเบียร์หมายถึงอะไร อาจารย์ยิ้มน้อยๆ ผมดีใจที่คุณถาม ผมแค่อยากให้คุณเห็นว่า

"ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มแค่ ไหน คุณก็ยังมีที่ว่างพอสำหรับเบียร์เสมอ"

2 ชีวิต ... ที่ราคาไม่เท่ากัน


หนูตัวร้อน ... ไปโรงพยาบาลเถอะ หาหมอเฉพาะทาง แพงหน่อย แต่(น่าจะ)ดีกว่านะ
พ่อไข้ขึ้น ... พาราซี้ตายม่องในตู้ยาก็มี สัก 2-3 วันถ้าไม่ดีขึ้น หมอรักษาโรคทั่วไปปากซอยก็น่าจะเอาอยู่

หนู กลับบ้าน ... แท๊กซี่ดีกว่านะ จะได้ไม่เหนื่อย มีสมาธิทำการบ้าน (สมาธิยิ่งสั้นๆอยู่)
พ่อ กลับบ้าน ... ปั่นจักรยานนั่นแหละดีแล้ว ประหยัด ออกกำลังกายด้วย วันไหนฝนตกค่อยขึ้นรถเมล์

มีดบาดมืดหนู ... ไปรพ.เย็บแผลเถอะ เดี๋ยวเป็นแผลเป็น เป็นคีลอยด์ (เดี๋ยวไม่สวยไม่มีคนมาขอ ไม่หล่อไปขอใครไม่ได้)
มีดบาดมือพ่อ ... ทิงเจอร์ พลาสเตอร์ ในตู้ยาก็มี 2-3 วัน น่าจะหาย (พ่อคงไม่อัปลักษณ์ไปกว่านี้สักเท่าไรหรอก)

ปรับ พฤติกรรม คอร์สล่ะ 6000 ... อะน่า นิดหน่อยเอง จะได้ไม่มีปัญหาในการคบเพื่อน จะได้มีเพื่อนดีๆบ้างสักคนก็ยังดี ชีวิตหนูยังอีกไกล
e-commerce คอร์สล่ะ 1800 ... หนังสือมือสองจตุจักรเยอะแยะ เล่มล่ะ 250 เอง เดี๋ยวก็ตายแล้ว จะอยากรู้ไปทำไม

มีด บาดมือหนู ... ไปรพ.เถอะ จริงๆฉีดยากันบาดทะยักแล้วนะ แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไร ฉีดอีกคอร์สก็ดี เปลืองหน่อยแต่ชัวร์ กี่บาทพ่อก็จ่าย
สังกะสีบาดมือพ่อ ... ทิงเจอร์ไอโอดีนนี่แหละ ขององค์การเภสัชฯ ขวดล่ะ 25 บาท เชื้อโรคไหนๆก็ตายเรียบ

อีก 2-3 วัน นมใกล้หมดอายุ ... หนูอย่ากินเลยเดี๋ยวท้องเสีย กระป๋องไม่กี่ร้อย ช่างมัน ไม่คุ้มค่ายาหรอก
ก็ ไอ้กระป๋องเดียวกันนั่นแหละ ... พ่อกินเองดีกว่า เสียดายตังค์ ไม่น่าเป็นไรหรอก กว่านี้พ่อก็กินมาแล้ว ชิวๆ

เรียนว่ายน้ำชม.ล่ะ 100 ... เปลืองหน่อย แต่ดีกว่า จะได้แข็งแรงไม่เป็นภูมิแพ้ เผื่อฟลุ๊คมีแววจะได้เป็นฉลามน้อยทีมชาติ
ฟิต เนส discounted fee ถูกสุดๆ ... กลับไปสอนการบ้าน ให้หนูขี่หลังทุกเย็นดีกว่า ถ้าพุงมันจะย้วย นน.มันเกินนิดหน่อย ช่างมันเหอะ

หนูเป็นหวัด ... ยา original ดีกว่าเนอะ ชัวร์ (เขาว่า)ยา Generic ไว้ใจไม่ค่อยได้ เดี๋ยวมีผลข้างเคียง
พ่อเป็นหวัด ... ทุบหอมแดงวางข้างหมอน 2-3 คืน ถ้าไม่ดีขึ้น ยา Generic ก็โอเคแล้ว ผลข้างเคียงนิดหน่อย ไม่ถึงตายหรอก จิ๊บๆ

หนู ไอ ... ไปหาหมอ
พ่อไอ ... กินน้ำอุ่นๆ เดี๋ยวก็หาย



"ผู้ชาย" คนนี้ไม่ใช่ นักบัญชี ไม่ใช่ นักเศรษฐศาสตร์ (ไม่ใช่แม้กระทั่ง วิศวกร)
"ผู้ชาย" คนนี้ก็แค่ "พ่อ" ธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นแหละ
...
...
ถ้าทุก 1 วันที่ชีวิตพ่อสั้นลง แลกกับ 1 วันที่ชีวิตหนูดีขึ้น
... จะกี่วันก็เอาไปเถอะลูกรัก พ่อ เต็มใจยกให้
ดวงตา คู่นี้ ... อาจจะทำให้พ่อเห็น ความงดงามของโลกต่อไปได้อีกหลายปี
... แต่ถ้ามันทำให้หนูมองเห็นได้อีกแม้เพียงวันเดียว
... (แม้คนที่หนูจะมอง ... อาจจะไม่ใช่พ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้ แก้วหูคู่นี้ ... อาจจะทำให้พ่อได้ยินความไพเราะของสายน้ำต่อไปได้อีกหลายปี
... แต่ถ้ามันทำให้หนูได้ยินได้อีกแม้เพียงวันเดียว
... (แม้วันเดียวนั้น ... หนูอาจจะไม่ฟังที่พ่อบอกว่าพ่อรักหนูแค่ไหน)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
ขาคู่นี้ ...
อาจจะพาพ่อไปได้อีกครึ่งโลกใบนี้ที่เหลือ
... แต่ถ้ามันทำให้หนูเดินได้อีกแม้เพียงก้าวเดียว
... (แม้มันอาจจะเป็นก้าวที่ทำให้หนูห่างจากพ่อไปอีก)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
แขนคู่นี้ ... อาจ จะทำให้พ่อได้โอบกอดคนอีกมากมาย
... แต่ถ้ามันทำให้หนูได้โอบกอดคนที่หนูรักแม้เพียงครั้งเดียว
... (แม้ว่าคนที่หนูจะกอด ... อาจจะไม่ใช่พ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
หัวใจดวงนี้ ...
อาจจะทำให้พ่ออยู่ต่อไปได้ อีกหลายปี
... แต่ถ้ามันทำให้หนูอยู่ต่อได้อีกแม้เพียงวันเดียว
... (แม้ว่าหนูอาจจะไม่ใช้วันเดียวนั้นร่วมกันกับพ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
ชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ ...
อาจจะทำให้พ่อทำอะไรได้อีกมากมาย
... แต่ถ้ามันใช้ต่อชีวิตหนูได้แม้เพียงวันเดียว
... (แม้หนูอาจจะใช้ชีวิตที่ต่อออกไปวันเดียวนั้นเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
... ... หนูจะรู้ไหมว่า หนู ทั้งสองเกิดมามีหัวใจสองดวงที่ "อายุหัวใจ" ไม่เท่ากัน ...
...

