ในบรรดา 50 กว่าเกาะที่ว่านี่ เกาะที่สำคัญที่สุดคือ เกาะทอร์โทลา เพราะผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ แถมเมืองหลวงคือ กรุงโรดทาวน์ ก็ตั้งอยู่บนเกาะทอร์โทลานี่ด้วย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าเกาะนี้อยู่ตรงไหนของทะเลแคริบเบียน ก็ขอให้ท่านไปตั้งหลักที่สาธารณรัฐเปอร์โตริโก หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน อยู่ห่างจากเปอร์โตริโกไปทางตะวันออกประมาณ 95 กิโลเมตร ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียกหรือเขียนชื่อเต็มของเกาะนี้ เพราะยาวเกินไป ส่วนใหญ่จะเรียกเพียงย่อๆ ว่า BVI และถ้าถามว่า BVI นี่มีสถานะเป็นอย่างไร นิติภูมิก็ขอตอบว่า เป็นเขตปกครองตนเองในอาณัติของอังกฤษ ผู้คนทั้งหมู่เกาะ 21,000 คน นี่มีอาชีพทางการประมงและการท่องเที่ยว เดิมจึงเป็นดินแดนที่ยากจนข้นแค้นพอสมควร คณะปกครอง BVI จึงคิดหาสตางค์จากนักธุรกิจที่ต้องการเลี่ยงการปฏิบัติยุ่งยากและปรารถนาเลี่ยงภาษี ไม่อยากจะเสียภาษีโน่นภาษีนี่ให้กับประเทศแม่ หรือประเทศที่ตัวเองทำธุรกิจอยู่ เขียนง่ายๆก็คือ เกาะนี่เหมาะสำหรับพวกที่หากินอยู่ในประเทศหนึ่ง แต่ไม่อยากจะเสียภาษีให้ประเทศนั้น ผู้บริหารเกาะจนปัญญาหาเงินเข้าดินแดนตัวเองเหมือนดินแดนอื่น จึงหาเงินจากพวกที่มีแนวความคิดทางโกง ทางหลบๆ เลี่ยงๆ ทั้งหลาย เมื่อ พ.ศ.2527 ผู้บริหารเกาะหัวใสจึงตรากฎหมาย International Business Companies Ordinance หรือ IBC ขึ้น เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของชาวต่างชาติ จะว่าไปแล้ว บริษัททั้งหลายที่แห่ไปจดทะเบียนที่นี่ ก็เสมือนเป็นบริษัทหลอกๆ เพราะไม่จำเป็นต้องมีพนักงานก็ตั้งได้ การประชุมผู้ถือหุ้นหรือการประชุมกรรมการบริษัทนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องประชุมที่บริติช เวอร์จิน ก็ได้ ท่านพอใจจะประชุมที่บนหลังคาหอพักซอยวัดเทพลีลา หรือจะไปประชุมในใต้ถุนที่ว่าการอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ท่านทำได้ทั้งนั้น ถูกต้องตามกฎหมายของหมู่เกาะบ้าที่ว่านี่ทั้งหมด การประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตากัน ไม่จำเป็นต้องมีลายเซ็นที่ลากปากกาให้เห็นกันต่อหน้าต่อตาก็ได้ บางคนขี้เกียจเดินทางไปประชุม เพียงแต่ยกหูโทรศัพท์แล้วพ่นเสียงใส่ลงไปในกระบอกฮัลโหล ก็ยังถูกกฎหมาย หรือท่านจะประชุมกันทางอินเตอร์เน็ตก็ยังถือว่าถูกต้องตามกฎหมายอีก การออกเสียงลงคะแนนของผู้ถือหุ้น ท่านจะออกเสียงเอง หรือท่านจะทำการผ่านผู้รับมอบอำนาจก็ได้ไม่มีปัญหา ท่านไม่มีเวลาประชุมใหญ่สามัญประจำปี ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องประชุม ก็ยังถูกต้องตามกฎหมาย อยากทำอะไร หรือไม่อยากจะทำอะไร ย่อมได้ทั้งนั้นในการตั้งบริษัทที่ BVI คนที่ชอบเลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่ ก็จึงชอบใช้เกาะนี้เป็นแหล่งเพาะตัว.
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
===> มารู้จักกับเกาะบริติช เวอร์จินกัน <===
ในบรรดา 50 กว่าเกาะที่ว่านี่ เกาะที่สำคัญที่สุดคือ เกาะทอร์โทลา เพราะผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ แถมเมืองหลวงคือ กรุงโรดทาวน์ ก็ตั้งอยู่บนเกาะทอร์โทลานี่ด้วย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าเกาะนี้อยู่ตรงไหนของทะเลแคริบเบียน ก็ขอให้ท่านไปตั้งหลักที่สาธารณรัฐเปอร์โตริโก หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน อยู่ห่างจากเปอร์โตริโกไปทางตะวันออกประมาณ 95 กิโลเมตร ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียกหรือเขียนชื่อเต็มของเกาะนี้ เพราะยาวเกินไป ส่วนใหญ่จะเรียกเพียงย่อๆ ว่า BVI และถ้าถามว่า BVI นี่มีสถานะเป็นอย่างไร นิติภูมิก็ขอตอบว่า เป็นเขตปกครองตนเองในอาณัติของอังกฤษ ผู้คนทั้งหมู่เกาะ 21,000 คน นี่มีอาชีพทางการประมงและการท่องเที่ยว เดิมจึงเป็นดินแดนที่ยากจนข้นแค้นพอสมควร คณะปกครอง BVI จึงคิดหาสตางค์จากนักธุรกิจที่ต้องการเลี่ยงการปฏิบัติยุ่งยากและปรารถนาเลี่ยงภาษี ไม่อยากจะเสียภาษีโน่นภาษีนี่ให้กับประเทศแม่ หรือประเทศที่ตัวเองทำธุรกิจอยู่ เขียนง่ายๆก็คือ เกาะนี่เหมาะสำหรับพวกที่หากินอยู่ในประเทศหนึ่ง แต่ไม่อยากจะเสียภาษีให้ประเทศนั้น ผู้บริหารเกาะจนปัญญาหาเงินเข้าดินแดนตัวเองเหมือนดินแดนอื่น จึงหาเงินจากพวกที่มีแนวความคิดทางโกง ทางหลบๆ เลี่ยงๆ ทั้งหลาย เมื่อ พ.ศ.2527 ผู้บริหารเกาะหัวใสจึงตรากฎหมาย International Business Companies Ordinance หรือ IBC ขึ้น เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของชาวต่างชาติ จะว่าไปแล้ว บริษัททั้งหลายที่แห่ไปจดทะเบียนที่นี่ ก็เสมือนเป็นบริษัทหลอกๆ เพราะไม่จำเป็นต้องมีพนักงานก็ตั้งได้ การประชุมผู้ถือหุ้นหรือการประชุมกรรมการบริษัทนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องประชุมที่บริติช เวอร์จิน ก็ได้ ท่านพอใจจะประชุมที่บนหลังคาหอพักซอยวัดเทพลีลา หรือจะไปประชุมในใต้ถุนที่ว่าการอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ท่านทำได้ทั้งนั้น ถูกต้องตามกฎหมายของหมู่เกาะบ้าที่ว่านี่ทั้งหมด การประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตากัน ไม่จำเป็นต้องมีลายเซ็นที่ลากปากกาให้เห็นกันต่อหน้าต่อตาก็ได้ บางคนขี้เกียจเดินทางไปประชุม เพียงแต่ยกหูโทรศัพท์แล้วพ่นเสียงใส่ลงไปในกระบอกฮัลโหล ก็ยังถูกกฎหมาย หรือท่านจะประชุมกันทางอินเตอร์เน็ตก็ยังถือว่าถูกต้องตามกฎหมายอีก การออกเสียงลงคะแนนของผู้ถือหุ้น ท่านจะออกเสียงเอง หรือท่านจะทำการผ่านผู้รับมอบอำนาจก็ได้ไม่มีปัญหา ท่านไม่มีเวลาประชุมใหญ่สามัญประจำปี ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องประชุม ก็ยังถูกต้องตามกฎหมาย อยากทำอะไร หรือไม่อยากจะทำอะไร ย่อมได้ทั้งนั้นในการตั้งบริษัทที่ BVI คนที่ชอบเลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่ ก็จึงชอบใช้เกาะนี้เป็นแหล่งเพาะตัว.
