วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความสุข ๒ ชั้น


โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง.แต่โลก ก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน
โดย
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

***อาตมา อ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย
เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำ ทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน
ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยม ที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมาก มาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
โดยจะ ว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่ง มาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป)อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)
ดัง นั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จง ดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็ จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็ จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อเพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน !
ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผล ตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพร...



ขอบคุณลานธรรมจักร

พลิกมุมคิด ชีวิตเปลี่ยน

ความจริงของชีวิตคือทุกข์ ชีวิตของเราทุกคนกำลังเดินทางอยู่ท่ามกลางทุกข์โทษภัยนานาชนิด ภัยธรรมชาติอุบัติเหตุ ไฟไหม้ โจรผู้ร้าย โรคภัยไข้เจ็บ

กล่าว ได้ว่าชีวิตของคนเราโดยทั่วไปแล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่น่าปรารถนา มากดดัน บีบบังคับชีวิตของเรามากมาย หมายถึง โลกธรรมแปดฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์

พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ชีวิตคือทุกข์ ความจริงของชีวิตคือทุกข์ หมายความว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์

สมมติว่า เรากำลังอิจฉาใครคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นอย่างมาก เพราะเห็นเขามีแต่สุขสมหวัง หรือนึกๆ ดูว่าในโลกนี้มีชีวิตใครที่น่าอิจฉาบ้าง

แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะน่าอิจฉาขนาดไหนก็ตาม เขาเหล่านั้นต่างก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางภัยอันตรายในวัฏสงสารเหมือนๆ กันทุกคน

เราทุกคนในโลกนี้ต่างอยู่ท่ามกลางโทษภัยอันตรายที่น่ากลัว ในวัฏสงสารกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปคิดน้อยใจอะไร ไม่ต้องไปคิดอิจฉาใคร ไม่ต้องรู้สึกว่า เรามีปมด้อย

ไม่ว่าเราจะเกิด มาในตระกูลดี มีฐานะร่ำรวยขนาดไหน พ่อแม่พี่น้องทุ่มเทความรักความเมตตาให้เรามากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะมีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญามากเพียงไรก็ตาม ชีวิตทุกชีวิตย่อมต้องมีอุปสรรคที่ทำให้เราต้องเจ็บกาย เจ็บใจอยู่ไม่มากก็น้อย

พระพุทธเจ้า จึงสอนให้เราต้องสร้างกำลังใจให้หนักแน่น ให้พร้อม ถ้าเราประมาท ชีวิตก็จะพังทลายได้ง่ายๆ

อย่างที่เราก็มองเห็น ตัวอย่างอยู่บ่อยๆ เมื่อผิดหวังในชีวิตแล้วก็ทำใจไม่ได้ ทุกข์ทรมานใจจนถึงกับฆ่าตัวตายก็มี

ถ้าเรา เปิดตาเปิดใจกว้างแล้ว เราก็จะเห็นว่าโลกนี้มีคำสอนดีๆ ที่มีคุณค่ามากมาย

เราสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ชีวิตคนอื่น คำสอนต่างๆ จากนักปราชญ์ นักบุญ ครูบาอาจารย์ มีมาตั้งแต่โบราณกาล มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก จากฮีบรู อาหรับ จีน ทิเบต อินเดีย ฯลฯ

คำสอนต่างๆ มีความเป็นสากลที่เราสามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต เมื่อเกิดทุกข์ มีปัญหาชีวิต กุญแจหรือเคล็ดลับที่จะไขปัญหาก็มีอยู่เสมอ

เมื่อมี ทุกข์เปรียบเหมือนเราตกลงจากที่สูง แต่ถ้ามีปัญญาแล้วก็เหมือนกับว่าเรามีลวดสปริงติดอยู่ที่เท้า พร้อมที่จะกระโดดหนีขึ้นมาได้ทันที

เมื่อตกลงไปข้างล่างพาตัวเองก้าว พ้นจากอุปสรรค พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าได้เสมอ

หากมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะมีทุกข์ มีวิกฤตในชีวิต ก็สามารถหาทางออกได้ในทุกสถานการณ์


ที่ มา...หนังสือ โชคดี พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

นิด้าโพลเผยประชาชนเห็นด้วยเด็กตั้ง ท้องเรียนได้


ประชาชนส่วนใหญเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์ ให้หญิงตั้งครรภ์ในวัยเรียนได้ ขณะที่ร้อยละ 34.36 ไม่เห็นด้วย ชี้เป็นการส่งเสริมเด็กทำสิ่งที่ไม่ควร...

เมื่อ วันที่ 21 ก.ค. สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์" ระหว่างวันที่ 17-19 ก.ค. 2553 จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,231 หน่วยตัวอย่าง ในทุกระดับการศึกษาและกลุ่มอาชีพ

โดยสำรวจว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ กับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์ ในมาตรา 12 ระบุให้หญิงที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน สามารถศึกษาต่อในระหว่างตั้งครรภ์

และกลับมาศึกษาได้อีกครั้งหลังคลอดบุตร โดย ร้อยละ 62.23 เห็นด้วย เพราะเป็นการให้โอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็ก และให้โอกาสเด็กที่ผิดพลาดไปและอยากกลับไปเรียน และลดปัญหาการทำแท้งที่ขัดกฎหมายและศีลธรรม ส่วนร้อยละ 34.36 ไม่เห็นด้วย เพราะไม่เหมาะสมกับสังคมไทย เหมือนส่งเสริมเด็กทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ

ทั้งนี้ หากมี พ.ร.บ.ดังกล่าว ประชาชนร้อยละ 66.21 เห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรจะเพิ่มขึ้น

ส่วน ร้อยละ 17.30 บอกว่ายังเท่่าเดิม ขณะที่ร้อยละ 8.94 บอกว่า เด็กจะละลายและมีพฤติกรรมลดลง ส่วนปัญหาการทำแท้งที่ผิดกฎหมาย ประชาชนร้อยละ 33.63 เห็นว่าเพิ่มขึ้น ขณะที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 41.19 ระบุว่าปัญหาทำแท้งจะลดลง

นอกจากนี้ ประชาชนยังได้แสดงทัศนคติ ในเรื่องการรักนวลสงวนตัว ว่า หากมี พ.ร.บ.คุ้มครองฯ
ร้อยละ 43.14 บอกว่า เด็กจะมีการรักนวลสงวนตัวลดลง ตรงกันข้ามกับร้อยละ 21.20 เห็นว่าการรักนวสงวนตัวเพิ่มตัว อย่างไรก็ตาม ประชาชนร้อยละ 27.21 เห็นว่า หลักสูตรวิชาเพศศึกษาในบ้านเรา ควรปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตร ร้อยละ 23.88 ควรปรับปรุงเทคนิคการสอน ส่วนร้อยละ 10.72 อยากให้ปรับปรุงในทุกๆ ด้าน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย รัฐ

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กว่าจะเป็น ‘ข้าวไม่ต้องหุง’ ก้าวอีกขึ้นความสำเร็จงานวิจัย

ด้วยคุณประโยชน์ของข้าว ที่มีอยู่มากมายทั้งเป็นอาหาร และเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ จากที่ผ่านมาได้มีการศึกษาวิจัยพัฒนาข้าวในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ข้าวไม่ต้องหุง อีกความสำเร็จของการพัฒนาผลิต ภัณฑ์ข้าว ที่ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ กรมการข้าว คิดค้นขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวก เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้ รับประทานข้าวสุกด้วย วิธีการแช่น้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา ซึ่งกว่าจะเป็นข้าวไม่ต้องหุง อีกก้าวความสำเร็จครั้งนี้ สำลี บุญญาวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า งานวิจัยพัฒนาข้าวมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้นำประโยชน์ข้อดีของสายพันธุ์ข้าวที่มีออกมาเผยแพร่อย่างข้าว พื้นเมืองต่าง ๆ อีกทั้งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีความ โดดเด่นในด้านต่าง ๆ เช่น การทนต่อโรคแมลง เป็นต้น


การ ศึกษาวิจัยของศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ถือเป็นอี
กความสำเร็จที่มีความหมาย ทั้งต่อผู้บริโภคและเกษตรกรซึ่งไม่เพียงเพิ่มทาง เลือกการบริโภค แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวเป็นอีกรูปแบบของการถนอมอาหารเพิ่มความ สะดวกให้กับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศ การเดินป่าหรือแม้แต่ผู้ประสบภัย ฯลฯ ซึ่ง เมื่อจะนำมาทานจะไม่ยุ่งยาก โดยการแช่น้ำเปล่าซึ่งสามารถแช่ได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำธรรมดาโดย ยังคงรสชาติ อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงานในการทำให้ข้าวสุกอีกด้วย