ที่สุดแล้ว ....
"ผู้ชาย" คนนี้ไม่ใช่ นักบัญชี ไม่ใช่ นักเศรษฐศาสตร์ (ไม่ใช่แม้กระทั่ง วิศวกร)
"ผู้ชาย" คนนี้ก็แค่ "พ่อ" ธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นแหละ




ขอบคุณบทความจากบล็อค แก๊ง

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำดีเมื่อไหร่จะได้ดี


เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาพระภาวนาวิริยคุณเมื่อวันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545ถาม: เราทำดีแล้วจะได้ผลดีจริงหรือครับหลวงพ่อ ผมเห็นเพื่อนหลายคนทำความดี แต่ไม่เห็นจะได้ดีอะไร ?ตอบ: โยม...อย่าเสียเวลาสงสัยอยู่เลย ความจริงเรื่องกฎแห่งกรรมนี้ ผู้รู้เขาได้พิสูจน์กันมาเป็นพันๆ ปีแล้ว(๑) แต่ที่คนส่วนมากรวมทั้งคุณด้วยยังสงสัยอยู่ เพราะเป็นคนประเภทที่ใจร้อน ทำอะไรลงไปแล้วก็อยากจะรู้ผลทันที จนลืมนึกถึงหลักความจริงบางอย่างไป จะยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆ เช่น ถ้าเราเอาหน่อกล้วยมาปลูกวันนี้ ถามว่าจะได้กินกล้วยวันนี้ไหม ก็ตอบได้ว่ายัง ต้องรอไปโน่น..เกือบปีแน่ะ แล้วในระหว่างที่รออยู่นั้น ก็ยังต้องขยันหมั่นรดน้ำพรวนดิน ต้องดูแลป้องกันโรคอีกด้วย ไม่อย่างนั้นพอครบปี อาจจะได้กินกล้วยเหมือนกัน แต่เป็นกล้วยผลผอมๆ แกร็นๆ ไม่ได้เต็มหวีเต็มเครือ เหมือนของชาวบ้านเขา แล้วถ้าถามว่าในระหว่างนั้นไม่ได้ผลอะไรเลยหรือ ก็ตอบว่า...ได้ ได้ตั้งแต่วันปลูกนั่นแหละ พอปลูกเสร็จก็ได้รับผลดีระดับต้น คือได้ความสบายใจว่า เราได้ทำงานถูกต้องตามฤดูกาลแล้ว และในระหว่างนั้นก็ยังได้ผลตามมาอีกเป็นลำดับๆ ตั้งแต่ได้ใบตองมาห่อขนม ได้หัวปลีมาจิ้มน้ำพริกกิน แต่มันก็ยังไม่ได้กินผลกล้วยสักที ต้องรอถึงปลายปีโน่นแน่ะ ผลดีระดับที่ ๑ เวลาทำความดีก็เช่นกัน ทันทีที่ทำเสร็จ ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ก็ตาม เราก็ได้รับผลดีในขั้นต้นทันที คือได้รับความสบายใจว่าเราได้ทำความดีแล้ว ผลดีระดับที่ ๒ เมื่อเราทำความดีซ้ำแล้วซ้ำอีกติดต่อกัน ผลแห่งความดีในระดับที่ ๒ ก็จะตามมา คือบุคลิกจะดีขึ้น อุปมาเหมือนกับได้ใบตอง มาห่อของห่อขนมนะ ผลดีระดับที่ ๓ ครั้นทำซ้ำอีกต่อไปเป็นแรมเดือนแรมปี ผลแห่งความดีในระดับที่ ๓ จึงจะออก คือไม่ว่าจะหยิบจะทำอะไร ก็รู้สึกว่าจะมีโชค มีลาภ หรือคล่องตัวขึ้น ทำงานการสำเร็จทุกอย่าง อุปนิสัยใจคอก็ดีขึ้นจนผิดสังเกต อุปมาเหมือนได้หัวปลีมากินอย่างนั้นแหละ ผลดีระดับที่ ๔ ถ้าทำซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ยอมหยุดยั้ง ผลแห่งความดีที่ตามมา คือเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปในสังคม เราปลูกกล้วย กว่าจะได้กินผลของมัน ยังต้องรอเป็นปี การทำความดีกว่าจะเห็นผลจนสังคมยอมรับ ก็เป็นธรรมดาต้องอาศัยเวลาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าใจร้อนคนส่วนมากเวลาทำความดีมักเข้าข้างตัวเอง อยากให้ความดีส่งผลเร็วทันใจ ส่วนความชั่วที่เคยทำมาแล้วเท่าไรๆ กลับนึกบนบานศาลกล่าวว่า อย่าให้มันตามมาทันเลย แต่เวลาคนอื่นทำความชั่ว โดยเฉพาะถ้าเดือดร้อนมาถึงตนด้วย จะนึกอยากให้ผลแห่งความชั่วนั้นตามมาถึงเขาเร็วๆ ลืมนึกถึงความดีที่เขาเคยทำไว้ จนกระทั่งคนดีเกิดสงสัยว่าทำดีได้ดีจริงหรือในบรรดาคนใจร้อนทั้งหลาย ที่อยากให้กรรมส่งผลทันตาเห็นนั้น จริงๆ แล้วเขาคิดแต่เฉพาะที่จะได้ผลประโยชน์ คือถ้าสมมุติว่าเขาให้ทานปุ๊บก็รวยปั๊บทันทีเขาถูกใจ ตรงข้ามถ้าเขาโกหกปุ๊บ ฟันหักหมดปากปั๊บ เขากลับนึกว่าไม่ยุติธรรม คนเรามักเป็นเสียอย่างนี้ คือเข้าข้างตัวเอง และเพราะใจร้อนถึงได้เกิดสงสัยกฎแห่งกรรมอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไปขอให้เลิกใจร้อน อย่าเข้าข้างตัวเอง รู้จักทำใจให้เป็นกลางๆ ให้ความยุติธรรมแก่สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว แต่การจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยการนั่งสมาธิมากๆ เท่านั้น