===> มารู้จักกับน้ำมันกันดีกว่า <===
ในทางวิทยาศาสตร์ เรารู้กันดีว่าต้นพืชและสัตว์รวมทั้งคน ประกอบด้วยเซลล์เล็กๆ มากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก เวลาซากสัตว์และซากพืชทับถมและเปลี่ยนรูปเป็นน้ำมัน หรือก๊าซ หรือถ่านหิน ฯลฯ พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอน (คือ ธาตุไฮโดรเจนรวมกับธาตุคาร์บอน) เป็นส่วนใหญ่ และไฮโดรคาร์บอนนี้แหละเมื่อนำมาเผาจะให้พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน เพียงแต่น้ำมันความร้อนมากกว่าฟืน นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสอดแทรกอื่นๆ บ้าง เช่น กำมะถัน (เวลาเอามาเผาจะรวมกับออกซิเจน ได้เป็นก๊าซพิษของกำมะถันไดออกไซด์)
โลกเราใช้เวลานานมาก (เป็นล้านปี) กว่าจะผลิตน้ำมันได้แต่ละลิตร แต่เราเอามาเติมรถยนต์ วิ่งไม่กี่นาทีก็หมดแล้ว เราจึงควรใส่ใจและคิดสักนิด เมื่อจะขับรถ เปิดไฟเปิดแอร์ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำ แต่ถ้าจำเป็นก็ลดการใช้ลงบ้าง จะช่วยให้เรามีเชื้อเพลิงใช้ไปได้อีกนานๆ
การกลั่นน้ำมันดิบ
เรารู้แล้วว่าน้ำมันดิบมาจากใต้ดิน มีลักษณะเป็นของเหลวสีดำๆ จึงสูบขึ้นมาได้ มีสารไฮโดรคาร์บอนอยู่เยอะ จึงเผาแล้วได้พลังงานสูง ถ้ามีสิ่งเจือปนเยอะ เช่น มีกำมะถันเยอะ เผาแล้วจะเกิดก๊าซพิษมาก ก็ถือว่าเป็นน้ำมันดิบเกรดต่ำ น้ำมันดิบที่มีกำมะถันเจือปนน้อยถือว่าเป็นน้ำมันดี จึงมีราคาแพง น้ำมันดิบนี้จะเอามาใช้โดยตรงไม่ได้ ต้องเอาไปกลั่นที่โรงกลั่นน้ำมัน ทำเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ เอาไว้เติม รถยนต์ รถดีเซล เรือ รถไฟ หรือเครื่องบิน น้ำมันเหล่านี้มีสมบัติต่างๆกันไปและราคาก็ไม่เท่ากัน
น้ำมันดิบเมื่อเอามากลั่นจะได้h ก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจี (liquefied petroleum gas) : ใช้สำหรับหุงต้มในครัว และใช้กับรถบางคัน รวมทั้งในโรงงานบางชนิด h น้ำมันเบนซิน : รถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันชนิดนี้ h น้ำมันก๊าด : ใช้จุดตะเกียงให้แสงสว่างและใช้ในโรงงาน h น้ำมันเครื่องบิน : ใช้กับเครื่องบินใบพัด เครื่องบินไอพ่น h น้ำมันดีเซล(โซล่า) : รถเมล์ รถไฟ รถบรรทุก รถกระบะส่วนใหญ่ใช้น้ำมันชนิดนี้ h น้ำมันเตา : ใช้สำหรับเตาเผาหรือต้มน้ำในหม้อไอน้ำ (บอยเลอร์) หรือเอามาปั่นไฟหรือใช้กับเรือ h ยางมะตอย : ส่วนใหญ่ใช้ทำถนน นอกนั้นใช้เคลือบท่อเคลือบโลหะเพื่อกันสนิม
มารู้จักกับ "ค่าออกเทน" ของน้ำมันรถยนต์กัน
คือ ค่าความต้านทานการจุดระเบิดน้ำมันเบนซิน ก่อนเวลากำหนดของเครื่องยนต์หรือ ตัวเลขแสดงความต้านทานการน็อคของเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ ถ้าค่าออกเทนสูง จะมีความต้านทานการน็อคของเครื่องยนต์สูง ไม่เกี่ยวกับความแรงของเครื่องยนต์ การออกแบบเครื่องยนต์เบนซิน ของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน จึงต้องใช้น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทนแตกต่างกัน การเลือกใช้น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทน ที่เหมาะสมกับความต้องการ ของเครื่องยนต์ ตามที่ผู้ผลิตแต่ละรายกำหนดไว้ เป็นค่าออกเทน ที่ทำให้เครื่องยนต์ มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งคุณสามารถดูได้ จากคู่มือประจำรถของคุณ หรือบริเวณฝาปิดถังน้ำมันด้านในรถคุณ ส่วนเรื่องความแรง ของเครื่องยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษา เครื่องยนต์ของคุณเอง
มารู้จักกับ "แก๊สโซฮอล์ 95" ของน้ำมันรถยนต์กัน
มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ดังนั้นนอกจากจะคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 95 ทั่วไป แต่มีราคาถูกกว่า 1.50 บาทต่อลิตรแล้ว ยังเป็นพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยแก๊สโซฮอล์ 95 มีไฮโดรคาร์บอน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเบนซิน 95 ทั่วไป ช่วยลดควันดำ สารอะโรเมติกส์ สารเบนซีน และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย จึงนับได้ว่า แก๊สโซฮอล์ 95 เป็นเบนซินที่สะอาด ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โครงการแก๊สโซฮอล์ เกิดขึ้นในปี 2528 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทย อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน และปัญหาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ จึงทรงมีพระราชดำริให้ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาศึกษา ถึงการนำอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล) ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และได้ทดลองใช้กับรถยนต์ในโครงการส่วนพระองค์ตั้งแต่ปี 2537 โดยทดสอบกับเครื่องยนต์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ผลดีทั้งในห้องปฏิบัติการและท้องถนน
อุบายการเลิกเหล้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
ชมคือธรรมดา..ถูกด่าก็ไม่เลว
บอร์ดพลังจิต
♥ ตำนานพญานาค ♥