ขณะที่ข้าวไม่ต้องหุงเป็นอีกทางเลือกเพิ่มความสะดวกในการบริโภคข้าว แต่กว่าที่ข้าวสารเม็ดสวยจะสุกพร้อมรับประทานกับอาหารหลากหลายเมนูโดยไม่ ต้องหุงต้มแบบที่คุ้นเคย สกุล มูลคำ นักวิชาการชำนาญการศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว หัวหน้าทีมวิจัยเล่าย้อนถึงการศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวไม่ต้องหุงว่า จากการพัฒนาพันธุ์ ข้าว ที่มีคุณสมบัติพิเศษนำ มารับประทานได้โดยไม่ต้อง หุงของอินเดียตามที่มีข่าวนั้น ประกอบกับภูมิปัญญาการเตรียมข้าวนึ่งสำหรับเดินป่าของพรานพื้นบ้านที่นำข้าว เปลือกมาแช่น้ำ นึ่ง ตากให้แห้ง ตำเป็นข้าวส
ารติดตัวไปสำหรับรับประทาน เมื่อต้องการทานข้าวก็จะนำไปใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วเติมน้ำ ฯลฯ อีกทั้งจากที่เราส่งข้าวขายเป็นอันดับต้น ๆ มีข้าวหลากหลายพันธุ์ จากแนวคิดดังกล่าวจึงนำมาศึกษาวิจัย โดยทำงานร่วมกับทีมวิจัยมี จุดหมายสร้างมูลค่าให้กับ ข้าว เพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค และประหยัดพลังงานในการหุงหรือทำให้สุก


การพัฒนาข้าวไม่ต้อง หุงได้นำข้าวขาว 4 พันธุ์มาทำการทดลอง ได้แก่ ข้าว ดอกมะลิ 105 กข 39 ข้าวหลวงสันป่าตองและขาหนี่ โดยนำข้าวเปลือกที่ทำความสะอาดแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 8-12 ชั่วโมง จากนั้นนำข้าวที่แช่น้ำไปนึ่งเพื่อลดความชื้นป้องกันเชื้อรา ผึ่งแดดให้แห้งแล้ว นำไปคั่ว จากนั้นนำข้าวนึ่งที่คั่วไปสีก็จะได้ข้าวสารที่พร้อมนำไปบริโภคโดยการแช่น้ำ หรือหุง


ในวิธีการบริโภคทำ ได้ไม่ยุ่งยาก เมื่อจะนำมารับ ประทานหากนำไปแช่น้ำ ร้อนเดือด ๆ จะใช้เวลาน้อยประมาณ 15-20 นาที ส่วนถ้าแช่น้ำเย็นก็อาจใช้เวลานานขึ้นประมาณ 45 นาทีข้าวก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกับการแช่ในน้ำร้อนเหมือนกับข้าวที่หุงทานกัน ปกติ


“สาเหตุที่เลือกข้าว4 พันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ขาวดอกมะลิ 105 กข 39 ข้าวหลวงสันป่าตอง และขาหนี่มาทดลอง เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่หาได้ในพื้นที่เป็นพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มข้าวอ่อนหรือ ข้าวที่มี อมิโลสต่ำซึ่งก็น่าจะทำเป็นข้าวไม่ต้องหุงได้ดี อีกทั้งในสองพันธุ์แรกเป็นตัวแทนของข้าวเมล็ดยาว และสองพันธุ์หลังเป็นข้าวพื้นเมืองของชาวเขาเป็นตัวแทนของข้าวเมล็ดสั้น”


ขาวดอกมะลิเป็นที่ทราบกันถึงคุณภาพการหุงต้ม ขณะที่ กข 39 มีความโดดเด่นทางพันธุ์สามารถปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรังอีกยังมีความทนต่อโรค ส่วนอีกสองพันธุ์คือ ข้าวหลวงสันป่าตองและขาหนี่เป็นข้าวที่ปลูก บนพื้นที่สูงสามารถทนต่ออากาศหนาวได้ จากความโดดเด่นเหล่านี้จึงเลือกมาศึกษาโดยเฉพาะข้าวพื้นเมือง เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวและยังช่วยเกษตรกรในพื้นที่สูงให้สามารถปลูก และขายข้าวได้นอกเหนือจากการปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน

ส่วน การศึกษาเริ่มมา ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาโดยทำการทดลองพร้อมกันทั้ง 4 ชนิด เมื่อ ก่อนจะศึกษาเคยทดลองทำ ในข้าวเหนียว แต่ไม่ได้ผลเนื่องจากข้าวไม่เป็นก้อนและร่วน แต่สำหรับข้าวไม่ต้องหุงของศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ เมื่อทำเสร็จแล้วข้าวสุกจะมีลักษณะร่วนไม่จับกันเป็นก้อน


เมื่อคืนตัวเป็นข้าวสุกโดยการแช่น้ำ (ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น) สีของข้าวจะเป็นสีขาว การคืนตัวข้าวสุกมีอัตราการยืดตัวอยู่ที่ 1.2-1.3 เท่าของข้าวสาร ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ยังคงความหอมนุ่ม ขณะที่ กข 39 และทุกพันธุ์ยังคงความนุ่มอยู่ใกล้เคียงข้าวที่หุงจากหม้อหุงข้าวและทุก พันธุ์ไม่มีกลิ่นของรำหรือข้าวเปลือกเมื่อนำมารับประทาน


“กระบวนการต่าง ๆ เริ่มจากการตั้งสมมุติฐาน ทดลองผิดถูกเรื่อยมาจนมาพบวิธีการดังกล่าวซึ่งก็ยินดีที่จะเผยแพร่ความรู้ ให้กับผู้ที่สนใจ อีกทั้งการศึกษาวิจัยเรื่องข้าวไม่ต้องหุงคงต้องศึกษาเรื่องพันธุ์ที่เหมาะ สม ลดเวลาการคืนตัวให้สั้นลงกว่าที่เป็นอยู่ อย่างเช่นให้เหลือการคืนตัวเป็นข้าวสุก ที่ต่ำกว่า 20 นาทีเพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”


ข้าวไม่ต้องหุงเท่าที่มีการพูดถึงนอกจากจะไม่มี กลิ่น ในความโดดเด่นยังสามารถเก็บไว้ได้หรือหากจะนำมาทานทันทีก็สามารถทำ ได้ อีกทั้งหากต้องการนำไปหุงก็สามารถทำได้โดยข้าวจะสุกเร็วขึ้นไม่ต้องใช้เวลา นานเหมือนกับการหุงข้าวด้วยวิธีปกติ


ส่วนลักษณะของเมล็ดข้าวมี ลักษณะเช่นเดียวกับ ข้าวสาร สีจะออกเหลืองนวลไม่ขาวเหมือนกับข้าวสาร แต่เมื่อแช่ในน้ำร้อนก็จะเป็นข้าวสวยเหมือนข้าวที่หุงทั่วไป ส่วนคุณค่าทางโภชนาการจาก กระบวนการทำข้าวนึ่ง แป้งข้าวจะถูกทำให้สุกเนื้อแป้งจะเหนียวเป็นลักษณะเจลาติน สารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการจะถูกแรงดันที่เกิดจากการนึ่งดันให้กลับเข้า ไปอยู่ในแป้งเทียบกับข้าวกล้องก็จะมีคุณค่าทางโภชนาการคงเหลืออยู่ประมาณ ร้อยละ 80 แต่อย่างไรคงต้องทำการวิจัยต่อเนื่องต่อไปซึ่งแต่ละพันธุ์อาจมีคุณค่าทาง โภชนาการต่างกันไป


นอกเหนือจากความสะดวกในการรับประทานข้าวอาหารหลักของทุกครัวเรือน ข้าวไม่ต้องหุงในความสำเร็จที่เกิดขึ้นยังเป็นการเพิ่มทางเลือก ความสะดวกในการบริโภค อีกทั้งยังมีความหมายสร้างมูลค่าให้กับข้าวอีกด้วย.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด ลินิวส์


10 พฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล


บางครั้งสิ่งต่างๆ ที่เราทำเป็นประจำทุกวันก็ทำร้ายโครงสร้างของร่างกายให้เสียมสมดุลโดยที่เรา ไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมของคนทำงานแทบทั้งสิ้น เรามาดูกันค่ะว่าพฤติกรรมที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง แล้วลองตรวจเช็คดูนะคะว่าคุณทำในสิ่งเหล่านี้กี่ข้อ

1. ใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง สาวๆที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงเกินกว่า 1 นิ้วครึ่งคงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่แล้วล่ะค่ะเพราะการสวมรองเท้า ส้นสูงๆ จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ทำให้โครงสร้างของร่างกายผิดปกติและทำให้มีอาการปวดหลังตามมา


2. นั่งไขว่ห้า นี่ก็เป็นอีกพฤติกรรมที่มีคนนิยมทำกันมาก แต่ทราบไหมคะว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้าง หนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนค่ะ

3. นั่งกอดอก เวลาที่รู้สึกว่ามือไม้เกะกะ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี การกอดอกไว้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก ซึ่งการกอดอกจะทำให้หลังช่วงบนสะบัก และ หัวไหล่ ถูกยืดออก หลังช่วงบนจะค่อมและงุ้มไปด้านหน้าทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า ซึ่งมีผลต่อเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงแขน จึงอาจทำให้มืออ่อนแรง หรือมีอาการชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองด้วย เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูปไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจึงถูกจำกัด ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดศรีษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