ไมโครเวฟ กับ อาหารแช่แข็ง


ช่วงฝนตกแบบนี้ หนุ่มสาววัยทำงานตลอดจนนักเรียนนักศึกษา คงจะเคยฝากท้องไว้กับร้านอาหารสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง ที่มีอยู่แทบทุกหัวระแหง และมีบริการขนม ของว่าง หรือกระทั่งอาหารกล่องแช่แข็งให้เลือกกันหลายเมนู เพียงจ่ายเงินแล้วให้พนักงานยัดอาหารกล่องแช่แข็งเมนูโปรดเข้าไปในเตาอบ ไมโครเวฟ ไม่กี่นาที อาหารแช่แข็งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเมนูจานร้อนหอมฉุยพร้อมเสิร์ฟ...สุดสะดวก แบบนี้ มั่นใจว่าต้องมีคนใช้บริการไม่น้อยแน่ๆแต่เท่าที่สังเกตพฤติกรรมการนำอาหารแช่แข็งเหล่านั้นเข้าเตาอบไมโครเวฟ ส่วนใหญ่มักจะคล้ายๆ กัน คือ หากเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ก็มักจะฉีกซองออกเล็กน้อย หรือเจาะให้ทะลุเป็นรูๆ แล้วเอาเข้าอบทั้งหีบห่อพลาสติก แต่ถ้าหากเป็นอาหารชนิดของว่างประเภทซาลาเปา จะเอาออกจากห่อใหญ่ที่แช่แข็งไว้ แล้วนำมาใส่ในถุงพลาสติกใสอย่างหนา แล้วจึงนำเข้าอบทั้งพลาสติกดังกล่าว...บางคนกินบ่อยจนรู้สึกชินตากับพฤติกรรมและรูปแบบของการอบอุ่นอาหารแช่แข็งเช่นนี้ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัย ของการอบอาหารทั้งบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ห่อหุ้มอยู่ ว่าความปลอดภัยจากการปนเปื้อนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน"ขึ้นอยู่กับพลาสติก ว่ามันเป็นพลาสติกชนิดไหน ถ้าเป็นพลาสติกที่ได้มาตรฐาน และระบุชัดเจนว่า สามารถใช้อบในไมโครเวฟได้ อันนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหามันจะมาอยู่ที่พลาสติกที่ห่ออาหารนั้นๆ มันเป็นพลาสติกทนความร้อนที่สามารถใช้อบในไมโครเวฟได้ทุกชนิด ทุกยี่ห้อ ทุกผลิตภัณฑ์หรือเปล่า อันนี้เป็นประเด็นของร้านที่ต้องรับผิดชอบเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค"รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอธิบาย ก่อนจะขยายวงออกไปถึงเรื่องของการอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟในครัวเรือนด้วย"และนอกจากที่เราอาจจะต้องเจออาหารแช่แข็งอุ่นทั้งพลาสติกตามร้านสะดวกซื้อแล้ว โอกาสที่เราจะซื้อมาแช่ไว้ในตู้เย็นแล้วบริโภคกันในบ้านก็เป็นสิ่งที่หลายครอบครัวทำกัน เนื่องจากสะดวกรวดเร็ว"รศ.ดร.วินัย กล่าวต่ออีกว่า บางบ้านอาจจะเลือกความสะดวกโดยการอุ่นทั้งบรรจุภัณฑ์อย่างที่เห็นพนักงานใน ร้านทำ แต่บางบ้านอาจจะใช้วิธีแกะออกจากพลาสติกใส่จาน จากนั้นจึงทำไปเข้าไมโครเวฟเพราะคิดว่าปลอดภัยกว่า"จริงๆ แล้วการเลือกภาชนะใส่อาหารเพื่อนำเข้าเตาอบไมโครเวฟก็ต้องเลือกดีๆ และยังมีคนอีกจำนวนมากที่เข้าใจผิดอยู่ ภาชนะที่ดีที่สุดในการใส่อาหารเข้าอบในไมโครเวฟ คือ ภาชนะถูกทำขึ้นเพื่อใช้ในการอบในเตาไมโครเวฟโดยเฉพาะ แต่หากไม่มีก็สามารถใช้จานกระเบื้องเนื้อหนาแทนก็ได้ ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือคนมักจะใช้จานหรือชามกระเบื้อง แต่ไม่ได้คำนึงว่าเป็นจานชามเนื้อเกลี้ยงๆ หรือมีการวาดลายลงสี อันนี้อันตรายมาก เพราะจานชามกระเบื้องเนื้อหนาทนความร้อน และสามารถเอาเข้าไมโครเวฟได้จริง แต่พวกลายสี หรือขอบเงินขอบทองที่ถูกเขียนไว้ อันนี้ไม่ทนความร้อนครับ ละลายได้และจะปนเปื้อนในอาหาร เมื่อกินอาหารเข้าไป สิ่งเหล่านี้ก็จะไปสะสมเป็นพิษอยู่ในร่างกาย"ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ผู้บริโภคควรทำ นอกจากจะดูแลเรื่องการเลือกภาชนะมาอุ่นอาหารในไมโครเวฟที่บ้านแล้ว สำหรับมิติของร้านสะดวกซื้อ ผู้บริโภคควรดูที่บรรจุภัณฑ์ หากเป็นพลาสติกที่สามารถอบในไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย จะมีคำบ่งชี้ เช่น Microwave Save ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์"แต่ถ้าอาหารชนิดไหนถูกนำเข้าอบโดยบรรจุภัณฑ์ไม่มีแจ้งว่าเป็นพลาสติกทนความร้อน ก็ควรจะถามพนักงานในร้าน หรือเรียกร้องไปยังเจ้าของเฟรนไชส์ร้าน ให้ชี้แจงว่าบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ดังกล่าวปลอดภัยหรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของเรา ปัญหาของผู้บริโภคบ้านเราคือ เราไม่ควรเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองทั้งที่ทำได้ต้องช่วยกันครับ เพื่อสุขภาพของเราเอง" รศ.ดร.วินัย ทิ้งท้ายในขณะที่ผศ.ดร.วรรณวิมล อารยะปราณี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวัสดุ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความกระจ่างเพิ่มเติมว่า ตามปกติพลาสติกเมื่อถูกความร้อนจะสลายตัว แต่พลาสติกที่สามารถใช้อบไมโครเวฟได้นั้น จะต้องเป็นพลาสติกที่ทนความร้อน"เมลามีน ก็ไม่ใช่พลาสติกทนความร้อน มีคนเข้าใจผิดมากเกี่ยวกับเมลามีนและใช้เป็นภาชนะเพื่ออบไมโครเวฟกันเป็น จำนวนมาก อาจจะมีการโฆษณาจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับบางครั้งที่เราเอาเมลามีนเข้าไมโครเวฟเพียง 1-2 นาที หรือ 5 นาที ความร้อนมันจะยังไม่ทำให้ละลายออกมาจนเห็นชัด แต่เมลามีนไม่ใช่พลาสติกทนความร้อนได้ถึงในระดับไมโครเวฟ และแม้จะอบและไม่ถึงขั้นละลายออกมาให้เห็นก็มีโอกาสปนเปื้อนได้"ผศ.ดร.วรรณวิมล ให้ความรู้ต่อไปอีกว่า ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยมักเข้าใจผิด คือ การใช้ฟิล์มพลาสติกถนอมอาหาร หรือทึ่คุ้นปากกันในชื่อ "แร็ป" ในการห่อ อาหารหรือหุ้มภาชนะ ก่อนจะเอาเข้าไมโครเวฟนั้นเป็นเรื่องที่ปลอดภัย เพราะในความเป็นจริงแล้วความเข้าใจดังกล่าวไม่ถูกต้องเสียทีเดียว"การแร็ป อาหารอย่างถูกต้องและปลอดภัยนั้น ต้องให้พลาสติกแร็ปอยู่สูงเหนืออาหารอย่างน้อย 1 นิ้ว หากต่ำกว่านั้นพลาสติกแร็ปมีโอกาสจะละลายลงไปในอาหารได้" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ทิ้งท้ายขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ล้มทั้งยืน...ดีกว่าล้มไม่เป็น