สุขกาย สุขใจ = สุขในองค์กร
จะว่าไปแล้วก็ตรงกับ เทคนิคในการสร้างสุข 8 ประการ ที่แผนงานสุขภาวะองค์กรภาคเอกชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้ให้ไว้คือ happy boby และ Happy Relax ที่เชื่อว่า หากคนซึ่งเป็นพนักงานในองค์กรมีร่างกายแข็งแรงทั้งกายและจิตรใจ สมองปลอดโปร่ง รู้จักวิธีผ่อนคลาย ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข แม้ว่างานชิ้นนั้นจะยากเพียงใดก็ตาม ฉบับนี้จึงขอนำเทคนิคการเพิ่มพลังสมองและการดูแลสุขภาพสัก 3 ท่า เท่าที่พื้นที่จะอำนวยมาฝากกัน
เทคนิคการเพิ่มพลังสมอง
1. ท่าปุ่มสมอง
เป็นท่ากระตั้นระบบไหลเวียนของเลือดโดยเฉพาะเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอ ช่วยให้สมองตื่นตัว เพิ่มสมาธิ และการรับรู้โดยวางมือข้างหนึ่ง แบไว้ตรงสะดือ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งคลำหาร่องบุ๋มที่อยู่ใต้กระดูกไหปลาร้ากับกระดูกหน้าอกด้านขาว จากนั้นนวดบริเวณร่องบุ๋มเบาๆประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที พร้อมกวาดสายตาจากซ้ายมาขาว สลับไปมา (สลับมือกันทำซ้ำอีกข้างหนึ่ง)
2. ท่าเคลื่อนไหวสลับข้าง
เป็นท่าที่จะช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น การประสานการทำงานของร่างกายทั้งซีกซ้ายและขาวดีขึ้น เพิ่มพัฒนาการด้านการได้ยิน การหายใจดีขึ้น และมีความอกทนได้มากขึ้น โดยก่อนทำงานสามารถส่งเสริมให้พนักงานทำท่านี้ที่ข้างโต๊ะทำงาน โดยเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ยกเข่าให้สูง ยกแขนและขาข้างตรงกันข้าม เคลื่อนไหวสลับไปมาอย่างน้อย 10 ครั้ง
3. ท่าเลขแปดหลังยาวสำหรับการมอง
เป็นท่าพัฒนาการเคลื่อนไหวของดวงตาเพื่อให้เกิดการประสานงานของมือและตา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ มีความสงบเยือกเย็น มีสมาธิ เหมาะสำหรับพนักงานที่ทำงานศิลปะ ใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชี โดยให้พนักงานชูหัวแม่มือข้างใดข้างหนึ่งขึ้นไว้กลางระดับสายตา ระยะห่างประมาณช่วงศอก ตั้งศีรษะนิ่ง ไม่เกร็ง ตามองตามนิ้วที่เคลื่อนตลอด โดยลากนิ้วหัวแม่มือขึ้นไปด้านบนของขอบเขตสายตา และลากทวนเข็มนาฬิกากลับมาด้านซ้าย จนกระทั่งนิ้ววนมาถึงจุดต่ำสุด จากนั้นหมุนย้อยเข็มผ่านจุดกึ่งกลางไปทางขวาทำทีละข้างข้างละ 3 ครั้ง
นอกจากท่าเพิ่มพลังสมองขั้นต้น 3 ท่า นี้แล้ว ควรส่งเสริมให้พนักงานดูแลสุขภาพกายและใจด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวัน คือ หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟิน การเปิดรับเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน เช่น การกินอาหารร้านใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ เพราะจะทำให้สมองหลั่งสารเอนโดรฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ การรู้จักให้อภัยเพื่อลดภาวะของสมอง เพราะการไม่ให้อภัยคนอื่น โกรธตัวเอง ขี้โมโห ทำให้เปลืองพลังงานสมองเป็นอย่างยิ่ง
การฝึกพูดดีๆ กับตัวเอง เพื่อเป็นการส่งผ่านความสุขให้ตนเองการฝึกหายใจให้ลึก เพื่อให้สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและถูกต้องเพราะในสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 2 ใน 3 ส่วน หากดื่มน้ำน้อยเกินไปเซลล์สมองจะขาดน้ำ การสื่อสารส่งถ่ายข้อมูลระหว่างเซลล์จะช้าลงทำให้คิดอะไรไม่ออก หรือคิดช้าตามไปด้วย
ระบบย่อยดีด้วยการนวด
สำหรับผู้อ่านที่มักมีปัญหาระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ‘มุมสุขภาพ-ยืดเส้นยืดสาย’ มีเคล็ดลับแก้ปมสุขภาพดังกล่าวมาบอก เป็นวิธีง่าย ๆ แค่นวดบริเวณท้องด้วยมือของคุณเอง ในกรณีที่มีอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีกรด มีลมเกิน คับแน่นอยู่ในช่องท้อง ให้นอนหงาย นวดวนทั่วท้อง นวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าท้องเสีย ท้องเดิน ให้ปฏิบัติในทางตรงกันข้าม คือ นวดวนท้องในแนวทวนเข็มนาฬิกา โดยทั้งสองกรณีให้ใช้จังหวะในการนวดวนที่ช้า-เร็ว การกลงน้ำหนักมือพอประมาณให้รู้สึกสบาย เพราะหากนวดเร็ว หรือลงน้ำหนักแรงจะยิ่งทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้ ทว่า มีข้อควรระวังอยู่ไม่มาก คือ อย่านวดท้องหลังการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเสร็จใหม่ ๆ เพราะอาจทำให้จุก และไม่ควรนวดหากเพิ่งผ่านการผ่าตัดบริเวณท้อง อย่างไรก็ตาม การนวดท้องเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ หากต้องการให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องรับประทานอาหารที่สะอาด มีกากใยสูง ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10-12 แก้ว รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อและเป็นเวลา รวมทั้งฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
สังคมออนไลน์ ภัยอินเตอร์เน็ต
เด็กและเยาวชนกว่า 53.2 เปอร์เซ็นต์ เคยดูสื่อลามก!!
สังคมออนไลน์...เราต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร!!
