วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา
อาหารเพื่อบำรุงสมองนั้น เราทุกคนเคยทานและคุ้นเคยมากกว่าอาหารเพื่อบำรุงดวงตาหรือสายตา
อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา
ผลแอปริคอท
ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก
ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม
เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
ถั่วสีน้ำตาลแดง
ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา
ส้ม
วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย
ถั่วชนิดต่างๆ
อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น
ปลาแซลมอน
เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตา แห้งได้อีกด้วย
โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์
จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาล ที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8%
วิชาการ.คอม
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553
10 อันดับเมืองน่าอยู่ของเอเชีย
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เหตุใดศาสนาอิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมี ภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง
คนทั่วไปมักจะรู้จัก มุสลิมเพียงสองประการ คือ
มุสลิมไม่กินหมู และมุสลิมมีภรรยาได้หลายคน
จริง ๆ การมีภรรยาหลายคนเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ
บทบัญญัติ ของศาสนาส่วนใหญ่ในโลกก็ไม่ได้ห้ามการมีภรรยาหลายคน
ศาสนาอิสลามนั้น อนุญาตให้ชายมีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
ภายใต้ข้อแม้ว่าจะต้องสามารถให้ ความยุติแก่ผู้หญิงทั้งสี่ได้
ความยุติธรรม ในที่นี้ได้แก่ความเท่าเทียมกันในด้านการจ่ายค่าครองชีพ
(ค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย และที่อยู่อาศัย)
ไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่จิต ใจของภรรยาคนใดคนหนึ่งต่อหน้าภรรยาคนอื่น ๆ และสามีต้องค้างคืนกับภรรยาแต่ละคนให้เท่า ๆ กัน
เหตุที่ ศาสนาอิสลามอนุญาตไว้เช่นนี้ เพราะอิสลามส่งเสริมให้มีลูกมาก ๆ
เพื่อจำนวนมุสลิมจะ ได้มีมากขึ้น
อิสลามคำนึงถึงความจำเป็นของชายที่ปรารถนาจะสืบต่อ วงศ์ตระกูล
แต่ภรรยาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เพราะเป็นหมันหรือป่วย
อีก ทั้งชายบางคนก็มีความต้องการทางเพศสูง การอนุญาตให้เขามีภรรยาเพิ่มขึ้น
(โดย ที่เขาต้องเลี้ยงดูผู้หญิงใหม่ได้อย่างยุติธรรมดังกล่าวมาแล้ว)
จึง ย่อมดีกว่าปล่อยให้เขาไปหาทางออกทางอื่นที่เป็นบาป
และอิสลามคำนึง ว่าในโลกนี้มีพลโลกหญิงมากกว่าชาย
ทำให้หญิงจำนวนมากต้องครองตัวเป็นโสด
หากอนุมัติให้เธอแต่งงานกับชายที่มีภรรยาแล้ว
ซึ่งสามารถให้ความ สุขและความยุติธรรมแก่เธอได้ ย่อมเป็นการดีกว่า
อย่างไรก็ตาม การอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
เป็น ข้อยกเว้นที่เปิดโอกาสให้กระทำได้ แต่มิได้หมายความว่า
ศาสนาอิสลามจะส่ง เสริมให้ชายทุกคนมีภรรยาหลายคน
และในหมู่ชาวมุสลิม ชายที่มีภรรยาหลายคนเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็นับว่าน้อยมาก
ในอียิปต์กฎหมายอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน
แต่ปรากฏว่าผู้ที่มีภรรยามากกว่าหนึ่งคนมีเพียง 2.75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ประวัติความเป็นมาของการประกวดนางงามจักรวาล
การ ประกวดนางงามจักรวาล (อังกฤษ: Miss Universe) เป็นการประกวดความงามประจำปี เริ่มจัดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1952 โดยแปซิฟิกมิลส์ (Pacific Mills) บริษัทเสื้อผ้าจากแคลิฟอร์เนีย และหลังจากนั้นได้บริหารงานโดย เคย์เซอร์-รอธ (Kayser-Roth) และตามด้วย กัล์ฟแอนด์เวสเทิร์นอินดัสทรีซ์ (Gulf and Western Industries) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1996 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ซื้อกิจการและบริหารงานโดยองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) ในปัจจุบัน
รูปแบบการแข่งขัน