ล้มทั้งยืน...ดีกว่าล้มไม่ เป็น (ใยไหม)

"อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดจะนับซะอย่าง"

ถ้าสิ่งที่เราคาดหวัง...ไม่เป็นดั่งหวังถ้าสิ่งที่เราพยายามทุ่มเททำสุดแรง กายแรงใจไม่ประสบผลสำเร็จ ถ้าสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นและได้สร้างความบอบ ช้ำจนทำให้เราต้องจมอยู่กับความทุกข์

เรา กำลังก้าวสู่ "ชีวิตที่เป็นจริง" แล้วหล่ะ เพราะความเป็นจริงของชีวิต จะสอนให้เรารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้สอนให้เรารู้จักสูญเสียน้ำตา เพื่อที่จะได้รอยยิ้มคืน กลับมาเป็นรางวัลตอบแทนแต่มันก็ไม่เคยทำให้ใครหมดสิ้นความหวัง หมดสิ้นพลังและกำลังใจไปกับความพ่ายแพ้ เพียงแค่ความเป็นจริงสอนให้พวกเราทุกคนรู้ว่า

...........อย่าเพียรสร้างความหวัง แต่ให้เชื่อมั่นใความหวัง............

เพราะความเชื่อมั่นจะนำพาเราไปพบกับ "หน ทางสู่ความสำเร็จ"

แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมายกว่าจะถึงวันนั้น
แม้ว่าจะต้องล้มลงอีกสักกี่ครั้ง
แม้ว่าจะต้องผิดหวังอย่างแรงอีกสักกี่หนก็ตาม

ปล่อยให้ชีวิตผิดพลาดเสียบ้าง ปล่อยให้ความคาดหวังได้เจอกับความผิดหวัง ปล่อยให้ความฝันกลายเป็นฝันค้างลอยกลางอากาศ ปล่อยให้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แม้ว่าเกิดขึ้นแล้วจะเลวร้ายกับชีวิตก็ตามทีเพราะทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น จะช่วยสอนและช่วยเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ชีวิต ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้

คุณบอย โกสิยพงศ์ เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเล่มหนึ่ง เขาพูดให้แง่คิดที่ดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันอาจจะสร้างบาดแผลให้กับใครหลาย ๆ คนมาบ่อยครั้ง คุณบอยพูดไว้ว่า...

"ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดชีวิต ทุกอย่างมันก็รอเวลาจากเราไปทั้งนั้น เชื่อว่าถ้าชีวิตคนเราไม่ยึดติด ไม่ต้องแขวนชีวิตไว้กับความคาดหวัง เวลาที่เราสูญเสีย หรือเวลาที่เราต้องเจอกับความล้มเหลว เราคงมีภูมิต้านทานมากพอที่จะเอาไว้ต่อสู้กับความท้อแท้ อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เพราะว่าเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดที่จะนับซะอย่าง ไม่มีอะไรบนโลกที่น่ากลัว และไม่จำเป็นต้องกลัวกับความเป็นจรองของชีวิต"

"มีพบก็ต้องมีจาก มีได้ก็ต้องมีเสีย และมีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นสัจธรรม"

เมื่อไรที่เราได้รู้จักสัมผัส และได้เรียนรู้กับชีวิตทั้งสองด้าน เมื่อนั้นเราจะไม่รู้สึกเสียดายหากเราได้มีโอกาสล้มทั้งยืน แต่เราจะเสียใจไปตลอดชีวิตหากเราไม่สามารถก้าวข้ามความล้มเหลวที่ผ่านเข้ามา ได้

มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า...

การตั้งความหวัง คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายาม คือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
แต่ ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะในสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ
การไม่ เสี่ยงอะไรเลย

"ล้ม" ลงสักกี่ครั้ง ผิดหวังมาสักกี่หน ลุกขึ้นยืนให้ไกด้ แล้วสักวันเราจะเจอความสุข เพราะความสุขไม่ได้หนีจากเราไปไหนหรอก มันอยู่ใกล้เราแค่เพียงเอื้อมมือจริง ๆ ถ้าหากเราไม่ได้ไปตัดสินว่า โลกมันควรเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น และไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตัวเองมากจนเกินไป เวลาคิดหรือทำอะไรสักอย่างแล้วมีข้อบังคับ มีกรอบ และสร้างมโนภาพความสำเร็จไว้ล่วงหน้า เมื่ออะไร ๆ ไม่เป็นไปตามกฎของเรา เราก็ทุกข์ เราก็เสียใจ และเราก็ใจเสียเอาได้ง่าย ๆ

มีคนเคยบอกไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคดที่มีต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับคุณนั่นเองจะสุขหรือจะทุกข์ก็ขึ้นอยู่ ที่เราทั้งนั้นเป็นคนกำหนด ล้มทั้งยืนเสียบ้างก็คงไม่เสียหายไร แต่ล้มไม่เป็นเลยนี่สิ...

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

หากมีเพียง 100 คน .. บนโลกนี้


สิ่งที่คุณกำลังจะอ่านต่อไปนี้ ได้มาจากอีเมล์ซึ่งภายหลังได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ

บนโลกใบนี้มีคนมากกว่าหกพันล้านคนถ้าย่อโลกเหลือเป็นหมู่ บ้านที่มีคนอาศัยเพียง100คนมันจะเป็นอย่างไร

52คนเป็นผู้หญิง
48คนเป็นผู้ชาย

89คนเป็นคนรักต่างเพศ
11คนเป็นคนรักเพศเดียวกัน

30คนเป็นเด็ก
70คนเป็นผู้ใหญ่
และ7คนในจำนวนนี้แก่ แล้ว

70คนไม่ใช่คนผิวขาว
30คนเป็น ผิวขาว

61คน เป็นเอเชีย
12คนมาจากยุโรป
27คนมาจากที่อื่นๆ

ใน100คนมีคนนับถือศาสนาและพูดกันหลากหลายภาษา
ในเมื่อ มีคนหลากหลายเราจึงต้องยอมรับเรียนรู้และเข้าใจเขาให้ได้
จาก100คนในหมู่ บ้าน20คนอดอยากแร้นแค้นขณะที่1คนกำลังจะตาย
แต่อีก15คนอ้วน....ถ้าดูทรัพ สินของหมู่บ้าน 6คนมีถึง59เปอเซนกลุ่มนี้ล้วนมาจากอเมริกาทั้งสิ้นอีก74คนมีไว้39เปอเซน และ20คนเฉลี่ยกันคนละ2เปอเซน ถ้าคุณมีรถใช้แสดงว่าคุณเป็น1ใน10คนที่รวยที่สุด
75คนมีอาหารและแหล่งพัก พิงกันลมกันแดดฝน แต่อีก25คนไม่มี ถ้าคุณสามารถพูดจา/แสดงออกตามความเชื่อและสามัญสำนึกของตนเองได้โดยไม่ต้อง โดนคุกคาม กังขัง ทรมานหรือถูกฆาตกรรม นั้นแสดงว่าคุณยังโชคดีกว่าอีก48คนที่ทำไม่ได้

ถ้าคุณไม่ได้อยู่อย่างหวาดกลัวกับความตายจากโดน ระเบิด/อาวุธ เหยียบกับระเบิดหรือโดนข่มขืน นั้นแสดงว่าคุณยังโชคดีกว่าอีก20คน
ในจำนวนข้อความที่อ่านมาทั้งหมดที่ อ่านมาดูเหมือนจะน้อย แต่อย่าลืมสิว่าเราย่อจำนวนคนจากหกพันล้านคนเหลือเพียง100คนเท่านั้น
ถ้า คุณได้อ่านข้อความนี้แสดงว่าคุณยังมีชีวิตอยู่และคุณอ่านหนังสือได้ ดังนั้นจงพึงคิดไว้เถอะว่าคุณยังโชคดีกว่าใครหลายๆคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา จงใช้มันให้คุ้มค่าและถูกต้องเถอะ

