ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่มีการนำเสนอข้อมูลของหลายส่วน ยังไม่ตรงกันและไม่อิงตามหลักฐานที่ปรากฏ
ทั้งจากข้อมูลในต่างประเทศและในประเทศ
1.มาตรการที่สื่อสารเพื่อลดการแพร่กระจาย การติดต่อง่าย การแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งประเทศในเวลาอันสั้น ดังนั้นไม่ว่ามาตรการการปิดปาก จมูก เวลาไอ จาม ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้วนได้ประโยชน์ ต้องรณรงค์พร้อมกัน เป็นการปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดีต่อตนเองและสังคม
2.ตัวเลขอัตราการตาย การคำนวณร้อยละของอัตราการเสียชีวิต ต้องทราบจำนวนที่แท้จริงของคนที่ติดเชื้อทั้งหมด ไม่ได้ใช้ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อเท่าที่ตรวจได้มาคำนวณ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อนี้ ในประเทศไทยที่ทราบขณะนี้น่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ทำให้ไปแสดงตัวเลขอัตราการตายที่พุ่งสูงขึ้นจนเกิดความตระหนกตกใจ เช่น คาดการณ์การติดเชื้อขณะนี้น่าจะเป็นที่กว่าแสนราย การรายงานตัวเลขต่างๆ จึงมีปัญหาเมื่อนำมาสื่อสารทั้งหมด เพราะขึ้นกับกระบวนการได้มาของข้อมูลที่อาจไม่ได้มีความชัดเจน
3.การอ้างอิงข้อมูลตัวเลขควรบอกถึงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ว่า เป็นการคาดการณ์โดยอาศัยอาการอย่างเดียวหรือมีข้อพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการ เช่น มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่ละปีหลายแสนคน และเสียชีวิตไม่ต่ำกว่าปีละ 300-400 คนทุกปี อาจสะท้อนเพื่อให้เห็นว่าการเสียชีวิตจาก H1 N1 คือเรื่องปกติ ไม่น่าตกใจ
4.การสกัดกั้นผู้ป่วยจากต่างประเทศด้วยการตรวจคัดกรองไข้ที่สนามบินนานาชาติต่างๆ แม้ดูเสมือนไม่มีประโยชน์ แต่ก็พบว่าประเทศท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม ยังปฏิบัติอย่างเข้มงวด และมีการตรวจซ้ำสามถึงสี่รอบ
5.ลักษณะที่อาจเป็นอาการเฉพาะตัวของไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้แก่ a.ระบบทางเดินอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย b.กล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยรุนแรง c. เมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้น จะมีความดันเลือดต่ำ จนช็อก d.ลักษณะการทำงานของไตน้อยลง อาจพบตั้งแต่มีอาการเริ่มรุนแรงขึ้น e.อาการทางสมองอาจพบบ่อยกว่าไข้หวัดตามฤดูกาล
6.ภาวะของโรคที่มีความรุนแรงจนปอดบวมและเสียชีวิตภาวะดังกล่าวอาจไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มเสี่ยงตามปกติ อันหมายถึงผู้มีอายุน้อยกว่า 5 ปี มากกว่า 65 ปี มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด ไต ตับ หัวใจ ความดันเลือดสูง ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น แต่เสียชีวิตในกลุ่มบุคคลปกติอายุ 5-65 ปีได้ กลุ่มคนอายุ 5-65 ปี ที่เสียชีวิต ไม่จำเป็นต้องมีโรคประจำตัวก็ได้ มีก็ได้ ทั้งนี้พบว่ากลุ่มอายุดังกล่าวที่เสียชีวิตมีโรคประจำตัวประมาณร้อยละ 45-64 หรือครึ่งหนึ่งอาจแข็งแรงดีก็ได้
อย่างไรก็ตาม ความอ้วน (BMI มากกว่า 30) เป็นความเสี่ยงของการทำให้เสียชีวิตจากปอดบวมได้ ดังที่ปรากฏในรายที่เสียชีวิตในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา และเม็กซิโกผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี แม้มีปอดบวมแต่กลับมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าหนุ่มสาวที่มีอาการปอดบวมเช่นกัน
จากรายงานผู้ป่วยในเม็กซิโก พบว่า ร้อยละ 87 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในกลุ่มอายุ 5-59 ปี และร้อยละ 71 มีปอดบวมรุนแรงได้ ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มดังกล่าวเพียงร้อยละ 17 และมีปอดบวมรุนแรงร้อยละ 32
ผู้เสียชีวิตในประเทศไทยหลายรายอายุน้อย ไม่มีโรคประจำตัว ถึงแม้ว่าสาเหตุของการเสียชีวิตอาจเกิดจากการวินิจฉัยไม่ทันการณ์ การได้รับยาช้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปรากฏการณ์ที่ผู้ป่วยแข็งแรงอายุน้อย เกิดอาการปอดบวมรุนแรงและรวดเร็วเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ เนื่องจากเคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2461 (ค.ศ.1918) ที่รู้จักกันว่าไข้หวัดสเปน ที่คร่าชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคน พบว่าผู้มีอายุ 20-40 ปี มีอัตราการตายมากกว่ากลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป ไข้หวัด 1918 นั้น เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และลักษณะการระบาดรวดเร็วเช่นกัน ในระลอกแรกมีผู้เสียชีวิตประมาณร้อยละ 5 แต่ระลอกที่สองการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60-80 คำว่าระลอกที่สองอาจมีระยะห่างจากรอบแรกตั้งแต่สองเดือนถึงหนึ่งปีหรือมากกว่า จึงต้องเฝ้าระวังทุกกลุ่มอายุ ไม่ว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ก็ตาม