4. นั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น หลายคนคงจะเคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาแล้ว การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้อทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ ในทางตรงข้าม ถ้านั่งเก้าอี้ให้เต็มก้นคือเลื่อนก้นให้เข้าไปถึงด้านในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยลง และเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่
5. นั่งหลังงอ
บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจที่นั่งหลังงอแต่พอนั่งไปนานๆ เราก็ค่อยๆ งอหลังลงโดยที่ไม่รู้ตัว การนั่งทำงานหลังงอหรือนั่งกลังค่อมเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
6. สะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียว
มักจะเป็นกลุ่มคุณผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีของจุกจิกใส่ไว้ในกระเป๋ามากมาย การสะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียวนานๆ จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพียงซีกเดียว ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดได้ ทางที่ดีควรสลับข้างกันสะพายบ้างหรือเปลี่ยนมาใช้วิธีถือแทนการสะพายพยายาม ทำให้ร่างกายทั้งสองซีกมีความสมดุล และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรสะพายหรือหิ้วของหนักๆ นานๆ
7. หิ้วของหนักๆ ด้วยนิ้ว
โดยเฉพาะคนที่ชอบใช้เพียงบางนิ้วในการหิ้วของ การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะทำให้เกิดพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆ แล้วกล้ามเนื้อมือและนิ้วเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กมีหน้าที่หลักคือ ใช้หยิบ, จับของเบาๆ หากต้องใช้จับหรือหิ้วของหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสีและเกิดพังผืดขึ้นในที่สุด ถ้าหิ้วของหนักมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ถูกรั้ง และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้
8. ยืนหลังแอ่น และ ยืนหลังค่อม
จำทำให้แนวกระดูกช่วงล่างแอ่นและทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา การยืนที่ถูกต้องคือ ยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย รวมถึงขณะเดินและนั่งก็ให้แขม่วท้องเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
9. ยืนพักขา
เป็นการยืนโดยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อขาข้างนั้นๆ ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป และทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้การยืนที่ถูกต้องคือต้องลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างจะไดรับ น้ำหนักเท่าๆ กัน
10. นอนขดตัว หรือ นอนตะแคง
จะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวตรง ท่านอนที่ถูกต้องที่สุดคือ ท่านอนหงาย โดยให้หน้าขนานกับเพดาน ไม่หงายไปด้านหลัง หรือ งอมาด้านหน้ามากเกินไป หมอนหนุนศรีษะก็ต้องไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างมาก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้างเพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
เป็น อย่างไรบ้างคะสำหรับพฤติกรรมทั้ง 10 ข้อนี้ คุณมีกี่ข้อคะยิ่งมีมากข้อเท่าไหร่ โครงสร้างของร่างกายก็เสียสมดุลมากเท่านั้นเพราะฉะนั้นมาปรับพฤติกรรมใน ชีวิตเสียใหม่ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายคุณนะคะ



ที่มา
ผู้หญิงนะคะ

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชายหลอดเลือดหัวใจตีบมากกว่าหญิง?!



ผู้อ่านรักษ์สุขภาพที่ไม่ต้องการให้หัวใจ อวัยวะสำคัญเจอปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ นำมาซึ่งอาการเจ็บร้าวบริเวณหน้าอกอย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อคืนวาน จำเป็นต้องรีบสำรวจตนเองก่อนว่า เข้าข่ายป่วยเป็นโรคดังกล่าวแล้วหรือไม่ ด้วยการตรวจเช็คจากปัจจัยเสี่ยง ตามคำแนะนำของนายแพทย์วิสุทธิ์ วิเวกาภิรัต อายุรแพทย์หัวใจ จากศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ระบุไว้ว่า....ปัจจัยหลักที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษหลายชนิดส่งผลหลอดเลือดเสื่อมและตีบแคบ เลือดของผู้ป่วยเบาหวานเองนั้นก็มีความผิดปกติของน้ำตาลในเลือดยังเพิ่มโอกาสให้หลอดเลือดเสียหายอีกทางหนึ่ง ผลพวงจากความดันโลหิตสูง ปริมาณไขมันในเลือดที่สูงเกินไป รวมถึงผู้ที่มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ จัดเป็นปัจจัยร้ายที่ก่อตัวทำลายหลอดเลือด ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงรอง นายแพทย์วิสุทธิ์ บอกว่า มีทั้งเรื่องของอายุที่มากขึ้น ก็มีผลให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพไปตามวัย เรื่องเพศก็เกี่ยวข้อง โดยทางการแพทย์จะพบว่า เพศชาย เกิดปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากเพศหญิงมีฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศช่วยป้องกันปัญหา แต่เมื่อเข้าสู่วัยหมดฮอร์โมนหรือวัยหมดประจำเดือน โอกาสเสี่ยงก็จะเกิดขึ้นได้เช่นกันอย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงรองที่เสริมให้หลอดเลือดหัวใจอาจตีบแคบจนทำให้หัวใจขาดเลือด เสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต คือ ภาวะเครียด ความอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เรื่องของ "ทุเรียน"


ลองอ่านกันดู...
ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายาย ที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูกคนอ้วนจะทาน ได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะ ล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ!…เนื้อ: เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียน ไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรัก งามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ ….

วิธีการไม่ยากเลยเพียงแค่….นำเนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้ง เร็วขึ้น

สรรพคุณมากมายอย่างนี้ สาวๆที่ไม่ชอบทุเรียนอาจจะต้องหัน กลับมาสนใจทุเรียนมากขึ้นแล้วละเพราะทุเรียนมีดีกว่าที่คิด จริงไหม

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เป็นตะคริว... ทำยังไง?


คำเรียกอาการปวดเกร็ง เจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเฉียบพลัน ส่วนมากมักเป็นบริเวณขา แขน แต่ก็อาจเกิดที่มือ นิ้ว และต้นคอได้เช่นกัน

แม้ว่าตะคริวจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ขาดน้ำ พักผ่อนน้อย ความเครียด เส้นประสาทเสียหายจากการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ท่าเดิมมากเกินไป แต่สาเหตุหลักที่สำคัญคือ การขาดธาตุโพแทสเซียมแมกนีเนียมและแคลเซียม สารอาหารสำคัญที่ช่วยดูแลการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อนั่นเอง

ดังนั้นวิธีป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวก็คือ การรับประทานอาหารซึ่งมีแร่ธาตุดังกล่าวอย่างเพียงพอ เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ธัญพืช พืชตะกูลถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง กล้วยหอม ส้ม แคนตาลูป และนม นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยเฉพาะก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว และพักดื่มน้ำครึ่งแก้วถึง 1 แก้ว ระหว่างเล่นกีฬาทุกๆ 10 – 20 นาที ส่วนคนที่เป็นตะคริวระหว่างนอนหลับ ควรนอนในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด เท่าไม่เหยียดตึงเกินไป เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อขาเกร็ง นอกจากนี้การห่มผ้าให้ร่างกายอบอุ่นก็ช่วยได้เช่นกัน

ถ้าสุดวิสัยเป็นตะคริว วิธีที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด คือยืด กล้ามเนื้อที่ปวด และเกร็งแข็งให้คลายออก โดยใช้ยาหม่อง น้ำมันมวย หรือครีมนวดคลายกล้ามเนื้อ อาจใช้แผ่นความร้อนหรือผ้าร้อนๆ ประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 20 นาที แล้วทิ้งช่วงไว้อย่างน้อยอีก 20 นาทีก่อนจะประคบใหม่ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หากเป็นตะคริวที่น่องควรเหยียดขาให้ตึง กระดกเท้าขึ้น อาจใช้มือดึงปลายเท้าเข้ามาหาตัวเองเพื่อช่วยอืดกล้ามเนื้อ อีกวิธีหนึ่งคือ กำหมัดหลวมๆ กดลงกลางจุดที่ปวดเป็นตะคริว ค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อย 10 วินาทีจึงกดใหม่ ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง อาการปวดจะดีขึ้น

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือ ตะคริวมักเกิดขึ้นชั่วคราวเท่า นั้นถ้า มีอาการนานกว่า 1 วันหรือเกิดขึ้นบ่อยๆ แม้จะรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มสารอาหารและรักษาอาการเบื้องต้นแล้ว แต่ยังมีอาการเกร็งโดยเฉพาะบริเวณบริเวณบั้นเอว หลัง คอ และมีอาการเจ็บลามไปที่แขนหรือขา ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุทันที


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากHEALTH & CUISINE

เตือนภัย : ตู้แอร์ในรถยนต์...เครื่องปล่อยเชื้อโรคเคลื่อนที่

ตู้แอร์รถยนต์ ไม่เพียงแค่เป็นแหล่งรวมของฝุ่นละออง แต่ยังเป็นที่อยู่ของเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หลายชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคุณและครอบครัว เพื่อสุขภาพอนามัย เราจึงควรล้างตู้แอร์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และนี่คือ 4 เรื่องที่คุณไม่รู้ ที่ควรอ่าน