ในปัจจุบันการแข่งขันจะคัดเลือกสาวงามจาก ประเทศที่ส่งเข้าประกวด โดยผ่านรอบ Prelimnary ซึ่งคะแนนจากส่วนนี้จะส่งผลต่อการเข้ารอบในวันประกวดจริง โดยจะแยกเป็นคะแนนที่มาจาก การเดินชุดว่ายน้ำ (Swimming Suit Competition),การเดินชุดราตรี (Evening Gown Competition) และการสัมภาษณ์ต่อหนาคณะกรรมการ โดยเมื่อจบจากรอบนี้ ในวนประกวดจริง จะมีการประกาศผู้ที่ได้คะแนนสะสมจากรอบ Prelimnary ที่สูงสุด 15 อันดับ เพื่อเข้ารอบ 15 คนสุดท้าย (Semifinalist) จากนั้นผู้เข้าประกวดทั้ง 15 คนจะต้องเดินประกวดในชุดว่ายน้ำ เพื่อคัดเข้ารอบ 10 คนต่อไป โดยรอบ 10 คนสุดท้าย จะใช้การเดินชุดราตรีตัดสินผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย และผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย จะต้องตอบคำถามจากคณะกรรมการ โดยคำถามที่แตกต่างกัน โดยคะแนนในรอบต่างๆ ที่ผ่านมา จะถูกลบทิ้งไป และเริ่มต้นใหม่ที่การตอบคำถามจากรรมการ ก่อนที่กรรมการแต่ละคน จะพิจารณาถึงความเหมาะสมในตำแหน่งต่างๆ อีกครั้งจาก (Final Look) และเป็นเป็นผลการตัดสินออกมาว่าใครจะได้ตำแหน่งใด
เรื่องเล่าจากหญิงชรา
วัน แรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำ ตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผม ยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือ ๆ หนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยว ย่น ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่าง ยิ่ง หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า ...
“สวัสดี รูป หล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ”
ผม หัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า
“แน่นอน ได้สิ ครับ ”
แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า ...
“ทำไมคุณถึงมาเรียน มหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้ เดียงสาอย่างนี้ละ.. ”
เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉัน มา หาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน...”
ผมขัด จังหวะเธอ โดยถามว่า "ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
ผมสงสัย จริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอ
ตอบว่า " ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลัง จะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่ อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็น เพื่อนกันในทันที ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อม กัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของ เรา และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอ รักที่จะแต่งตัวดีๆ และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่น ๆ ให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เรา ได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
“ขอโทษด้วย นะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์ มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉัน มาเรียง ใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
พวก เราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า
“พวกเราทุกคนนั้น ไม่ ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น"
ที่จริงแล้ว มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุขและประสบความสำเร็จ อยู่ 4 ประการ
1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่อง สนุกๆ ขำขันทุกวัน
2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญ เสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
3) การที่คุณ “แก่ ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บน เตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุ ยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ ขึ้น ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย ประเด็นของการ เติบโต ขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
4) อย่าทิ้งอะไร ไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่ "
เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง “The Rose” อย่างกล้าหาญ และเธอได้แนะ ให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา ใช้กับ ชีวิตประจำวันของพวกเรา เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้ เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไป อย่างสงบ เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย ...