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

การสอนของพระพุทธเจ้า Essence


พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ในหลักคำสอนของเขาสอนต่อไปนี้
The Four Noble Truths: Four Noble Truths :
1. All things and experiences are marked by suffering/ disharmony/ frustration (dukkha) 1 . ทุกสิ่งและประสบการณ์มีการทำเครื่องหมายโดยทุกข์แตกแยก / / แห้ว (dukkha) 2. The arising of suffering/ disharmony/ frustration comes from desire/ craving/ clinging. 2 . เกิดการแตกแยกของความทุกข์ / / แห้วมาจากความต้องการความอยาก / ความยึดมั่นเสีย 3. To achieve the cessation/ end of suffering/ disharmony/ frustration, let go of desire/ craving/ clinging. 3 . เพื่อให้บรรลุถึงการเลิก / วางความทุกข์แตกแยก / แห้ว / ปล่อยต้องการความอยาก / ความยึดมั่นเสีย 4. The way to achieve that cessation of suffering/ disharmony/ frustration, is walking the Eightfold Path . 4 . แห้ววิธีการบรรลุที่เลิก / ทุกข์แตกแยก / เดิน Eightfold Path
The eightfold path to the cessation of suffering: เส้นทาง eightfold เพื่อหยุดการดับทุกข์ :
1. Right Understanding of the following facts: 1 . สิทธิการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
the truth about suffering ... ความจริงเกี่ยวกับทุกข์ ... (The Four Truths); (The Four Truths)
everything is impermanent and changes; ทุกอย่างเป็นอนิจจังและการเปลี่ยนแปลง
there is no separate individual self- this is an illusion. ไม่มีแยกแต่ละตัวนี้เป็นภาพลวงตา (We are one!) (เราเป็นหนึ่ง!)
2. Right Determination to: 2 . การกำหนดสิทธิ :
give up what is wrong and evil; ให้ได้สิ่งที่ผิดและชั่ว
undertake what is good; ประกอบสิ่งที่ดี
abandon thoughts that have to do with bringing suffering to any conscious being; cultivate thoughts that are of loving kindness, that are based on caring for others' suffering, and sympathetic joy in others' happiness. ละทิ้งความคิดที่จะทำอย่างไรกับนำความทุกข์ใด ๆ สติเป็นความคิดที่มีการเพาะปลูกน้ำใจรักที่จะขึ้นอยู่กับการดูแลความทุกข์ของผู้อื่นและมุทิตาในความสุขของผู้อื่น
3. Right Speech: 3 . Speech Right :
Abstain from telling lies. งดบอกอยู่
Abstain from talk that brings harm or discredit to others (such as backbiting or slander) or talk that creates hatred or disharmony between individuals and groups. งดพูดที่นำอันตรายหรือความไม่น่าเชื่ออื่น (เช่นการลอบกัดหรือใส่ร้าย) หรือพูดที่สร้างความเกลียดชังหรือการแตกแยกระหว่างบุคคลและกลุ่ม
Abstain from harsh, rude, impolite, malicious, or abusive language. งดรุนแรง, หยาบคายภาษาไม่สุภาพ, เป็นอันตรายหรือไม่เหมาะสม,
Abstain from idle, useless, and foolish babble and gossip. งดว่างไร้ประโยชน์และพูดพล่ามโง่และซุบซิบ Abstain from recrimination and negative statements. งบงดออกเสียงและลบจากการกล่าวหากัน
Abstain from harsh speech—practice kindly speech. งดออกเสียงพูดจากการปฏิบัติรุนแรงคำพูดกรุณา
Abstain from frivolous speech—practice meaningful speech. งดการพูดเล่น ๆ คำพูดมีความหมาย
Abstain from slanderous speech—practice harmonious speech. งดการพูดใส่ร้าย - พูดสามัคคี
Speak the truth if it is useful and timely. พูดความจริงหากเป็นประโยชน์และทันเวลา Practice only necessary speech. ฝึกการพูดที่จำเป็นเท่านั้น Let your speech be filled with loving kindness. ให้คำพูดของคุณเต็มไปด้วยน้ำใจรัก Speak that which alleviates suffering. พูดในสิ่งที่ alleviates ทุกข์
4. Right Action: 4 . การกระทำ Right :
Peaceful, honorable conduct; abstain from dishonest dealings; take concrete steps necessary to foster what is good. สงบเกียรติดำเนิน; งดการติดต่อทุจริต; ใช้ขั้นตอนคอนกรีตจำเป็นต้องส่งเสริมสิ่งที่ดี
Do things that are moral, honest, and alleviate suffering. ทำสิ่งที่มีคุณธรรมซื่อสัตย์และบรรเทาทุกข์ Do not do things that will bring suffering to others or yourself. ไม่ทำสิ่งที่จะนำความทุกข์ให้แก่ผู้อื่นหรือตัวเอง
5. Right Livelihood: 5 . ชีพ Right :
Abstain from making your living from an occupation that brings harm and suffering to humans or animals, or diminish their well being. งดการใช้ชีวิตของคุณจากอาชีพที่นำอันตรายและทุกข์ทรมานกับมนุษย์หรือสัตว์หรือลดดีเป็นของพวกเขา This includes: activities that directly harm conscious beings, and activities that indirectly harm sentient beings, eg, making weapons or poisons. นี้ประกอบด้วยกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อมวลโดยตรงสติและกิจกรรมที่ทางอันตรายเทพตื่นเต้นเช่นการทำอาวุธหรือยาพิษ
6. Right Effort: 6 . พยายาม Right :
Foster good and prevent evil; Foster ดีและป้องกันไม่ให้ชั่ว
Work on yourself—be engaged in appropriate self-improvement. งานที่ตัวเอง - มีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเองที่เหมาะสม The essence of right effort is that everything must be done with a sense of proper balance that fits the situation. สาระสำคัญของความพยายามที่เหมาะสมคือทุกอย่างต้องทำด้วยความสมดุลที่เหมาะสมที่เหมาะกับสถานการณ์ Effort should be properly balanced between trying too hard and not trying hard enough. ความพยายามจะต้องสมดุลระหว่างพยายามหนักเกินไปและไม่ได้พยายามอย่างหนักพอ For example, strike the balance between excessive fasting and over-indulgence in food. ตัวอย่างเช่นสมดุลระหว่างอดอาหารมากเกินไปและหมกมุ่นเกินในอาหาร Trying hard to progress too rapidly gets poor results, as does not trying hard enough. พยายามอย่างหนักเพื่อความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกินไปรับผลดีเป็นไม่ได้พยายามอย่างหนักพอ
7. Right Mindfulness or wakefulness: 7 . สติขวาหรือความตื่นตัว :
Foster right attention. ส่งเสริมความสนใจขวา
Avoid whatever clouds our mental awareness (eg, drugs). หลีกเลี่ยงสิ่งที่เมฆรู้จิตของเรา (เช่นยา)
Systematically and intentionally develop awareness. ระบบและตั้งใจพัฒนาความตระหนัก
8. Right Concentration: 8 . ความเข้มข้น Right :
Developed by practicing meditation and/or mental focusing. การพัฒนาโดยการฝึกสมาธิและ / หรือจิตมุ่งเน้น Proper meditation must be done continuously while awake, and should include work on awareness of body, emotions, thought, and mind objects. สมาธิที่ถูกต้องจะต้องทำอย่างต่อเนื่องในขณะที่ตื่นตัวและควรจะทำงานในการรับรู้ของร่างกายอารมณ์ความคิดและวัตถุใจ
Five basic precepts: ศีลห้าพื้นฐาน
1. Abstain from killing living beings (from destroying/taking life)—or practice love . 1 . งดเว้นจากการฆ่าเทพอยู่ (จากการทำลาย / การชีวิต) หรือการปฏิบัติ - love 2. Abstain from taking the not-given (from stealing)—or practice generosity, practice giving . 2 . งดเว้นจากการที่ไม่ได้รับ (จากการขโมย) - ใจดีปฏิบัติหรือปฏิบัติให้ 3. Abstain from sexual misconduct—or practice contentment . 3 . งดออกเสียงจากความพึงพอใจการกระทำหรือการปฏิบัติ - ทางเพศ 4. Abstain from false speech (from lying)—or practice truthfulness . . งดออกเสียงจากเท็จ (จากการพูดโกหก) - ฝึกใจจริงหรือ 4 5. Abstain from taking intoxicating drinks—or practice awareness and mental clarity . 5 . งดเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาการ - รู้ปฏิบัติหรือความชัดเจนและจิตใจ
Buddha said: พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
Do not believe in anything simply because you have heard it. ไม่เชื่อในสิ่งใดเพียงเพราะคุณเคยได้ยินมัน Do not believe in traditions because they have been handed down for many generations. ไม่เชื่อในประเพณีเพราะมีคนลงมาหลายชั่วคน Do not believe anything because it is spoken and rumored by many. ไม่เชื่ออะไรเพราะพูดและฉาวโดยมาก Do not believe in anything because it is written in your religious books. ไม่เชื่อในสิ่งใดเพราะเขียนในหนังสือศาสนาของคุณ Do not believe in anything merely on the authority of your teachers and elders. ไม่เชื่อในสิ่งใดเพียงในอำนาจของครูและผู้ใหญ่ของคุณ But after observation and analysis, when you find that anything agrees with reason and is conducive to the good and the benefit of one and all, then accept it and live up to it. แต่หลังจากการสังเกตและการวิเคราะห์เมื่อคุณพบสิ่งที่เห็นด้วยกับเหตุผลและเอื้อต่อดีและผลประโยชน์ของหนึ่งและจากนั้นยอมรับและอยู่ถึงมัน
The following prose, attributed to Buddha, is a poetic expression of the way he saw the world. ร้อยแก้วต่อไปนี้นำมาประกอบกับพระคือการแสดงออกทางบทกวีของเขาได้เห็นโลก
Buddha said: พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
I consider the positions of kings and rulers as that of dust motes. ฉันพิจารณาตำแหน่งของกษัตริย์และผู้ปกครองเป็นที่ของ motes ฝุ่น
I observe treasures of gold and gems as so many bricks and pebbles. ฉันสังเกตสมบัติทองและอัญมณีเป็นก้อนอิฐมากมายและกรวด
I look upon the finest silken robes as tattered rags. ฉันได้เห็นผ้าอ่อนนุ่มดีที่สุดเป็น rags พะรุงพะรัง
I see myriad worlds of the universe as small seeds of fruit, and the greatest lake in India as a drop of oil upon my foot. ฉันเห็นโลกมากมายของจักรวาลเป็นเมล็ดเล็ก ๆ ของผลไม้และทะเลสาบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอินเดียที่ลดลงของน้ำมันเมื่อเท้าของฉัน
I perceive the teachings of the world as the illusions of magicians. ฉันรู้คำสอนของโลกเป็น Illusions ของนักมายากล
I discern the highest conception of emancipation as a golden brocade in a dream, and view the holy path of the illuminated ones as flowers appearing in one's eyes. ฉันมองเห็นความคิดสูงสุดของการเลิกทาสเป็นผ้าสีทองในความฝันและดูเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุที่สว่างเป็นดอกไม้ที่ปรากฏในตา
I see meditation as a pillar of a mountain, nirvana as a nightmare of daytime. เห็นสมาธิเป็นเสาหลักของภูเขา, นิพพานเป็นฝันร้ายของเวลากลางวัน
I look upon the judgments of right and wrong as the serpentine dance of a dragon, and the rise and fall of belief as traces left by the four seasons. ผมมองตามคำตัดสินของขวาและผิดเป็นเต้นรำคดเคี้ยวของมังกรและเพิ่มขึ้นและลดลงของความเชื่อเป็นร่องรอยซ้ายจากสี่ฤดูกาล