ฝุ่น จาก ภายนอกรถจะเข้ามาในระบบแอร์ทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมแอร์ก็จะพัดเอาฝุ่นเล็กๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ก็ยิ่งสูดฝุ่นเข้าไปในร่างกาย สะสมไปเรื่อยๆ นานวันก็จะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาโรคภูมิแพ้ โรคเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจ

ซากแมลงที่เน่าเปื่อยตายอยู่ในตู้แอร์ เป็นสิ่งที่พบได้เสมอ และนับเป็นอันตรายที่มองไม่เห็นและส่งผลต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง นอกจากคุณจะสูดฝุ่นละอองเข้าไป คุณยังสูดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย นั่นทำให้ร่างกายรับสารและก่อให้เกิดโรคแปลกๆ ที่ไม่คาดคิดมากมาย โดยเฉพาะโรคจากการติดเชื้อในปอด และอวัยวะภายในร่างกาย

เครื่องฟอกกาศส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหลัง แต่ตัวคุณขับรถอยู่ด้านหน้า ลมแอร์ที่เป่าออกมา จึงเหมือนส่งตรงเข้าจมูก ปอด ให้สูดก่อนที่เครื่องฟอกอากาศจะฟอกอากาศ ในขณะที่การหาซื้อเครื่องฟอกอากาศคุณภาพดีมาติดตั้งต้องใช้เงินมากกว่ามาก ดังนั้นการกำจัดที่สาเหตุ ด้วยการล้างตู้แอร์จึงเป็นทางหลีกเลี่ยงโรคภัยที่ดี และประหยัดกว่า

หนึ่งในการล้างตู้แอร์ที่ได้รับการตรวจสอบและรับ รองดดยองค์การอาหารและยา คือ การนำตู้แอร์มาทำความสะอาดผ่านการล้างน้ำยาด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถแวะทำความสะอาดได้กับศูนย์บริการใกล้บ้านแอร์ในบ้าน...เครื่อง ปล่อยสาระพัดเชื้อร้าย 24 ชั่วโมง



จาก 247freemag

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

King Bhumibol Adulyadej, Rama IX





H.M. King Bhumibol Adulyadej was born in Cambridge, Massachusetts on December 5, 1927. He was the youngest son of H.R.H. Prince Mahidol and Mom Sangwalya.

Brothers and Sisters 1930With his mother and father 1927

The Lover of Music
From an early age the King has been a lover of music and an accomplished saxaphone player, with his own palace jazz band.He has composed many pieces including
The King and His People“A caring Monarch who loves his People”.Perhaps this photograph above all others signifies how the Thai people see their King.

In 1946 the King of Thailand, His Majesty King Bhumibol Adulyadej, came to the throne. He is now the longest reigning monarch in the world.He is loved and respected by his people.In a world where few monarchies survive, Thailand is both unusual and fortunate. Fortunate because of having a King who has both far-reaching knowledge and generous compassion: and unusual because throughout each year of his reign, he has become more deeply loved and respected by his subjects. Today, after having reigned for more than half a century, His Majesty King Bhumibol Adulyadej is known and admired far beyond the borders of his own country.He was born in Cambridge, Massachusetts on December 5, 1927. He married Queen Sirikit on April 28, 1950.

ภาษาน่ารู้ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาดัตช์ ภาษาอิตาเลียน ภาษาจีน


ภาษาฝรั่งเศส

สวัสดี Bonjour บง ชูร์

ขอบคุณ Merci แมค ซี่

ขอโทษ Pardon ปาร์ค ดอง

กรุณา S'll vous plait ซิล วู เปล

สบายดีไหม Comment ca va? กอมมอง ซา วะ

กี่โมงแล้ว Quelle heure est il/ แกล เลอร์ เอ ติล

อยู่ที่ไหน Ou est…? อู เอ...

ลาก่อน Au revoir โอ เครอะ วัว


ภาษาดัตช์

ยินดีต้อนรับ Welkom เวลคัม

สวัสดี Hallo ฮัลโหล

ขอบคุณ Bedankt เบอะดั๊งคท์

ขอโทษ Pardon ปาร์ดง

ไม่เป็นไร Geen dank เคน ดั๊งค์

ด้วยความเต็มใจ Graag gedaan คร้าค เคอดาน

ดอกทิวลิป tulp ทึลป์

คุณ (ผู้ชาย) meneer เมอะเนียร์

คุณ (ผู้หญิง) mevrouw เมอะเฟราว์

สาววัยรุ่น meisje เมิ้ยสเชอะ

หนุ่มวัยรุ่น jongen ยงเงิ่น



ภาษาอิตาเลียน

สวัสดี Salve ซาลเว

สวัสดี (ทักทาย) ciao เชา

สวัสดีตอนเช้า Buongiorno บุอนจอโน

ราตรีสวัสดิ์ Buonanotte บุอนนา นอตเต

ลาก่อน addio อาดดิโอ

พบกันใหม่ Ci vediamo ชิ เวดิอาโม

สบายดีมั้ย Come stai โคเม สไต

เป็นไงบ้าง Come va โคเม วา

สบายดี Bene เบเน

ก็งั้นๆ cosi cosi โคซิ โคซิ


ภาษาจีน

ขอถามหน่อย : ฉิ่งเวิ่น
ห้องน้ำอยู่ไหน : สี่โส่วเจียน ไจ้หนาลี่
คุณรู้ภาษาจีนไหม : หนี่ฮุ่ยจงเหวินมา
คุณพักอยู่ที่ไหน : หนี่จู้จ้ายหน่าร
กรุงเทพฯ : ม่านกู่
ตื่นนอน : ฉี่ฉวาง
อาบน้ำ : สีจ่าว
กรุณารอสักครู่ : ฉิ่งเติ้งอี้เติ่ง

ฉันอยากไปเดินช็อปปิ้ง : หวอเสี่ยงชู่กว้าง กวาง
ที่นี่มีร้านช็อปปิ้งไหม : เจ้อหลี่โหย่วซางฉ่างมา
ที่นี่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับอะไร : เจ้อหลี่ เสิ่นมะตงซีโหย่วหมิง
ฉันอยากซื้อ.....: หว่อเหย้าหม่าย.....
ซื้อได้ที่ไหน : ไจ้หนาหลี่หม่าย
ฉันหาซื้อเสื้อหนาว : หว่อเหย้าหม่ายเหมี่ยนยี่
ฉันหาเสื้อหนาว : ฆว่อเหย้าจ่าวไหว่เท่า
เท่าไร : ตัวเส่า
นี่ราคาเท่าไร : เจ้อเกอาตัวเส่าเฉียน
แพงเกินไป ขอบคุณ : ไท่กุ้นเลอ เซี่ยเซี่ย
แพงมาก : เหิ่นกุ้ย
ลดราคาหน่อยได้ไหม : เขออี้ เผี่ยนอี้ อิเตี่ยนมา
นิดหน่อย : อี้เตี่ยน
มากเกินไป : ไท้ตัวเลอ
มากๆ : ตัว
น้อยมาก : เส่า
มีเบอร์ใหญ่ไหม (เล็กไหม) : โหย่วต้าเฮ้ามา (เสี่ยวเฮ้า)
ตกลง : ห่าว
ไม่ตกลง : ปู้ห่าว
คุณยังไม่ได้ทอนเงิน : หนี่ไหเหมายโหย่วจ่าวเฉียน
ไม่เป็นไร : เหมยกวนซี
ขอโทษ : ตุ้ยปู้ฉี่
ชิมหน่อยได้ไหม : ฉางอี้ฉางเขออี่มา

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เดนมาร์กอันดับ1ไทยอันดับ79 Happyที่สุดในโลก

"ฟอร์บส" ได้จัดอันดับประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก โดยทำการสำรวจความเห็นจากประชาชนใน 155 ประเทศ ระหว่างปี 2548-2552

สำหรับประเทศที่มีความสุขติดอันดับต้นๆ ของทำเนียบฟอร์บสกระจุกตัวอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย โดยแชมป์ตกเป็นของ "เดนมาร์ก" ตามมาด้วย "ฟินแลนด์" ที่อยู่อันดับ 2 และ "นอร์เวย์" ในอันดับ 3 ส่วนอันดับ 4 มี 2 ประเทศ ได้แก่ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์

ขณะที่ไทย ติดอันดับ 79 ส่วนสิงคโปร์อยู่อันดับ 81 ร่วมกับญี่ปุ่น มาเลเซีย 94 และจีนตามมาห่างๆ ที่อันดับ 125

จิ ม ฮาร์เตอร์ ประธานฝ่ายวิทยาศาตร์ของแกลลัพ ซึ่งจัดทำโพลนี้ ระบุว่า ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียมีผลงานที่ดี และหนึ่งทฤษฎีที่อธิบายว่าทำไมคือคนในประเทศเหล่านี้ได้รับความต้องการพื้น ฐานในระดับที่มากกว่าประเทศอื่นๆ และความต้องการพื้นฐานนี้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และความเป็น อยู่ที่ดี