7.อาการทางสมอง แม้จะพบอาการทางสมองในไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่เป็นจำนวนน้อยมาก การติดตามระยะนานกว่าสามปีที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ไม่พบผู้ป่วยมีอาการทางสมองเลย ที่พบมีรายงานจะมาจากญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี และประเทศในยุโรป ตุรกี ในญี่ปุ่นในช่วงปี พ.ศ. 2540-2541 มีการประมาณการที่พบเด็กมีอาการทางสมองประมาณ 100-200 รายต่อปี แต่ไข้หวัดใหญ่ 2009 พบแล้วในประเทศไทยในสามเดือนเท่านั้น เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่ต้องจับตามองมาตรการใดที่กระทรวงสาธารณสุขเริ่มประกาศต้องมีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
1.แยกผู้มีอาการออกจากผู้อื่นโดยเด็ดขาด ตั้งแต่มีอาการหวัด ไอ น้ำมูก แม้ไม่มีไข้ก็ตาม หยุดงาน อยู่บ้าน สวมหน้ากาก อยู่ในห้องปิดประตู หรือถ้าอยู่ห้องรวมพยายามอยู่ห่างกันตลอดเวลาอย่างน้อย 1 เมตร เพื่อลดโอกาสติดกันทั้งบ้าน แยกภาชนะจาน ชาม แก้วน้ำ หน้ากาก หรือกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วควรแยก และทำลายทิ้ง คนในบ้านควรสวมหน้ากากด้วยเช่นกัน และต้องล้างมือเพื่อทำลายไวรัสที่ติดมือ แล้วเอามือ ขยี้ตา แคะจมูก
2.ผู้มีอาการน้อยเหมือนไข้หวัดธรรมดา ไม่ต้องรีบไปโรงพยาบาลและไม่จำเป็นต้องพยายามพิสูจน์ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 เพราะการไปโรงพยาบาลขณะป่วยเสี่ยงต่อการพาตัวไปติดเชื้อของจริง
3.ผู้มีอาการยกระดับจากไข้หวัดธรรมดาต้องพบแพทย์ ได้แก่ ไข้ไม่ลด สูงขึ้นเรื่อยๆ ในวันที่สองหรือวันที่สาม ปวดกล้ามเนื้อมากขึ้น หรือมีอาเจียน ท้องเสีย เพลียมาก หรือมีอาการปวดหัวมากขึ้น หรือมีซึม ในเด็ก ไม่กิน ไม่เล่น ซึม รีบไปโรงพยาบาล
4.รายงานจากห้องปฏิบัติการต้องเร็วและครอบคลุม การตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ขณะนี้รองรับจำนวนตัวอย่างมหาศาลของผู้ติดเชื้อทุกคนได้ยาก หากไม่จำกัดและคัดกรอง และตรวจทุกรายที่ต้องการตรวจ จะทำให้ในรายที่มีความจำเป็นต้องทราบผลด่วนไม่ได้รับผลการตรวจเร็วพอ ไม่ควรส่งตรวจผู้มีไข้หวัดธรรมดา
ผู้ที่ต้องได้รับการตรวจและทราบผลเร็วที่สุด ได้แก่ ก.ผู้ที่มีกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าอาการน้อยหรือมาก ข.ผู้ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ถ้ามีอาการมากกว่าหวัดธรรมดา แม้ไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม ค.บุคลากรสาธารณสุขที่มีโอกาสสัมผัสโรคและแพร่ให้คนไข้
5.ข้อมูลสถานการณ์แต่ละวันทั่วประเทศในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรงปานกลางขึ้นไป การนำข้อมูลจากทั่วประเทศที่ส่งให้กระทรวงสาธารณสุขมาแยกแยะอาการและแจ้งให้ทราบทั่วไปแก่บุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาล หรือผู้เกี่ยวข้อง ที่สำคัญช่วยในการพิจารณาความพร้อมของบุคลากร ห้อง ICU เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น แต่ละสถานพยาบาลควรกำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อการดูแลผู้ป่วยลดการเสียชีวิตที่สามารถทำได้
6.วิเคราะห์กลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยที่ติดเชื้ออาการระดับกลางถึงรุนแรง การที่ได้ทราบกลุ่มเสี่ยงจะทำให้บริการจัดการการให้วัคซีนในอนาคตได้ดี และจัดสรรให้กลุ่มเหล่านี้ได้เหมาะสม
7.การปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และอาจทำได้ และต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยก่อนปิดต้องมีการสื่อสารข้อมูลอย่างเข้มงวดแก่ผู้จะหยุดว่าอย่างน้อยสองวันแรกขอให้อยู่บ้าน และใส่หน้ากากเพื่อไม่ให้แพร่แก่คนในบ้าน เพราะถ้าติดโรคประมาณสองวันจึงแสดงอาการ ที่สำคัญอย่างยิ่ง ถ้าที่บ้านมีผู้ป่วย หรือผู้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ต้องจัดแยกให้ชัดเจน
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น