โอกาสแบบนี้ช่างเหมาะเจาะเหลือเกินที่ “อวิชชา” ทั้งหลายพร้อมจะมัวเมาเยาวชนไทยที่นั่งอยู่ด้านหน้าจอคอมพิวเตอร์
ผลพวงที่เกี่ยวข้องกับ “เซ็กซ์” หรือพูดให้เพราะคือ “การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” นับเป็นปัญหาหลักอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น
โดยมีต้นตอที่ควบคุมได้ยากมาจาก “อินเตอร์เน็ต”
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพล เคยจัดทำผลสำรวจ “พฤติกรรมและผลกระทบของการใช้อินเทอร์เน็ตจากกลุ่มเยาวชน” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีเด็กและเยาวชนกว่า 53.2 เปอร์เซ็นต์ เคยดูสื่อลามก!!
ขณะที่คำว่า “แอบถ่าย” ถูกค้นหามากกว่า 4 ล้านครั้งต่อเดือนในช่วงปีเดียวกัน...
นอกจากนี้ ยังมีอีกสารพัดช่องทางที่ผู้ใช้บริการ ซึ่งอาจเป็น “ลูกหลาน” ของใครบางคนขณะนี้ ซึ่งจะสามารถเข้าถึง Sex ที่แปลความหมายไปถึง “กิจกามทางเพศ” อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ในอนาคต
ในฐานะสื่อที่ดี ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยวิธีการไปถึงจุดนั้นบนหน้าหนังสือพิมพ์...
แต่ถึงอย่างไรในหน้า “อินเตอร์เน็ต” บนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านของแต่ละคนก็จะยังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ดี
เช่นนั้นแล้วคงไม่ต่างอะไรกับวิธีการจับโจรผู้ร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีการติดตามเทคนิคกลวิธีใหม่ๆ ของคนร้ายอย่างต่อเนื่อง
“โลกออนไลน์” หมุนไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว นอกจากความต่อเนื่องแล้ว ผู้ปกครองทั้งหลายต้องเท่าทันให้ได้ สู้...สู้...!!
ขอบคุณข่าวจากสสส.
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เอเชียนเกมส์ 2010
การเสนอชื่อเป็นเมืองเจ้าภาพเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 มีพิธีประกาศผลการเสนอชื่อ เป็นเมืองเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 ที่กรุงโดฮา ของรัฐกาตาร์ โดยสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย มีมติมอบสิทธิการเป็นเจ้าภาพดังกล่าวแก่นครกว่างโจวด้วยเหตุที่ก่อนหน้านั้น เมืองที่เคยเสนอชื่อเป็นเจ้าภาพ ต่างก็ขอถอนตัวไปด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยกรุงโซลของเกาหลีใต้ขอถอนตัว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า เมืองของเกาหลีใต้ เพิ่งเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ครั้งหลังสุด ก่อนหน้า พ.ศ. 2553 เพียงแปดปีหรือสองครั้งเท่านั้น กล่าวคือ เมืองปูซานเคยเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ เมื่อปี พ.ศ. 2545 มาแล้วส่วนกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ถอนตัวเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติบังคับ เนื่องจากเห็นว่าค่าใช้จ่ายสำหรับจัดการแข่งขันสูงเกินไป เป็นผลให้มีเพียงนครกว่างโจวเท่านั้น ซึ่งยังคงการเสนอชื่อครั้งนี้
สัญลักษณ์ประจำการแข่งขันสัญลักษณ์ประจำการแข่งขัน เป็นภาพลายเส้นของอนุสาวรีย์แพะห้าตัว ซึ่งเป็นตำนานของการสร้างนครกว่างโจว ส่วนตุ๊กตาสัญลักษณ์ เป็นแพะห้าตัว มีชื่อว่า อาเซียง อาเหอ อาลู่ อาอี้ และ เล่อหยางหยาง โดยเมื่อนำชื่อทั้งห้ามารวมกัน จะได้คำว่า (เซียงเหอลู่อี้เล่อหยางหยาง) ซึ่งแปลว่า ประสานใจให้พรสำเร็จสุขศานต์
พิธีเปิดการแข่งขัน
พิธีปิดการแข่งขัน
ประเทศที่เข้าร่วม
กัมพูชา กาตาร์ เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน คูเวต จอร์แดน จีน ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย ติมอร์ตะวันออก เติร์กเมนิสถาน จีนไทเป ทาจิกิสถาน ไทย เนปาล บรูไน บังกลาเทศ บาห์เรน ปากีสถาน ปาเลสไตน์ พม่า ฟิลิปปินส์ ภูฏาน มองโกเลีย มัลดีฟส์ มาเก๊า มาเลเซีย เยเมน ลาว เลบานอน เวียดนาม ศรีลังกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย อิรัก อิหร่าน อุซเบกิสถาน โอมาน ฮ่องกง
แตกสามัคคีก็คือการแตกแยก (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
'พระปิดทวาร' สอนอะไร
หายใจให้ถูกแก้โรคความดัน
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ประเพณีแห่นางแมว อ้อนวอนขอฝน
การแห่นางแมวเป็นพิธีอ้อนวอนขอฝน ซึ่งจำจัดทำขึ้นในปีใดที่ท้องถิ่นแห่งแล้งฝน ไม่ตกต้องตามฤดูกาล สาเหตุที่ฝนไม่ตก ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซึ่งแปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากๆ ควัน และละอองเขม่าน้ำมัน ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนุษย์ ผู้ที่จะล้างอากาศได้ทำให้ละอองพิษพวกนั้นตกลงดิน ทำให้อากาศสะอาดคือ "เทโว" หรือ "ฝน" นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อฝนหยุดตกใหม่ๆ อากาศจะสดชื่น ระงมไปด้วยเสียงของกบ เขียด
ความ เชื่อ การแห่นางแมวภาคอิสาน