ผลสำรวจพบว่า เงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนต่อความสุขของคน เพราะมีความเกี่ยวพันระหว่างความพึงพอใจในชีวิตกับรายได้ อย่างกรณีของเดนมาร์กมีจีดีพีต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 36,000 ดอลลาร์ในปี 2552 ซึ่งสูงกว่า 196 ประเทศ จากทั้งหมด 227 ประเทศที่มีการเก็บสถิติ

ทว่ายังมีความสุขที่มากกว่าความร่ำรวย อย่างกรณีของคอสตาริก้าที่เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุด เป็นอันดับ 6 ของโลก มากกว่ายักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐที่อยู่อันดับ 14 เพราะเครือข่ายสังคมในคอสตาริก้าแน่นแฟ้น ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติ ชน

แคลเซียม"อาหารวัยทอง"


แคลเซียม เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวนำกระแสประสาท ควบคุมการหดและคลายของกล้ามเนื้อ ควบคุมการแข็งตัวของโลหิต ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกอ่อนและโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่า วัยทอง

ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวันประมาณ 800-1,200 มิลลิกรัม อยู่กับอายุและเพศ ตามปกติผู้หญิงจะต้องการแคลเซียมมากกว่าผู้ชาย สตรีวัยรุ่นต้องการแคลเซียมเพื่อทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันกระดูกพรุน เมื่อมีอายุมากขึ้นสตรีวัยหมดประจำเดือน ต้องการแคลเซียมเพื่อช่วยหยุดยั้งการพัฒนาของโรคกระดูกพรุน

แคลเซียมได้จากอาหารที่บริโภคประจำวัน อาหารที่มีแคลเซียมมากได้แก่ นม ผัก ผลไม้ อาหารทะเล ปลาเล็กปลาน้อย ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลฯ ซึ่งควรจะเลือกรับประทานหมุนเวียนกันไปเพื่อให้ได้สารอาหารหลายๆ ชนิดควบคู่กันไปด้วย

การเสริมสร้างแคลเซียมให้ร่างกาย

1.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง โดยควรเน้นแคลเซียมจากผัก ผลไม้และปลา มากกว่าแคลเซียมจากนม เนย ไข่ กุ้ง ปู หอย เพราะอาหารเหล่านี้จะมีไขมันชนิดคอเลสเตอรอลสูง
2.ออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้กระดูกหนาขึ้น
3.ระวังการรับประทานอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด เช่น แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า โดนัท ฯลฯ เพราะอาหารเหล่านี้มีธาตุฟอสฟอรัสสูง ตามปกติฟอสฟอรัส จะไปรวมกับแคลเซียมเมื่อขับถ่ายฟอสฟอรัสจึงดึงแคลเซียมจากร่างกายออกไปด้วย


ที่ มา
สสส.

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เตือนภัย : ดื่มน้ำอัดลมหวานๆประจำอาจเสี่ยงกับ มะเร็งของตับอ่อน


วารสารวิชาการ "การระบาดวิทยา ตัววัดความเสี่ยงและการป้องกันมะเร็ง" ของสมาคมวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา รายงานว่า มีการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีรสหวาน จะทำให้เสี่ยงกับการเกิดเป็นมะเร็งของตับอ่อน อันเป็นมะเร็งที่ทำให้ถึงตายได้มากที่สุดชนิดหนึ่ง อย่างน่าหวาดหวั่น

รายงานผลการศึกษาส่อว่า เพียงแค่ดื่มอาทิตย์ละเพียง 2 หน ก็ทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า

ผู้ ช่วยศาสตราจารย์มาร์ค พีไรนา ของโรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา ผู้เขียนรายงานอาวุโส กล่าวว่า "ระดับน้ำตาลในเครื่องดื่มที่สูง อาจจะไปหนุนระดับอินซูลินในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งคิดว่ามีส่วนช่วยเป็นปุ๋ยให้เซลล์มะเร็งตับอ่อนเติบโตขึ้น"

ผล การศึกษาแจ้งต่อไปว่า "ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมอาทิตย์ละ 2 หนขึ้นไป จะมีอัตราเสี่ยงกับโรคสูงขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ถึงร้อยละ 87 ซึ่งไม่พบลักษณะแบบเดียวกัน เกิดในหมู่ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น".


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย รัฐ

เตือนภัย : ฝนตก ยุงลายชุกชุม ระวังไข้เลือดออกคุกคามเด็กๆ


ช่วงนี้ฝนตกชุกทุกพื้นที่ ทำให้ยุงลายเพาะพันธุ์ได้ง่าย ทั้งที่บ้านและโรงเรียน ผู้ปกครองระวังโรคไข้เลือดออกระบาดสู่เด็กๆ...


"ไข้เลือดออก" เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยทั่วไปยุงลายจะ ออกหากินกัดคนในเวลากลางวัน ยุงลายจะเพาะพันธุ์ในน้ำใสสะอาดและนิ่ง แหล่งเพาะพันธุ์ส่วนใหญ่คือภาชนะที่มีน้ำขัง เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเชื้อเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุง เตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ โดยเชื้อจะอยู่ตลอดอายุของยุง จะพบยุงลายชุกชุมมากในฤดูฝน การควบคุมยุงลายทำได้โดยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และกำจัดลูกน้ำยุงลายโดยใส่ทรายอะเบต (abate) ลงในภาชนะที่มีน้ำขัง


การติดเชื้อไว รัสเดงกี่จากยุงลายจะมีอาการอย่างไร ?

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ จะไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการจะแบ่งอาการ ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้


ไข้ ไวรัส ผู้ป่วยจะมีเพียงไข้ 2-3 วัน และอาจมีผื่นตามตัว ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ


ไข้เดงกี่ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มักมีผื่นตามตัว และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ

tourniquet test ถ้าเจาะเลือดมักจะมีเม็ดเลือดขาวต่ำ บางรายอาจมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วย


ไข้ เลือดออกเดงกี่ ผู้ป่วยมีไข้สูง 2-7 วัน มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่พบที่ผิวหนัง ตับโต และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ tourniquet test ลักษณะเฉพาะของโรคคือ มีการรั่วของพลาสมาหรือน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือด ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะช็อกได้ โดยส่วนใหญ่จะมีการรั่วของพลาสมาประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังจากระดับเกล็ดเลือดลดต่ำลง

ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร ?

การดำเนินโรค แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้


ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ติดต่อกันเป็นเวลา 2-7 วัน มักมีอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโต กดเจ็บ บางรายอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายที่ผิวหนัง มักไม่มีอาการหวัดชัดเจน


ระยะวิกฤติ
เป็นระยะที่ไข้มักลดลงอย่างรวดเร็วและมีการรั่วของพลาสมา ถ้าหากมีการรั่วอย่างมาก จะเกิดภาวะช็อกได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา มีความดันโลหิตต่ำ และอาจมีอาการเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ ในรายที่รุนแรงอาจอาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ


ระยะ ฟื้นตัว เป็นระยะที่พลาสมากลับเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไปดีขึ้น มีความอยากอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น มีผื่นเป็นวงกลมสีขาวกระจายอยู่บนปื้นสีแดง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย

ทราบได้อย่าง ไรว่าเป็นไข้เลือดออก ?

วินิจฉัย จากลักษณะอาการทางคลินิก ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ดังนี้

การตรวจนับเม็ดเลือด ในตอนต้นของระยะไข้สูง จำนวนเม็ดเลือดขาวอาจปกติหรือสูงเล็กน้อย ในตอนปลายของระยะไข้สูงจำนวนเม็ดเลือดขาวมักต่ำลง ต่อมาจะพบว่าจำนวนเกล็ดเลือดต่ำลง


การตรวจ ภาพรังสีปอด อาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด

การ ตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด การตรวจการทำงานของตับ การตรวจทางภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อ การเพาะเชื้อไวรัส เป็นต้น

การรักษาโรคไข้เลือดออก

ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไข้เลือดออก ควรได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจปริมาณเกล็ดเลือด และระดับความเข้มข้นของเลือด


ในช่วงระยะ ไข้สูง ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ระวังอาจมีการชักได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือเด็กที่มีประวัติชักมาก่อน การรับประทานยาลดไข้ควรให้ด้วยความระมัดระวัง และให้เป็นครั้งคราวเวลาที่มีไข้สูงเท่านั้น กรณีจำเป็นต้องให้ยาลดไข้ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้จำพวกแอสไพริน เนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก


ในกรณีที่เริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤติ หรือระยะที่มีการรั่วของพลาสมา แพทย์จะพิจารณารับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล


ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหารมาก ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ถ่ายปัสสาวะน้อยลง อาเจียนมาก ปวดท้องอย่างรุนแรง ซึม มีอาการแย่ลงเมื่อมีไข้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น อาจเป็นอาการนำของภาวะช็อก ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

คำแนะนำ

ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง ระวังไม่ให้ยุงกัดในเวลากลางวัน และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

โรงพยาบาลเวชธานี

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พระองค์คือพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย


พระองค์คือพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยและปวงชนชาวไทยตลอดมานับตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติพระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ในการที่จะทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอุทิศพระชนม์ชีพเพื่อควา,เจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและเพื่อความสุขของประชาชนชาวไทยพระองค์ทรงใช้เวลาส่วนมากแต่ละปีเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรมที่พระตำหนักตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศเพื่อทรงเยี่ยมเยือนประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรตามชนบท เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบถึงความทุกข์สุขและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ด้วยพระองค์ ์เองเมื่อประชาชนมีปัญหาในการประกอบอาชีพ เช่น พื้นที่มีน้ำท่วมในหน้าฝนหรือพื้นดินแห้ง แล้งในหน้าแล้ง ไม่มีแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมตลอดปีทำให้ไม่มีที่ดินทำกินพื้นที่บางแห่งมีการตัดไม้ทำลายป่ามากเป็นการทำลายต้นน้ำลำธารทำให้ขาดน้ำเพื่อการเกษตรหรือทำให้เกิดดินถล่ม สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาของเกษตรกรที่จะต้องได้รับการแก้ไขพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลำบากตรากตรำเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกหนทุกแห่งในพื้นที่ทุรกันดารท่ามกลางแสงแดดหรือสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายเพื่อทรงหาทางช่วยเหลือ ประชาชนที่ยากจนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโครงการช่วยเหลือของพระองค์หลายโครงการคือ โครงการตามพระราชประสงค์ โครงการหลวง โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์โครงการตามพระราชดำริและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ


โครงการช่วยเหลือของพระองค์
๑. โครงการตามพระราชประสงค์ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการศึกษาทดลองปฏิบัติการพัฒนาด้านต่างๆ เมื่อได้ผลก็จะนำมาช่วยเหลือประชาชน
๒. โครงการหลวงเพื่อพัฒนาและบำรุงรักษาต้นน้ำลำธารในบริเวณป่าเขาทางภาคเหนือและพัฒนาชาวไทยภูเขาในพื้นที่ ให้เลิกตัดไม้ทำลายป่า เลิกปลูกพืชเสพติด ให้หันมา ปลูก พืชเมืองหนาวแทน ปรากฏว่าได้ผลดี สามารถนำผลผลิตออกมาขายได้
๓. โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์พระราชทานข้อแนะนำและแนวพระราชดำริให้เอกชนไปดำเนินการเช่น โครงการพัฒนาหมู่บ้านสหกรณ์เนินดินแดง อำเภอทับสะแก จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
๔. โครงการตามพระราชดำริเป็นโครงการที่ทรงวางแผนพัฒนาแล้วพระราชทานเป็นแนวทางให้รัฐบาลร่วมดำเนินการ
๕.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นโครงการเช่นเดียวกับโครงการตามพระราชดำริ ทรงเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ขณะนี้มีกว่า ๓,๐๐๐ โครงการ ซึ่งโครงการนี้มีหลายประเภทด้วยกันคือ การเกษตร สิ่งแวดล้อมการพัฒนาแหล่งน้ำการคมนาคม การศึกษา การส่งเสริมอาชีพ การสวัสดิการสังคมการ สาธารณสุข และอื่นๆ
การพัฒนาในสาขาต่างๆ นั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าการที่จะได้ผลอย่างสมบูรณ์ควรดำเนินการให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นจึงได้มีพระราชดำริจัดตั้งศูนย์ศึกษาการ พัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมที่จะทำการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัยและแสวงหาแนวทางตลอดจนวิธีการพัฒนาด้านต่างๆ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละภูมิภาคปัจจุบันได้มีการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว ๖ ศูนย์ คือ
๑. ภาคเหนือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัด เชียงใหม่
๒. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร
๓. ภาคกลางศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัด ฉะเชิงเทรา
๔. ภาคตะวันออกศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
๕. ภาคตะวันตกศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัด เพชรบุรี
๖. ภาคใต้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส
เรื่องศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ พระองค์ทรงมีพระราชาธิบายตอนหนึ่งว่า ".. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ เป็นที่รวบรวมกำลังทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ ทุกกรม กอง ทั้งในด้านการเกษตรหรือในด้านสังคมทั้งในด้านหางาน การส่งเสริมการศึกษามาอยู่ด้วยกันก็หมายความว่าประชาชน ซึ่งจะต้องใช้วิชาการทั้งหลายก็สามารถที่มาดู ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ให้ความอนุเคราะห์แก่ประชาชน ก็มาอยู่พร้อมกัน ในที่เดียวกัน ซึ่งเป็น ๒ ด้าน ก็หมายถึงว่าที่สำคัญปลายทาง คือประชาชน จะได้รับประโยชน์..."

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Le mardi gras


Le mardi gras
Mardi gras est une fête catholique qui marque, en apothéose, la fin de la « semaine des sept jours gras » autrefois appelés jours charnels. Cette période pendant laquelle on festoyait précède le mercredi des Cendres marquant le début du Carême. De nombreux carnavals ont lieu le Mardi gras.En Europe, la baisse des pratiques religieuses d'abstinence durant le Carême a rendu les festivités des jours gras bien moins intenses. Aux États-Unis, à la Nouvelle-Orléans, Mardi gras est une fête très importante et réputée.

http://fr.wikipedia.org/wiki/Mardi_gras

คำว่า Mardi ความหมายแท้จริงคือ วันของเดือนมีนาคม และวันที่สามของสัปดาห์ ซึ่งหมายถึงวันอังคาร คำว่า gras แปลว่าเต็มไปด้วยไขมัน เมื่อ Mardi-Gras มาอยู่ด้วยกัน หมายถึง วันอังคารที่รับประทานอาหารมากๆ วันมาร์ติกรา คือวันอังคารก่อนวันเข้าพรรษา ( le carême ) วันเข้าพรรษาหรือ le carême เริ่มต้นวันที่ 4 ของสัปดาห์ คือวันพุธเนื่องจากสมัยก่อนผู้คนเคร่งครัดศาสนา ในช่วงเวลา 40 วัน ซึ่งเป็นช่วงเข้าพรรษาคริสต์ศาสนิกชนจะอดอาหารเพราะฉะนั้นก่อนที่จะอดอาหารถึง 40 วันนี้จึงมีการรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหนำสำราญวัน Mardi-Gras ควรจะอยู่ในเดือนมีนาคม แต่โดยมากจะอยู่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ วัน Mardi-Gras ไม่นับเป็นวันหยุดราชการของฝรั่งเศส

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง"

ทฤษฎีว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรแหล่งน้ำในบรรยากาศ " ฝนหลวง "
ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงเยี่ยม
พสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือย่านบริเวณเทือกเขาภูพานทรงสังเกตว่ามีปริมาณเมฆมากปกคลุมเหนือพื้นที่ระหว่างเส้นทางบินแต่ไมสามารถรวมตัวจนเกิดเป็นฝนตกได้ ทั้งที่เป็นช่วงฤดูฝน และทรงพบเห็นว่าหลายแห่งประสบปัญหาพื้นดินแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค บริโภคและการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูกเกษตรกรมักประสบความเดือดร้อนจากภาวะฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงในระยะวิกฤติของพืชผล ทำให้ผลผลิตต่ำหรืออาจไม่มีผลผลิตเลย และอาจทำให้ผลผลิตที่มีอยู่เสียหายได้จึงเป็นความเดือดร้อนอย่างสาหัสและก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ แก่เกษตรกรอย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้ความต้องการใช้น้ำมีมากขึ้น เพราะการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมเกษตรกรรม และการเพิ่มขึ้นของประชากร ซึ่งมีผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนจากทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ซึ่งเห็นได้ชัด จากปริมาณ น้ำในเขื่อนภูมิพลที่ลดลงอย่างน่าตกใจ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรงความอัจฉริยะของพระองค์ด้วยคุณลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ ทรงสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้น และได้มีพระราชดำริครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2498แก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ว่าจะทรงค้นหา วิธีการที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับจากธรรมชาติ โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์กับทรัพยากร ที่มีอยู่ให้ เกิดมีศักยภาพของการเป็นฝนให้ได้ "ฝนหลวง" หรือ"ฝนเทียม"จึงกำเนิดขึ้นโดยประยุกต์ผลการวิจัยค้นคว้าทางวิชาการด้านฝนเทียมของประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอิสราเอล ภายใต้การพระราชทานข้อแนะนำจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่าง ใกล้ชิดพร้อมกันนี้ได้มีการจัดตั้ง "สำนักงานปฎิบัติการฝนหลวง" ขึ้น เพื่อรับผิดชอบการดำเนินงานฝนหลวงในระยะต่อ มาจนถึงปัจจุบัน พระบรมราโชบายในการพัฒนาโครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง" ทรงเน้นความจำเป็นในด้านพัฒนาการ และปรับปรุงวิธีการทำฝนในแนวทางของการออกแบบการปฎิบัติการ การ ติดตามและประเมินผลที่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ตลอดจนความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษารูปแบบเมฆและการปฎิบัติการทำฝนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ทรงย้ำถึงบทบาทของการดัดแปรสภาพอากาศหรือการทำฝนว่าเป็นองค์ประกอบ
ที่สำคัญอันหนึ่งในกระบวน การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำ ทรงเน้นความร่วมมือประสานงานของหน่วยงานและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นกุญแจสำคัญในอันที่จะทำ ให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวิเคราะห์การทำฝนหลวงว่ามี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวน เป็นการกระตุ้นให้เมฆรวมตัวเป็นกลุ่มแกน เพื่อใช้เป็นแกนกลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝนในระยะต่อมา สารเคมีที่ใช้ ได้แก่แคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมคาร์ไบด์ แคลเซียมอ๊อกไซด์ หรือสารผสมระหว่าง เกลือแกงกับสารยูเรีย หรือสารผสม ระหว่างสารยูเรียกับแอมโมเนียมไนเตรท ซึ่งสารผสมดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดกระบวนการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศ

ขั้นตอนที่ 2 เลี้ยงให้อ้วน ขั้นตอนนี้ใช้สารเคมี คือ เกลือแกง สารประกอบสูตร -ท.1 สารยูเรีย สารแอมโมเนียไนเตรท น้ำแข็งแห้ง และอาจใช้สารแคลเซียม - คลอไรด์ร่วมด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มแกนเม็ดไอน้ำ (Nuclii) ให้กลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากขึ้น ขั้นตอนที่ 3 โจมตี สารเคมีที่ใช้ในขั้นตอนนี้เป็นสารเย็นจัด คือซิลเวอร์ไอโอได น้ำแข็งแห้ง เพื่อทำให้เกิดภาวะความไม่สมดุลมากที่สุด ซึ่งจะเกิดเป็นเม็ดน้ำที่มีขนาดใหญ่มาก และตกกลายเป็นฝนในที่สุด อย่างไรก็ดี ทุกขั้นตอนจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกใช้สารเคมีในปริมาณที่พอเหมาะ ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศ ทิศทางและความเร็วของลม ตลอดจนกำหนดบริเวณหรือแนวพิกัด ที่จะโปรยสารเคมี บทบาท "ฝนหลวง" วันนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรในช่วงที่เกิดภาวะฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงยาวนานเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำ ให้กับพื้นที่ลุ่มรับน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ ที่มีปริมาณน้ำต้นทุนลดน้อยลง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค เสริมสร้างเส้นทางคมนาคมทางน้ำ เป็นการเพิ่มปริมาณน้ำโดยเฉพาะในบริเวณแม่น้ำที่ตื้นเขินให้สามารถใช้เป็นเส้น ทางคมนาคมได้ เพื่อป้องกันและบำบัดภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อม "ฝนหลวง" ได้บรรเทาภาวะแวดล้อมเป็นพิษอันเกิดจากการระบาย น้ำเสีย และขยะมูลฝอยลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำจากฝนหลวงจะทำให้ภาวะมลพิษจากน้ำเสียเจือจางลง เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ฝนหลวงในอนาคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวความคิดให้ทำการศึกษาวิจัยพัฒนาฝนหลวงหลายประการ คือ สร้างจรวดฝนเทียมบรรจุสารเคมีจากพื้นดินเข้าสู่เมฆหรือยิงจากเครื่องบิน การใช้เครื่องพ่นสารเคมีอัดแรงกำลังสูงจากยอดเขาสู่ฐานของก้อนเมฆโดยตรง เพื่อช่วยให้เมฆที่ลอยปกคลุมอยู่เหนือยอดเขาสามารถรวมตัวหนาแน่นจนเกิดฝนตกลงสู่บริเวณภูเขาหรือพื้นที่ใต้ลมของภูเขา

ที่มา http://www.royalrainmaking.thaigov.net/index1.php

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


ทรงพระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสใน สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (MOUNT AUBURN) รัฐเมสสาชูเขตต์ (MASSACHUSETTS) ประเทศสหรัฐอเมริกา
การศึกษา
เมื่อพระชนมายุได้ 5 พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (MERRIMENT) เมืองโลซานน์ (LASAGNA) ในปี พ.ศ. 2478 ได้ทรงเข้าศึกษาต่อที่ CEDE NOUBELLE DE LA SUES ROMANCE CHILLY ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติและทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษา ดังกล่าว ทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ในระดับอุดมศึกษาทรงเข้าศึกษาใน แผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมือง โลชานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราชพระบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอ
ครองราชย์
ขณะที่พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระชนมพรรษา 18 พรรษา รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนนั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และรัฐบาลได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ บริหาร ราชกาลแผ่นดินแทนพระองค์ เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ และต้องทรงศึกษา ต่อ ณ ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ แม้พระองค์จะทรงโปรดวิชาวิศวกรรมศาสตร์แต่เพื่อประโยชน์ ในการปกครองประเทศได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาวิชาการปกครองแทนเช่น วิชากฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ ทรงศึกษา และฝึกฝนการดนตรีด้วยพระองค์เองด้วย ในพ.ศ. 2491 ระหว่างทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงขับรถยนต์ไปทรงร่วมงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้ทรงพบและมีพระราชหฤทัยสนิทเสน่หาในหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของหม่อมเจ้านักขัตมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ในปีเดียวกันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรงทรงบาทเจ็บที่พระพักตร์พระเนตรขวา และพระเศียรทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมอร์เซส์ โปรดฯ ให้หม่อมเจ้าราชวงศ์สิริกิติ์มาเฝ้าฯ ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดพระสัมพันธภาพจึงแน่นแฟ้นขึ้น และต่อมาได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2492 โดยได้พระราชทานพระธำมรงค์วงที่สมเด็จพระบรมราชนกหมั้นสมเด็จพระราชชนนี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงได้รับการอภิบาลอย่างดียิ่งจากสมเด็จพระราชชนนี จึงมีพระปรีชาสามารถปราดเปรื่องและมีพระจริยวัตรเปี่ยม ด้วยคุณธรรมทุกประการซึ่งน้อมนำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงสิริราชสมบัติเพียบ พร้อมด้วยทศพิศราชธรรม จักรวรรดิวัตรธรรมและ ราชสังคหวัตถุทรงเจริญด้วยพระเกียรติคุณบุญญาธิการเจิดจำรัส ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ ทุกทิศานุทิศในเวลาต่อมาตราบจนปัจจุบัน
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2493 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย โปรดเกล้าให้ตั้งการพระราชพิธี ถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2493 และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ที่วังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานหลั่งน้ำพระมหาสังข์ทรงจด ทะเบียนสมรสตามกฏหมายเช่นเดียวกับประชาชน และได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ หลังจากนั้น ได้เสด็จไปประทับพักผ่อน ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และที่นี่เป็นแหล่งเกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรกคือ พระราชทาน “ถนนสายห้วยมงคล” ให้แก่ “ลุงรวย”และชาวบ้านที่มาช่วยกันเข็นรถพระที่นั่งขึ้นจากหล่มดิน ทั้งนี้เพราะแม้ “ห้วยมงคล” จะอยู่ห่างอำเภอหัวหิน เพียง 20 กิโลเมตร แต่ไม่มีถนนหนทางชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตมากถนนสายห้วยมงคลนี้จึงเป็นถนนสายสำคัญ ที่นำไปสู่โครงการใน พระราชดำริ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่พสกนิกรอีกจำนวนมากกว่า 2,000 โครงการในปัจจุบัน
พระบรมราชาภิเษก
วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระมหาราชวัง เฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” และได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเป็นสัจวาจาว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสีเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี วันที่ 5 มิถุนายน 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ไปยังสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อทรงรักษา พระสุขภาพ และเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร เมื่อ 2 ธันวาคม 2494 ประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระที่นั่งอัมพรสถาน
ทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดา และพระราชโอรส 4 พระองค์ดังนี้ 1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อ 5 เมษายน 2494 ณ โรงพยาบาลมองซัวนี่ โลซานน์ 2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประสูติเมื่อ 28 กรกฏคม 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมา ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ 28 กรกฏคม 2515 3. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลนโสภาคย์ ประสูติเมื่อ 2 เมษายน 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520 4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อ 4 กรกฏคม 2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
ทรงพระผนวช
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบัติพระศาสนกิจ เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลนี้ได้ทรงพระกรุณาสถาปนาพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมชนกนาถขึ้นเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ทรงสถาปนา สมเด็จพระราชชนนี เป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลนาณิวัฒนา กรมหลวงนราธวาสราชนครินทร์ และทรงประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลใหม่ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2539 เพื่อให้สมพระเกียรติตามโบราณขัตติยราชประเพณี ทั้งนี้ด้วยพระจริยวัตร อันเปี่ยมด้วยพระกตัญญูกตเวทิตาธรรมอันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญพระปรมาภิไธยใหม่ที่ทรงสถาปนาคือ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศนิวิฐ ทศพิศราชธรรมอุกษฏนิบุณ อดุลยกฤษฏาภินิหารรังสฤษฏ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตร โสภาคย์สรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ วิศิษฏศักตอัครนเรษราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฏาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”
พระราชกรณียกิจ
ตั้งแต่พุทธศักราช 2502 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไป ทรงกระฉับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎร ในชนบทที่ดำรงชีวิตด้วยความยากจน ลำเค็ญและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทยที่รอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากนำความผาสุกและทรงยกฐานะความเป็นอยู่ ของราษฎร ให้ดีขึ้นด้วยพระบุญญาธิการและพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของราษฏร และเพื่อความเจริญพัฒนาของประเทศชาติตลอดระยะเวลาโดยมิได้ทรงคำนึงประโยชน์สุขส่วนพระองค์เลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า 2,000โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัด ปัญหาทุกข์ยาก ของประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจรอุทกภัยและปัญหาน้ำเน่าเสียในปัจจุบัน ได้ทรงริเริ่มโครงการการช่วยสงเคราะห์ และอนุรักษ์ช้างของไทยอีกด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชดำริเพื่อขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้าพระเสโทหลั่งชุ่มพระพักตร์ และพระวรกายหยาดตกต้องผืนปถพีประดุจน้ำทิพย์มนต์ชโลมแผ่นดินแล้งร้าง ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชย์ตราบจนปัจจุบัน แม้ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พึ่งตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดประกอบอาชีพอยู่กินตามอัตภาพซึ่งราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลดีอยู่ในปัจจุบัน
พระอัจฉริยภาพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความรักอันยิ่งใหญ่แก่อาณาประชาราษฎร์ พระราชภารกิจอันหนักเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์เทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลกจึงทรงได้รับการสดุดีและการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมากทุก สาขาวิชาการ ทั้งยังมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีอย่างสูงส่ง ทรงพระราชนิพนธ์เพลงอันไพเราะนับแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวม 47 เพลง ซึ่งนักดนตรีทั้งไทย และต่างประเทศนำไปบรรเลงอย่างแพร่หลาย เป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพจนสถาบันดนตรีในออสเตรเลียได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์ แด่พระองค์ นอกจากนั้นยังทรงเป็นนักกีฬาชนะเลิศรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาชีเกมส์ทรงได้รับยกย่องเป็น “อัครศิลปิน” ของชาตินอกจากทรง พระปรีชาสามารถด้านดนตรีแล้วยังทรงสร้างสรรค์งานจิตกรรมและวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ เช่นทรงพระราชนิพนธ์ แปลเรื่อง ติโตนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระและพระราชนิพนธ์เรื่องชาดกพระมหาชนก พระราชทานคติธรรมในการดำรงชีวิตด้วยความวิริยอุตสาหอดทนจนพบความสำเร็จแก่พสกนิกรทั้งปวง ปวงชนชาวไทยต่างมีความจงรักภัคดีเป็นที่ยิ่งดังปรากฏว่าในวาระสำคัญ เช่นศุภวาระเถลิงถวัลยราชครบ 25 ปี พระราชพิธีรัชดาภิเษก 9 มิถุนายน 2514 พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530 พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกทรงดำรงค์สิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ 2 กรกฎาคม 2531 มหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 9 มิถุนายน 2539 และในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 นี้ รัฐบาลและประชาชนชาวไทยได้พร้อมใจกัน จัดงานเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลด้วยความกตัญญูกตเวที สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างสมพระเกียรติทุกวาระ
ขอขอบคุณที่มาจาก : panyathai.or.th