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ตัน"ตั้งบริษัทใหม่ "ไม่ตัน"ทุนจดทะเบียน500ล้านทำร้านอาหารญี่ปุ่น

"ตัน ภาสกรนที" เปิดตัวบริษัทใหม่ "ไม่ตัน" ทุนจดทะเบียน 500 ล้าน ลุยทำอาการแบรนด์เนมชั้นนำจากญี่ปุ่น เตรียมเปิดรวด10ร้าน แยกเป็นโซนเจแปนนิส บาร์ แอนด์ เรสเทอรองท์ จำนวน 4 ร้าน และโซนราเมน แชมเปียน พร้อมแถลงข่าวใหญ่ 9กันยาฯ หลังพ้นชายคาโออิชิ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายตัน ภาสกรนที ได้แถลงลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยจะมีผลในวันที่ 9 กันยายนนี้ นายตันจะเปิดธุรกิจใหม่ เป็นร้านอาหารแบรนด์เนมชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ในโครงการอารีนา 10 ทองหล่อซอย 10 ดำเนินงานภายใต้บริษัท ไม่ตัน จำกัด ใช้ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ปีนี้จะเปิดธุรกิจร้านอาหารแบรนด์เนมชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ภายในโครงการอารีนา 10 ทองหล่อซอย 10