พิธีแห่นางแมวของชาวอีสานเพราะเชื่อว่าเหตุที่ฝนไม่ตกมีเหตุผลหลายประการ เช่น เกิดจากดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง,ประชาชนชาวเมืองหย่อนในศีลธรรม, เจ้าเมืองหรือเจ้าแผ่นดิน ไม่ทรงอยู่ใน ทศพิธราชธรรม เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามนุษย์อยากให้เทวะคือน้ำฝนที่ดีไม่ใช่ดีเปรสชั่น มาเยี่ยมตามกาลเวลา มนุษย์ก็ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพราะคนที่มีศีลมีธรรมท่านจึงเรียกว่า "เทวะ" ทั้งๆ ที่เป็นคน เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ เทวะคือฝน กับเทวะคือคนผู้มีคุณธรรม ย่อมจะมาหากันเพราะเป็นเล่ากอแห่งเทวะด้วยกัน เหมือนพระย่อมไปพักกับพระเป็นต้น เหตุนี้ชาวเมือง ชาวอีสานจึงต้องทำพิธีอ้อนวอนขอฝน และการที่ต้องใช้แมวเป็นตัวประกอบสำคัญในการขอฝน เพราะเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่เกลียดฝน ถ้าฝนตกครั้งใดแมวจะร้องทันที ชาวอีสานจึงถือเอาเคล็ดที่แมวร้องในเวลาฝนตกว่า จะเป็นเหตุให้ฝนตกจริงๆ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสาดน้ำและทำให้แมวร้องมากที่สุดจึงจะเป็นผลดี และชาวอีสานเชื่อว่าหลังจากทำพิธีแห่นางแมวแล้วฝนจะตกลงมาตามคำอ้อนวอน และตามคำเซิ้งของนางแมว
นอกจากแมวจะเข้ามาเกี่ยวข้องในพิธีเกิดและพิธีแต่งงานในวัฒนธรรมไทยแล้ว แมวยังเข้ามามีส่วนร่วมในอีกประเพณีสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุ คน นั่นคือ พิธีแห่นางแมวขอฝน คนไทยในสมัยก่อนเชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับศักดิ์สิทธิ์ สามารถเรียกฝนให้ตกลงมาได้ และเมื่อถึงฤดูฝน หากฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาลชาวไทยโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้น้ำในการ เกษตรกรรมจะต้องนำนางแมว (แมวตัวเมีย) โดยคัดเลือกแมวไทยพันธุ์สีสวาด (คนไทยโบราณเรียก แมวมาเลศ ตามภาพ) ตัวที่มีรูปร่างปราดเปรียว สวยงามตั้งแต่ 1-3 ตัว นำนางแมวมาใส่กระบุงหรือตะกร้าหรือเข่งก็ได้ สาเหตุที่ต้องเลือกแมวพันธุ์นี้เพราะเชื่อว่า สีขนแมวเป็นสีเดียวกับเมฆ จะทำให้เกิดฝนตกได้ แต่บางแห่งก็ใช้แมวดำ
ก่อนที่จะนำนางแมวเข้ากระบุง คนที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด จะพูดกับนางแมวว่า "นางแมวเอย …ขอฟ้าขอฝน ให้ตกลงมาด้วยนะ" พอหย่อนนางแมวลงกระบุงแล้ว ก็ยกกระบุงนั้นสอดคานหามหัวท้าย จะปิดหรือเปิดฝากระบุงก็ได้ แต่ถ้าปิดต้องให้นางแมวโดนน้ำกระเซ็นใส่ ตอนที่สาดน้ำด้วยจะต้องถูกต้องตามหลักประเพณี
ผู้หญิงที่เข้าร่วมในพิธีแห่ จะผัดหน้าขาว ทัดดอกไม้สดดอกโตๆ ขบวนแห่จะร้องรำทำเพลงที่สนุกสนานเฮฮา เมื่อขบวนแห่ถึงบ้านไหน แต่ละบ้านจะต้องออกมาต้อนรับอย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่าแมวจะโกรธ และจะบันดาลไม่ให้ฝนตกลงมา และมีความเชื่อว่า ถ้าแห่นางแมวแล้วฝนจะตก ภายใน 3 วันหรือ 7 วัน นอกจากนี้ พิธีแห่นางแมวขอฝน จะเป็นการช่วยเรียกให้ฝนตกแล้ว ยังถือว่าพิธีนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนในหมู่บ้านให้แน่นแฟ้น ขึ้น เนื่องจากจะต้องมีการช่วยเหลือกันในการประกอบพิธีอีกด้วย
องค์ประกอบที่ใช้ในพิธีแห่นางแมว
-
กะทอหรือเข่ง หรือกระบุง ที่มีฝา ปิดข้างบน 1 อัน
-
แมวสีดำตัวเมีย 1-3 ตัว
-
เทียน 5 คู่
-
ดอกไม้ 5 คู่
-
ไม่สำหรับสอดกะทอให้คนหาม 1 อัน
วิธีแห่นางแมว
-
ชาวบ้านรวมทั้งคนแก่คนหนุ่มและเด็กส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ปรึกษาหารือกัน คนที่เป็นผู้นำกล่าวเซิ้ง เพื่อ ให้ผู้ไปแห่ทั้งหมดเป็นผู้ว่าตาม ส่วนใหญ่จะเป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน
-
หากะทอใบหนึ่งหรืออาจใช้เข่ง หรือกระบุงก็ ได้
-
จับเอาแมวตัวเมียสีดำ หรือแมวไทย พันธุ์สีสวาด (คนไทยโบราณเรียก แมวมาเลศ) 1 ตัวใส่ในกะทอ ใช้ เชือกผูกปิดปากะทอไม่ให้แมวออกได้ และใช้ไม้สอดกะทอให้คนหา 2 คน ตั้งคายด้วยขันธ์ ห้า ป่าวสักเคเทวดา เพื่อให้เทวดาบันดาลให้ฝนตก
-
ได้เวลาพลบค่ำผู้คนกำลังอยู่บ้าน ก็เริ่มขบวนแห่โดยหากะทอแมวออกข้างหน้า แล้วตามด้วยคนว่า คำเซิ้ง และผู้แห่ว่าตามเป็นท่อนๆ ไป ในขบวนก็จะมีการตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้เกิดจังหวะตามไปด้วย และแห่ไปทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านนั้นๆ เมื่อแห่ไปถึงบ้านใครเจ้าของบ้านก็ต้องเอาน้ำสาด
หรือรดที่ตัวแมวให้เปียกและทำให้แมวร้อง และสาดใส่ขบวนเซิ้งด้วย ประเพณีบางบ้านก็สาดใส่ขบวนเฉยๆ โดยไม่ให้ถูกแมว เพราะปรากฏว่าเซิ้งหนักๆ เข้า แมวตายวันละตัว
10นิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม
ใครที่กำลังอยู่ในภาวะ สมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่สมองโดนทำร้าย วันนี้มีความรู้เกี่ยวกับ 10 นิสัยที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน
1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่ เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้
2.กิน อาหารมากเกินไป การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4.ทานของหวานมากเกินไป มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง
5.การอดนอน คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน
6.มล ภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ
7.ขาด การใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ
8.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร
9.นอนคลุมโปง เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลด ออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา
อย่าลืมใส่ใจและ รักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี.