เพื่อ ระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส ...จงจำไว้ว่า
"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เรา ได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Halloween
| ||
ประเพณี นี้ได้รับการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน นับว่าเป็นวันสำคัญอันหนึ่งของคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก ซึ่งพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตสถานได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ "ฮัลโลวีน" ไว้ดังนี้ ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eve ซึ่งแปลว่าวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่าคำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลายในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาสชาวคาทอลิก พร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day) | ||
| ||
ประวัติ ความเป็นมาอีกฉบับหนึ่ง ให้คำอธิบายถึงที่มาที่ไปของวันนี้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดขึ้นมา บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด เทียนและระบบทำความร้อนก็จะถูกดับ เพื่อให้ร่างกายเกิดความหนาวเย็นเปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้ซึ่งชีวิต ส่วนบ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้ดูน่าสะพรึงกลัว และผู้คนต่างส่งเสียงเพื่อทำการขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายอีกทีนึง ทั้งนี้ หลายคนต่างสงสัยว่าทำไมสัญลักษณ์ของวันฮัลโลวีน ถึงเป็นหัวฟักทองแกะสลักสีส้ม เจ้าฟักทองนั้นมีชื่อว่า Jack O Lanterns เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่ง ในกรณีที่เขาเสียชีวิตแล้ว เขาขอเพียงแค่ไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรก เมื่อถึงคราวชีพจรดับปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านอันคุกรุ่นให้แก่ Jack เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาดเพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอรีชจึงแกะหัวผักกาด และนำถ่านมาใส่เช่นกันเพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศอเมริกา แต่หัวผักกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ทั้งนี้ สีดำบ่งบอกถึงความมืดมิดช่วงเวลากลางคืน ส่วนสีส้มคือแสงสว่างที่ลุกโชติ เพื่อขับไล่ปีศาจนั่นเอง |
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ลองศึกษาี ความว่าง
เรื่องความว่างถือเป็นหัวใจหรือแก่นของพระุพุทธศาสนา
ความ ว่างตามหลักพระพุทธศาสนาคือความว่างจากกิเลส (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) ว่างจากตัณหา (ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น) ว่างจากสุข ว่างจากทุกข์ ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา ของเรา
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักมองดูโลกโดยความเป็นของว่าง
"สุญญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต"
มีใจความว่า "เธอจงมองดูโลกโดยความเป็นของว่าง มีสติอยู่อย่างนี้ทุกเมื่อ และเมื่อเธอมองเห็นโลกอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ความตายก็จะค้นหาตัวเธอไม่พบนี้อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งมีใจความว่า ถ้าใครเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่แล้วผู้นั้นจะอยู่เหนือ อำนาจของความทุกข์ ซึ่งมีความตายเป็นประธาน"
"นิพฺนานํ ปรมํ สัญญํ" "นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ"
ว่างอย่าง ยิ่งคือนิพพาน นิพพานคือเครื่องนำมาซึ่งความสุขอย่างยิ่ง-อธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน- *"นิพพาน" ที่แปลว่า ดับไม่เหลือทุกข์นั้น มีความหมายลึกลงไปว่า ***ว่างอย่างยิ่ง*** สภาวะนิพพาน ไม่สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ (มีเพียงผู้ปฏิบัติเท่านั้นรู้ได้ด้วยตนเอง) นิพพานอยู่เหนือทุกข์เหนือสุข สรุปแบบโลกๆ (ตามความเข้าใจของดิฉันเอง) ว่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทำความเข้าใจ ความจริงของชีวิตว่า ขันธ์๕ มีลักษณะเป็นกฎไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง ไม่จีรัง มีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น จนเกิดอัตตายึดว่านี่ตัวกู-ของกู ปุถุชนอย่างเรา ที่ัยังต้องทำงานเลี้ยงชีพ การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็มีความสุขเพียงพอแก่ฐานานุรูป ส่วนหนทางดับทุกข์ หรืออริยมรรค มีอุบายวิธี คือ สติปัฏฐาน๔ ค่ะ
ลองศึกษาี ความว่าง สมเด็จ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
กิเลสบังทุกข์
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ตารางการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้น ม.6 ปีการศกษา 2553
ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 6 (จำนวน 6 วิชา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้)
วันเสาร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554
เวลา 08.30 – 10.30 น. รหัสวิชา 02 วิชาที่สอบ สังคมศึกษาฯ ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
เวลา 11.30 – 13.30 น. รหัสวิชา 04 วิชาที่สอบ คณิตศาสตร์ ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
เวลา 14.30 – 16.30 น. รหัสวิชา 03 วิชาที่สอบ ภาษาองกฤษ ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
วันอาทิตย์ ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554
เวลา 08.30 – 10.30 น. รหัสวิชา 01 วิชาที่สอบ ภาษาไทย ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
เวลา 11.30 – 13.30 น. รหัสวิชา 05 วิชาที่สอบ วิทยาศาสตร์ ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
เวลา 14.30 – 16.30 น. รหัสวิชา 06 วิชาที่สอบ สุขศึกษาและพลศึกษา ,ศิลปะ ,การงานอาชีพและเทคโนโลยี ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
ประกาศผล วันที่ 10 เมษายน 2554