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า สำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นในโครงการดัง กล่าว แบ่งเป็น 2 รูปแบบให้บริการ คือ โซนเจแปนนิส บาร์ แอนด์ เรสเทอรองท์ จำนวน 4 ร้าน และโซนราเมน แชมเปียน 6 ร้าน โดยวางโครงสร้าง ธุรกิจและเป้าหมายการดำเนินกิจการแนวใหม่ที่สอดคล้องกับความสุขของผู้บริโภค ชาวไทยเป็นหลัก พร้อมเปิดตัวมูลนิธิตันปันเพื่อรณรงค์และสนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อมและการ ศึกษาไปพร้อมกัน

นายตัน ภาสกรนที รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จะแถลงเปิดตัวธุรกิจใหม่ในวันที่ 9 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนเหลือหุ้นอยู่ในบริษัท 6 ล้านหุ้น หรือ 3.50% อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นไม่เกี่ยวข้องการบริหารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ก่อนยื่นใบลาออก 3 วัน ได้ไปพบกับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเพื่ออำลา นายเจริญได้เลี้ยงข้าวกลางวัน และท่านยังให้คำแนะนำเรื่องทำธุรกิจว่า หากทำอะไรให้ตั้งใจทำ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติ ชน

คุมมาตรฐาน“คอนแทคเลนส์”


สธ.ออก ประกาศควบคุมมาตรฐาน “คอนแทคเลนส์” บังคับต้องมีฉลากคำเตือน-ข้อห้ามใช้เป็นภาษาไทย

วันนี้ (4 ก.ย.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้คอนเทคเลนซ์กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นไทย และเสี่ยงอันตรายต่อตาหากใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้ในทางที่ผิด ในการป้องกันปัญหาดังกล่าว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ควบคุมมาตรฐานคอนแทคเลนส์ (contact lens) หรือ เลนส์สัมผัส เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้เลนซ์ชนิดนี้

นพ.สุพรรณ กล่าวต่อว่า ตามประกาศดังกล่าว

กำหนดให้คอนแทคเลนส์เป็นเครื่อง มือแพทย์ ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยจะต้องจัดให้มีฉลากบนภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อบรรจุคอนแทคเลนส์ หรือมีไว้เพื่อขาย โดยต้องแสดงข้อความภาษาไทยที่อ่านได้ชัดเจน ทั้งนี้ จะมีภาษาอื่นด้วยก็ได้ แต่ความหมายต้องตรงกับข้อความภาษาไทย และในแต่ละรายการจะต้องแสดงชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำ บอกคุณสมบัติของเลนส์ เช่น กำลังหักเห รัศมีความโค้ง บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ให้แสดงด้วยอักษรความสูงไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร ยกเว้นคอนแทคเลนส์ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อ และสถานที่ตั้งของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมือง และประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย

โดยต้องระบุชนิดของเลนส์ให้ชัดเจน ว่า เป็นเลนส์ชนิดใช้งานเพียงครั้งเดียว หรือชนิดใส่ และถอดทุกวัน พิมพ์ด้วยอักษรสีแดง

เพื่อให้ผู้ใช้เห็นชัดเจน รวมถึงข้อความว่าโปรดอ่านเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้ และพิมพ์ข้อความว่าการใช้คอนแทคเลนส์ควรได้รับการสั่งใช้ และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ

“ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับนับตั้งแต่ถัดจากวันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป โดยผู้จดทะเบียนสถานประกอบการที่ได้ยื่นขออนุญาตผลิต หรือนำเข้าคอนแทคเลนส์ อยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ และยังไม่ได้รับอนุญาต ให้ถือว่าเป็นผู้ยื่นคำขอผลิต หรือนำเข้าคอนแทคเลนส์ โดยต้องมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในคำขอให้มีรายละเอียดถูก ต้องตามประกาศฉบับนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตผลิต หรือนำเข้าคอนแทคเลนส์อยู่ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ จะต้องยื่นขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการตามประกาศภายใน 30 วัน และ ผ่อนผันให้ใช้ฉลากเดิมได้เป็นเวลา 180 วัน นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการ” โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าว.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด ลินิวส์

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

♣ บทเรียนที่มีค่า ♣


1 . บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด

เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียน ในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย

"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อ ว่าอะไร?"

ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง
ผมดำ และอายุกว่า 50

แต่ ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?

ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า
คำถาม ข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่

"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่

แม้ว่า พวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"

ฉันไม่เคยลืมบท เรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน

คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สายอลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชก

เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่ง ผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขาและจดที่อยู่ของเขาไปด้วย

เจ็ด วันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา ด้วยความประหลาดใจ โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบมา ด้วย ใจความว่า:

"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืน นั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ" ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล

3. บทเรียนสำคัญที่สาม – ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ

ใน สมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่ โต๊ะ เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า

"ไอ ศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?" "ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ

แล้ว เด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเ หรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่า ๆ ล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก

ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้น และพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ

เด็ก ชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง "ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป

เด็ก ชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น

มีเหรียญนิกเกิลราคา ห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่ อย่างบรรจง ข้างจานเปล่านั้น เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

4. บทเรียนสำคัญที่สี่ – สิ่งที่กีดขวางทางของเรา

ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่
เพื่อ คอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป

พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆ นานา ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา

เมื่อเขาเดินมาถึงหิน ผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

เมื่อเขา หยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า

ทองในถุง นั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา

5. บทเรียนสำคัญที่ห้า – ให้เมื่อมีค่า

หลายปีมาแล้วเมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรง พยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็นโอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือ ต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ

ผู้ซึ่งรอดจากโรค ร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่ ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า

"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้" เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ

"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?" ด้วยความเป็นเด็กเขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