เครียดคลายได้ ถ้าใจคอยเป็น
เครียดคลายได้ ถ้าใจคอยเป็น
โดย รินใจ
คงไม่มีอะไรที่สามารถบงการระบบประสาทของเรา ได้ฉับพลันเท่ากับเสียงโทรศัพท์ ไม่ว่ากำลังกินข้าว ดูหนัง กำลังนอน หรือสั่งสอนลูกชายจอมซน ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องรีบสาวเท้าหรือคว้ามือไปรับโทรศัพท์ อะไรที่กำลังทำอยู่ ต้องเลิกโดยฉับพลัน แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม ถ้ามนุษย์ต่างดาวเผอิญหลงมาที่โลกนี้ คงจะงงงวยว่าโทรศัพท์มีอะไรน่ากลัวหรือ คนบนโลกนี้ถึงชอบผลุนผลันไปรับคำบัญชาจากมัน
ที่จริงมนุษย์ต่างดาวเข้าใจผิดทั้งเพ ไม่มีใครกลัวโทรศัพท์หรอก เราทำกันเช่นนั้นอย่างอัตโนมัติ เพียงเพราะไม่อยากคอยให้มันดังหลายครั้ง แต่ก็น่าคิดว่าแทนที่จะปล่อยให้มันกะเกณฑ์เรา ลองให้มันทำตามเกณฑ์ของเราบ้าง เช่น ให้ดังสัก ๓-๔ ครั้ง ถึงค่อยไปรับและไปรับอย่างช้าๆ สบายๆ แทนที่จะเร่งรีบ
ไม่ใช่แต่ เพียงเสียงโทรศัพท์เท่านั้น มีอีกหลายอย่างที่เราปล่อยให้มันเข้ามาบงการเรา อย่างเช่นสัญญาณไฟตามสี่แยกจริงอยู่ มันอาจไม่ถึงกับทำให้แขนขาของเรากระตุกทันทีที่มันวาบขึ้น แต่บ่อยครั้งมันก็ไปกระตุกใจเราแทน ทันทีที่เห็นไฟแดงข้างหน้าจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็กรุ่นไปตลอด จนกว่าไฟเขียวจะมาปลุกใจเราให้ยินดี
ไฟเขียวเป็นข่าวดี (ถ้าเราเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนข้ามถนน) แต่มันก็ทำให้เราทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือเวลามันยังไม่โผล่มา เราก็กระวนกระวายใจ หรือถึงกับเครียด
แต่ ถ้ามองกันจริงๆ แล้ว จะโทษไฟเขียวว่ามาช้าก็ไม่ถูกมันก็มาตามจังหวะของมัน สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะเราใจร้อน หรือคอยไม่เป็นต่างหาก เพียงแค่เรารู้จักคอยไฟเขียวเท่านั้น ความเครียดจากการขับรถจะลดลงไปเยอะเลย ในทำนองเดียวกัน สำหรับคุณที่ไม่รวยพอที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว หากคอยรถเมล์เป็น โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นไม่น้อย
ลองมาคิดดูสิ ที่จิตร้อนรุ่มราวกับถูกไฟลนนั้น หลายต่อหลายครั้ง เป็นเราตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายคอย อาจคอยแฟน คอยจดหาย คอยงานเสร็จ หรือคอยคนเห็นคุณค่าของเรา ยิ่งคอยก็ยิ่งทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะสิ่งที่คอยยังมาไม่ถึง แต่ทุกข์เพราะใจเร่งเร้าเผาลนต่างหาก จริงๆ แล้ว ตัวการไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างในต่างหาก
ถ้าเราสามารถฝึกใจให้รู้จักคอยได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ ทุกวันนี้คนกรุงมีความเครียดมาก เพราะคอยไม่เป็น และที่คอยไม่เป็นเพราะเคยชินกับความรวดเร็ว ทุกอย่างล้วนแข่งกันเร็ว ไม่ว่ากาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ แม้แต่ความเป็นคนเก่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนตนแล้ว เพียงแค่ซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ หรือน้ำอัดลมยี่ห้อนั้น ก็สำเร็จผลได้โดยพลัน เร็วอะไรปานนั้น
ชีวิต ที่อะไรต่ออะไรได้มาโดยไว ทำให้เราคอยกันไม่เป็น หวังแต่จะให้ทุกอย่างเปิดปุ๊ปติดปั๊บท่าเดียว จนลืมไปว่ายังมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องใช้เวลา หลายอย่างที่ว่านี้ ล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น เช่น สุขภาพ ความรู้ ความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งความรัก ถ้าเราคอยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ชีวิตก็มีแต่ความเครียดรุมเร้าหาไม่ก็ได้แค่ของปลอม ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง
ใจที่รู้จักคอยคือกุญแจแห่งความสุขและความ สำเร็จ เมื่อสิทธารถะไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์เฒ่า เขาได้อ้างคุณสมบัติที่เขาเชื่อว่าเหมาะแก่การ เป็นศิษย์ ๑ ใน ๓ ของคุณสมบัติดังกล่าวคือ “I can wait”
ในชีวิตประจำวัน เรามีโอกาสมากมายที่จะฝึกใจให้รู้จักคอย เช่น ล้างมืออย่างช้าๆ นั่งโต๊ะแล้วค่อยเปิดจดหมาย อ่านหนังสือพิมพ์ ทำงานให้เสร็จเป็นอย่างๆ หรือตามลมหายใจขณะรอรถเมล์ หรือจะเริ่มต้นด้วยการทำใจสงบขณะที่โทรศัพท์ดัง ต่อเมื่อสิ้นเสียงสัญญาณครั้งที่ ๓ จึงค่อยรับก็เข้าทีดี
ปัจจัยสร้างสุข
ธรรม บรรยายโดย ภิกษุณี Gioi Nghiem (หลวงพี่ศีลกัลยา) แห่งหมู่บ้านพลัม
นับว่าเป็นสิ่งดีที่เราตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เรา ต้องปล่อยวาง เพื่อที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข
แต่ ก็มีสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อน ไปกว่ากัน คือ การตระหนักรู้ถึงปัจจัยที่สร้างให้เกิดความสุข ปัจจัยเหล่านั้นดำรงอยู่ในตัวเราและรอบๆ ตัวของเรานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้า เราพบว่าเรายังมีชีวิตอยู่ และมีอีก 24 ชั่วโมงแห่งความเบิกบานรอเราอยู่ หลวงพี่มักจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยชาหอมๆ ซักหนึ่งถ้วย ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที กับการหายใจอย่างอ่อนโยนกับชา ของหลวงพี่ และหลวงพี่ก็ยิ้มต้อนรับวันใหม่ที่เปิดรอหลวงพี่อยู่ และเมื่อหลวงพี่รับประทานอาหารเช้า หัวใจของหลวงพี่ ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของอาหาร เพราะมีหลายต่อหลายคนในประเทศที่ยังไม่พัฒนา พวกเขาไม่มีอาหาร พอจะรับประทาน หลวงพี่มองเห็นความรัก การทำงานอย่างหนักของชาวนา ชาวสวน ของผู้คน และสรรพชีวิต ที่ร่วมกัน อุทิศตนให้การเกิดขึ้นของขนมปัง และผลไม้บนจานของหลวงพี่ และนั่นก็สามารถทำให้หลวงพี่มีความสุขได้แล้ว
ถ้า หากเธอลองใช้เวลา นั่งลง และเขียนถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุขขึ้นในปัจุบันขณะนั่นเอง เธอจะสามารถ ปล่อยวางสิ่งที่เธอเห็นว่า เป็นอุปสรรคต่อความสุขของเธอ และบางทีก็น่าจะดี ถ้าหากเรามีเพื่อนที่เป็นกำลังใจ และสนับสนุนเราในทางแห่งการปล่อยวางนี้ ขอให้เราค่อยเป็นค่อยไป ให้เวลากับตัวเราเอง เราไม่จำเป็นต้อง เร่งรีบเพื่อไปสู่นิพพาน ขอเพียงแค่เราเบิกบานกับทุกๆ ขณะของชีวิต