แหล่งที่มา http://www.niets.or.th/(สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน))
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
"สนามหลวง" สมบัติของชาติ
ท้องสนามหลวง หรือ สนามหลวง เป็นสนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล กรุงเทพมหานคร
ท้องสนามหลวง เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ดังปรากฏในประกาศว่า “ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ‘ทุ่งพระเมรุ’ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า "ท้องสนามหลวง" ’”
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้ปรากฏแก่นานาประเทศว่า เมืองไทยบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีไร่นาไปจนใกล้ ๆ พระบรมมหาราชวัง และไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์มีกำแพงแล้วล้อมรอบบริเวณ ข้างในสร้างหอพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระสำหรับพิธี สำหรับการพิธีมีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธี มีหอดักลมลงที่พลับพลาสำหรับทอดพระเนตรการทำนา ข้างพลับพลามีโรงละครสำหรับเล่นบวงสรวง ด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้วสำหรับประทับทอดพระเนตรการทำนาในท้องทุ่ง นอกกำแพงแก้วยังมีฉางสำหรับใส่ข้าวที่ได้จากการปลูกข้าว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิม และรื้อพลับพลาต่าง ๆ ที่สร้างในรัชกาลก่อน ๆ เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องทำนา และได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การฉลองพระนครครบ 100 ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปใน พ.ศ. 2440 ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟ
ในรัชกาลปัจจุบันมีการใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี พระราชพิธีกาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
สนามหลวงโบราณสถานสำคัญของชาติ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนที่ 126 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2520 มีเนื้อที่
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Un taureau blesse 30 spectateurs dans les gradins d'une arène
VIDÉO Un taureau a provoqué la panique mercredi dans une arène du nord de l'Espagne, blessant une trentaine de spectateurs après avoir réussi à sauter dans les gradins. Un incident très rare, selon les médias espagnols.
Un garçon de 10 ans, assez grièvement touché mais dont les jours ne sont pas en danger, a été hospitalisé, et un autre spectateur a été encorné dans l'arène de Tafalla, en Navarre. Près de 30 autres personnes étant plus légèrement blessées, a précisé le quotidien local "Diario de Navarra".
La télévision publique espagnole a montré des images impressionnantes de cet assaut du taureau qui a réussi à bondir au dessus du "callejon", couloir circulaire entourant l'arène, avant de se retrouver au milieu des spectateurs pris de panique.
Des taureaux parviennent régulièrement à sauter dans le "cajellon" pendant les corridas, mais il est très rare d'en voir un bondir jusque dans les gradins.
Plusieurs ambulances ont été dépêchées pour évacuer les blessés. Le taureau a été maîtrisé au bout d'une quinzaine de minutes par les employés de l'arène avant d'être mis à mort sur place. Selon le site taurin spécialisé Mundotoro, les organisateurs s'apprêtaient à faire sortir l'animal de l'arène, car son comportement ne donnait pas satisfaction, au moment où il a bondi.
Il s'agissait non pas d'une corrida classique, mais d'une course dite de "recortadores", un peu similaire aux courses landaise ou camarguaise en France, où il s'agit notamment d'éviter l'animal en l'approchant de très près.
Prix des bus scolaires: des mères très en colère
La nouvelle organisation des transports publics vaudois ne fera pas que des heureux. En témoignent ces parents d’élèves à Gland.
Une rentrée qui démarre mal. Début août, les parents d’élèves scolarisés à Gland (VD) ont reçu une notification au goût amer. Dès décembre prochain, l’abonnement de bus pour leur enfant passera de 185 francs par an à… 405 francs! Une somme considérable pour un trajet qui ne dépasse généralement pas deux arrêts de bus.
La raison? Cette commune va intégrer la communauté tarifaire vaudoise Mobilis, qui englobera 93% du canton à la fin de l’année. Il s’agit là d’une uniformisation des prix: le canton est désormais découpé en zones et un billet permet d’emprunter tous types de transports dans ce périmètre donné.
Principe inadmissible
«C’est inadmissible, s’indigne Viviane Maillard, mère de deux adolescents. Cette augmentation est énorme. On nous oblige à prendre un abonnement combiné, mais ils ne prennent pas le train, ils ont juste besoin du bus postal pour deux arrêts à l’intérieur de Gland!»
Même son de cloche chez Hélène Barros ou encore sa voisine Sandra Bucher. «Cela ne concerne pour l’instant que ma fille de 10 ans, mais vous imaginez pour les parents qui ont deux ou trois enfants scolarisés?» Elle envisage de trouver une alternative au bus pour son enfant. A trottinette? A pied? «C’est envisageable bien sûr, mais à pied cela prendra trente minutes à ma fille. Si en plus elle rentre à midi, cela devient compliqué. Quoi qu’il en soit, il est exclu que je paie cette somme. Non seulement mon budget ne me le permet pas, mais c’est aussi une question de principe.» Avec d’autres parents, elle envisage le covoiturage, si les choses devaient en rester là.