แผนที่ชีวิต : ข้อคิดพระเจ้าอยู่หัว


1. พูดคำว่าขอบคุณให้มาก ๆ
2. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
3. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิแล้วรู้ว่าเป็นจริง
4. หากล้มลงแล้วจงอย่ากลัวที่จะลุกขึ้นใหม่
5. อย่าทำเป็นคนตรงต่อเวลา ไปถึงก่อนเวลาจะดีกว่า
6. จงถือว่าสุขภาพคือทรัพย์สมบัติประการแรก
7.ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนมาดี
8. อย่าตามใจตนเอง เรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตนเองทั้งสิ้น
9. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
10. อย่างดึงต้นกล้าให้โตไว ๆ (อย่าใจร้อน)
11. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ไท่จะลมเหลว
12. อย่าทำงานเกินเวลา จนติดเป็นนิสัย เมื่อมันกลายเป็นนิสัย จะทำให้มันหมดคุณค่า ปล่อยตัวตามสบายได้ แต่อย่าถึงกับให้ดูโทรมนัก
13. จงทำตัวให้ร่าเริง คอยช่วยเหลือและทำหน้าที่ให้ดีในการงานของคุณ
14. อย่าได้เป็นกังวลในเรื่องการปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ในสำนักงาน แต่เป็นการกังวลกับการปล่อยชีวิตคุณเปล่าประโยชน์จะดีกว่า
15. อย่าโกรธคอมพิวเตอร์ สำหรับความผิดพลาดที่คุณทำขึ้นเอง
16. ลองคิดเวลาที่คุณไม่มีเงินเดือนดูบ้าง
17. จงถือว่าสุขภาพคือทรัพย์สมบัติประการแรก
18. อย่าได้ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนไม่เคยสังเกตเห็นนก ต้นไม้ ดอกไม้ และปุยเมฆ
19. เมือใดที่สำนักงานทำให้คุณรู้สึกเศร้าสร้อย จงนึกเสียว่านี่เป็นเกมกีฬาสำหรับคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่
20. จำไว้ว่า ยังมีอะไร ๆ อีกมากมายในการทำงานในชีวิตมากกว่าการทำงานให้มีชีวิตอยู่หรือมีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใบเหลือง-ใบแดง มาจากไหน..ใครคิด?


ไอเดียการแจกใบแดง-ใบเหลือง ในการแข่งขันฟุตบอล มาจากไหนนะ แล้วใครล่ะเป็นคนคิดมันขึ้นมาการแจกใบแดง-ใบเหลือง ในการแข่งขันฟุตบอลเกิดจากความคิดริ่เริ่มของบุรุษที่มีนามว่า เคน แอสตัน สิงห์เชิ้ตดำผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากแดนผู้ดี โดยแอสตันได้รับการคัดเลือกให้เป็นกรรมการในการแข่งขันฟุตบอลโลกถึง 3 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี 1966 1970 และ1974 ตามลำดับ นอกจากนี้ เขายังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมาธิการผู้ตัดสินของฟีฟ่า เป็นเวลา 8 ปีแอสตันเผยว่า เขาได้ไอเดียการทำใบแดง-ใบเหลือง มาจากสัญญาณไฟจราจร ขณะที่นั่งอยู่ในรถซึ่งติดอยู่บริเวณสี่แยกในวันหนึ่ง โดยเขาคิดว่า น่าจะมีการนำสัญลักษณ์สีแดงและสีเหลืองของไฟสัญญาณจราจรมาปรับใช้กับการแข่ง ขันฟุตบอล โดยให้สีเหลืองแทนการเตือนนักเตะที่มีการประพฤติผิดในระหว่างเกมการแข่งขัน และสีแดงเป็นการไล่ออกในกรณีที่เป็นการกระทำผิดขั้นรุนแรงทั้งนี้ การใช้ใบแดง-ใบเหลือง เป็นสัญลักษณ์แทนคำพูดจากปากของกรรมการยังสามารถช่วยลดโอกาสในการประทะคารม ระหว่างนักเตะที่โดนใบแดง-ใบเหลือง กับกรรมการ ซึ่งบางครั้งอาจจะถูกมองว่าพูดจายั่วยุนักเตะ และยังช่วยตัดปัญหาเรื่องการใช้ภาษาในการสื่อสารในกรณีที่นักเตะ และกรรมการพูดกันคนละภาษาได้อีกด้วย เนื่องจากใบแดง-ใบเหลือง ถือเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นสากลแอสตันและเพื่อนผู้ตัดสินในฟีฟ่าเริ่มนำใบแดง-ใบเหลืองมาใช้เป็นครั้งแรกใน การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1970 ซึ่งเม็กซิโกเป็นเจ้าภาพ ทว่า กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังมิได้ถูกบรรจุไว้ในกฎกติกาสากลของการแข่งขันฟุตบอลจวบจน กระทั่งปี 1992 จึงเริ่มมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการสถิติการแจกใบแดง-ใบเหลืองมากที่สุดเป็นประวัติการในการแข่งขันฟุตบอลโลกเกิดขึ้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 ระหว่างทีมชาติฮอลแลนด์กับทีมชาติโปรตุเกส มีใบเหลืองรวม 16 ใบ และใบแดงอีก 4 ใบ โดยกรรมการผู้ซึ่งกระหน่ำควักกระเป๋าตลอดทั้งแมตช์ ก็คือ วาเลนติน อิวานอฟ สิงห์เชิ้ตดำจากแดนหมีขาว นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับ ประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุดในโลก

อันดับที่ 1

อันดับที่ 2
อันดับที่ 3

อันดับที่ 4

อันดับที่ 5

อันดับที่ 6



อันดับที่ 7

อันดับที่ 8


อันดับที่ 9


อันดับที่ 10