ที่มา thaiplumvillage
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
โภชนบำบัดสำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรค ที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้เปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตผิดปกติจนไม่ สามารถควบคุมได้ ผู้สูงอายุและผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งจะมีอัตราเสี่ยง มากกว่าคนปกติหรือผู้ที่มีภาวะโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง และผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น อาการโดยส่วนใหญ่ของมะเร็งลำไส้จะมีท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีเลือดสด อุจจาระมีขนาดเล็กลง มีอาการจุกเสียดแน่นบ่อยครั้ง อ่อนเพลียและน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากลำไส้เป็นอวัยวะสำคัญในระบบทางเดินอาหาร
ดัง นั้น ต้องดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ การรักษาที่ถูกต้องร่วมกับโภชนบำบัดที่ถูกหลัก สามารถลดการแพร่กระจายและอาการทรมานจากมะเร็งได้
ผู้ป่วยควรได้รับโปรตีนวันละ 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไข่และเนื้อสัตว์ต่างๆเป็นแหล่งของโปรตีนที่ให้กรดอะมิโนครบถ้วน หากผู้ป่วยไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลยควรรับประทานถั่วเหลืองผลิตภัณฑ์จาก ถั่วเหลืองแทน
แต่หากยังรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ ควรเลือกชนิดที่ไม่ติดมันเป็นหลัก หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง แหนม เพราะอาหารแปรรูปมักใส่สารไนไตรท์ ไนเตรต มีไขมันมาก ทำให้กระตุ้นการเกิดมะเร็งมากขึ้น
มีงานวิจัยการเสริมโฟเลทสามารถ ช่วยลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ซึ่งสาร อาหารนี้พบมากในนม ดังนั้นการดื่มนมช่วยเสริมสร้าง สารโฟเลทแต่ควรเลือกชนิดพร่องมันเนย
ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรับประทาน วิตามินเสริม เพราะหากรับประทานน้ำมันสกัดยิ่งทำให้ร่างกายได้รับน้ำมันเกินความจำเป็นอาจ เป็นผลเสียมากกว่าผลดี
งดไขมันที่เกิดจากการปิ้งย่างหรือการทอด น้ำมันซ้ำ ล้วนแต่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ และเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสัมผัสกับลำไส้โดยตรงเสี่ยงต่อการทำให้โรคเป็นมาก ขึ้น
นอกจาก นี้ ยังมีรายงานการวิจัยหลายงานวิจัยที่พบอาหารมีผลดีต่อการป้องกันและต่อต้าน มะเร็งลำไส้ โดยเฉพาะพืชตระกูลกะหล่ำ เพราะมีสาร Isothiocyanate ซึ่งให้ผลดีในการควบคุมมะเร็ง การรับประทานควรล้างให้สะอาด เพราะแม้ผักชนิดนี้จะมีสารพฤษเคมีที่เป็นประโยชน์มากก็จริง แต่ก็เป็นแหล่งตกค้างของสารฆ่าแมลงมากเช่นกัน วิธีการล้างผักที่ได้ผลค่อนข้างดีอาจในน้ำส้มสายชู หรือการลวกผักก็จะเป็นการช่วยลดสารเคมีตกค้างลงไปมาก
กรณีผู้ป่วยผ่า ตัดลำไส้ออกบางส่วน ทำให้ระบบย่อยอาหารได้รับความเสียหายบ้างในช่วงแรก ควรรับประทานอาหารเหลวที่มีพลังงานสูง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น ไม่ควรรับประทานผักและผลไม้มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดลมในช่องท้องได้
ผล ไม้สามารถรับประทานได้ทุกชนิด ยกเว้นกรณีเพิ่งได้รับการผ่าตัดควรเลือกชนิดที่ย่อยง่าย เช่น มะละกอสุก กล้วยน้ำว้า เป็นต้น และเพิ่มการดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อป้องกันการอุดตันของลำไส้จากเส้นใยอาหาร
การกราบไหว้พระพุทธรูป
พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ)
วัด บวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
- ปุ จ ฉ า
พุทธศาสนิกชน โง่ หรือ ฉลาด ที่ไปกราบไหว้ อิฐปูน ต้นไม้ และการกราบไหว้พระพุทธรูปจะจัดเข้าไปในประเภทบูชารูปเคารพหรือไม่ ?
ถ้า ไม่...ต่างกันอย่างไร ?
- วิ สั ช น า
ความ โง่หรือฉลาดของคนนั้น ไม่วัดกันด้วยด้วยการกระทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องมองกันในหลายๆ ด้านด้วย คนเรานั้นอาจฉลาดในเรื่องหนึ่ง แต่กลับโง่อย่างหนักในอีกเรื่องหนึ่งก็ได้
ปัญหาไม่ได้บอกว่า อิฐ ปูน ต้นไม้นั้นเป็นอะไร เป็นทรากของสถานที่สำคัญเช่น สังเวชนียสถาน ก็แสดงว่า เขาไม่ได้ไหว้อิฐ ปูน แต่ไหว้เพราะอาศัยอิฐ ปูน นั้นเป็นสื่อให้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับการไหว้พระ พุทธรูป เจดีย์อื่นๆ
หากเป็นการไหว้ อิฐ ปูน ธรรมดา นึกไม่ออกว่าใครจะไปไหว้ทำไม ?!?!
ถ้าว่าเป็นกรณีของพุทธปฏิมา ที่สร้างด้วยอิฐ ปูน ในขณะไหว้ใครคิดว่าตนเองไหว้อิฐ ปูน ก็ต้องจัดว่าบรมโง่ทีเดียว !!!
พระพุทธรูป ไม่ว่าจะสร้างขึ้นด้วยอะไรก็ตาม รวมถึงพระเจดีย์ ไม่ว่าจะเป็นธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ หรืออุเทสิกเจดีย์ก็ตาม ล้วนแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาไหว้ ใจคนจะน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้ระลึกถึง
o ทำไมจึงต้องสร้างเป็นรูปวัตถุเช่นนั้น ?
เพราะพระพุทธคุณ เป็นนามธรรม โดยหลักทั่วไปแล้ว การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมล้วนๆ สำหรับคนทั่วไปแล้ว ทำได้ยาก
เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ
แต่เมื่อว่า ตามความจริงแล้ว คนหาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่ รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
เรื่องการกราบ ไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์ ที่สร้างด้วยอะไรก็ตาม ผู้ไหว้หาได้ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้นไม่ รูปเหล่านั้น จึงทำหน้าที่เป็นสื่อทางจิตใจเพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระพุทธคุณ
ด้วยเหตุนี้ การกราบไหว้พระพุทธรูป จึงไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน
o ทำไมจึงไม่เหมือนกัน?
เพราะพวกสร้างรูปเคารพนั้น ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูป ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์ จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ เพราะ
"ความไม่รู้ จึงเกิดความกลัว"
การไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ
๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ
๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน พร้อมบุคคลที่ตนต้องการให้รักษา
แม้ว่า บุคคลบางคนจะไหว้พระพุทธรูป เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน พระพุทธรูปจึงไม่เหมือนกับรูปเคารพอย่างที่คนบางคนเข้าใจ
(ที่ มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา - ๒ โดย พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร,
พิมพ์เผยแพร่เพื่อ เป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒, หน้า ๒๓๐-๒๓๑)
หมายเหตุ :
บทความ เรื่องนี้เขียนไว้เมื่อครั้งที่พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโสภณคณาภรณ์
มหากุศลจิต
มูลนิธิ พุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม
มหา กุศลจิต หรือ กามาวจรกุศลจิต
เป็นชื่อของกุศลประเภท หนึ่ง ที่ยังเกี่ยวข้องกับกามคุณอารมณ์ เป็นกุศลจิตที่เป็นโลกียกุศล ซึ่งทำให้ต้องกลับมาเวียนว่าย ตายเกิดอีก
แต่ ก็มิใช่เป็นสิ่งไม่ดี
เพียงแต่ไม่ได้ทำพ้นจากความ ทุกข์ คือการเวียนว่าย ตายเกิดเท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งที่ช่วยขัดเกลากิเลสต่างๆ ให้เบาบางลงและเป็นปัจจัยให้ปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานได้
จิตที่ชื่อว่ามหากุศล หรือกามาวจรกุศลนั้น มีการแบ่งด้วยลักษณะ ๓ คือ
๑. ปั ญ ญ า
การมีปัญญาเข้าประกอบหรือไม่มีปัญญาเข้าประกอบ
มหา กุศลที่มีปัญญาเข้าประกอบ
จะมีความเข้าใจในหตุผลในการกระทำ มีความเข้าใจในเรื่องกรรม การเวียนว่ายตายเกิด มีความใจสภาวธรรมเรื่องนาม รูป มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
มหากุศลที่ไม่ประกอบ ด้วยปัญญา
ก็จะไม่มีลักษณะเหล่านี้ เช่น กุศลที่ทำตามคำบอกเล่ากันมา ทำตามความเชื่อ
การที่จะมีปัญญาในการทำ กุศลได้นั้นต้องอาศัยการฟังเรียกว่า "สุตมยปัญญา"
อาศัยการพิจารณาใคร่ ครวญ เรียกว่า "จินตมยปัญญา"
และอาศัยการปฏิบัติเรียกว่า "ภาวนามยปัญญา"
ปัญญานั้นมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อมีความรู้ ความเข้าใจแล้วก็จะทำให้กุศลที่ทำมีกำลังมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดผลที่มีกำลังมากขึ้นด้วย
๒. เ ว ท น า
คือความรู้สึกเป็นสุข เรียกว่า "โสมนัสเวทนา"
หรือ รู้สึกเฉยๆ เรียกว่า "อุเบกขาเวทนา"
ในการเกิดขึ้นของมหากุศลนั้น บางครั้งก็รู้สึกว่ามีปีติ มีความสุขปลาบปลื้ม จัดเป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งก็รู้สึกเฉย จัดเป็นอุเบกขาเวทนา
การทำกุศลที่มีความรู้ความ เข้าใจ และทำอย่างเต็มกำลัง จะมีส่วนช่วยทำให้จิตเกิดโสมนัสเวทนาได้ง่ายขึ้น
๓. ก า ร ชั ก ช ว น หรือ มี กำ ลั ง
กุศล ประเภทหนึ่ง มีกำลังมาก ปรารภในการทำเอง ไม่ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน เรียกว่า "อสังขาริก"
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง มีกำลังอ่อน ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน เรียกว่า"สสังขาริก"
จากกระแสของการพัฒนา ทำให้คนมีความโลภ มีความต้องการเสพอารมณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวมากขึ้น เมื่อมีความต้องการ ต้องมีการแสวงหา เพื่อให้ได้เสพอารมณ์ตามที่ต้องการ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย พร้อมกับการขาดการศึกษา สดับตรับฟังธรรมะ จึงทำให้ความต้องการที่จะทำบุญ ความดีต่างๆ น้อยลง
ทำ ให้บุญประเภทที่มีกำลังแก่กล้า (อสังขาริก) เกิดขึ้นน้อยลง ส่วนใหญ่จะเป็นบุญประเภทที่มีกำลังอ่อน ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน หรือมีเครื่องล่อ เครื่องจูงใจจึงจะทำ
เมื่อ จำแนกด้วย ๓ ลักษณะนี้ จะทำให้มหากุศลจิตแบ่งออกได้เป็น ๘ ประเภท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
๑. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)
๒. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)
๓. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)
๔. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)
๕. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)
๖. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)
๗. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)
๘. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)
เมื่อพิจารณามหากุศลทั้ง ๘ ประเภทแล้ว มหากุศลประเภทที่ ๑ จะดีที่สุด ในการทำกุศลครั้งนั้น มีทั้งความโสมนัส ยินดี มีปัญญา และมีกำลังแก่กล้าไม่ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน และมหากุศลประเภทที่ ๘ ดีน้อยที่สุด คือมีความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีปัญญา และต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน
ดัง นั้นการทำกุศล ควรทำให้มีลักษณะประเภทที่ ๑ อยู่เสมอๆ
กุศลที่ทำ เช่นไร ผลของกุศลก็มีลักษณะเช่นนั้น เราเรียกผลของมหากุศลว่า "มหาวิบาก" ซึ่งจะมีความสำคัญมากในการให้ผลนำเกิด
ถ้า เรามีมหาวิบากประเภทที่ ๑ นำเกิด ก็ถือว่ามีต้นทุนคือทรัพย์ภายในที่สูงมาก จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำกุศล มีปัญญาในการกุศลรู้เหตุผล เห็นประโยชน์ในการทำและปรารภในการทำกุศลเองได้ง่าย
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้น บ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ใน ช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏ อยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิด ขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และ ในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภท นี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธี แก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่าง มีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความ ผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธี แก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ
กำลัง พูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่ แล้ว)
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความ คิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธี แก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้าง ขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ
วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ ของตนเอง ว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การ โต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้พูดเท่าที่จำ เป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวง บุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้อง คำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การ คิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธี แก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมา ทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมาก ขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การ คิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลัก ไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับ ปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การ คิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้คิดถึง ประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การ คิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของ เราเองเสียอีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะ เกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความ คิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็น อกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง
Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย Richard Carlson