Eventuelles subventions
Florence Golaz, municipale en charge des Transports et de l’Enseignement à Gland, comprend l’inquiétude de ces parents. «C’est un système qui est avant tout pensé pour les pendulaires. Quelqu’un qui habite à Gland et travaille à Lausanne pourra combiner bus et trains en un seul abonnement et y trouvera vraiment son compte. Mais c’est vrai que pour une partie de la population, cela peut se révéler moins avantageux.» Pour l’heure, l’abonnement acheté cette rentrée à 185 francs restera valable toute l’année. «C’est pour cela que nous avons tenu à avertir le plus rapidement possible les parents. Ainsi, ils ne seront touchés par cette hausse qu’à partir de l’année prochaine.» Un délai qui permettra à la Municipalité de réfléchir à d’éventuelles possibilités de subventionnement, assure Florence Golaz.
Chef du Service de la mobilité à l’Etat de Vaud, Vincent Krayenbühl assure que Mobilis, déjà actif dans une partie du canton, reçoit un écho très positif. «Cette communauté implique d’avoir une même structure de tarifs dans toutes les zones du canton. Dans des villes comme Nyon, où les prix des transports étaient déjà relativement élevés, Mobilis n’a pas engendré de grande différence. Mais les usagers qui n’empruntaient que le car postal pour quelques arrêts, comme c’est le cas à Gland, vont effectivement subir une hausse.»
Une hausse qui pour le moment consterne ces parents. «On me dit qu’avec l’abonnement Mobilis mon fils pourra utiliser le train. Mais pourquoi payer un service qu’on n’utilise pas? Je ne comprends pas cette logique», conclut Hélène Barros, un rien soucieuse en pensant aux dépenses qui l’attendent.
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สรรพสิ่งคือของใช้ อย่าเข้าใจว่าเป็นของฉัน
ปุจฉา
ช่วงที่เหตุการณ์บ้านเมือง วุ่นวาย คนในประเทศทะเลาะแตกความสามัคคีกัน
ผมเกิดความเบื่อหน่ายอย่าง มาก ไม่รู้จะช่วยชาติบ้านเมืองได้อย่างไร
เลยเลิกสนใจข่าวสารทุกชนิด ตั้งหน้าทำมาหากินสนใจแต่เรื่องปากท้องของตัวเอง
การกระทำเช่นนี้เรียก ว่าเป็นการ "ปล่อยวาง" หรือไม่
การปล่อยวางต่างจากการวางเฉย ไม่ใส่ใจอย่างไร?
วิสัชนา
การปล่อยวาง มี ๒ ประเภท
(๑) การปล่อยวางด้วยความรู้
(๒) การปล่อยวางความเขลา
การ ปล่อยวางด้วยความรู้เกิดขึ้น เพราะผู้ปล่อยวางนั้น ตระหนักรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตว่า ไม่อาจยึดเอาสิ่งใดมาเป็นของตนได้อย่างถาวร เพราะสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ (กฎธรรมชาติที่เป็นสากลสำหรับทุกสิ่ง) ที่ว่า
"ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา"
หรือ
"ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้"
หรือแปลอีกนัยหนึ่งว่า
"ไม่แน่ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์"
สรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีความไม่เที่ยง คือ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์ คือ ไม่สามารถทนอยู่ในลักษณะเดิมตลอดไป ทนอยู่ได้ก็ชั่วครู่ชั่วคราว
และ สรรพสิ่งล้วนเกิดจากองค์ประกอบที่แตกต่างหลากหลาย มารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นองค์รวม แต่ก็รวมกันได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในที่สุดแล้วก็มีอันจะต้องแตกดับ สลายไป เหมือนกันทั้งหมด
ในเมื่อ ความจริงของสิ่งต่างๆ เป็นอย่างนี้ เราจึงไม่อาจ "ยึด" เอาอะไรมาเป็น "ของเรา" ได้อย่างแท้จริง เรา "ยึด" สิ่งต่างๆ ว่าเป็นของเราได้เพียงชั่วคราวในลักษณะของที่ขอ "ยืม" เขามาเท่านั้น ในเมื่อสรรพสิ่งที่เรามีอยู่ล้วนเป็นเหมือนของที่ยืมเขามา เมื่อถึงเวลาก็ต้องส่งคืนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เช่น
เรายืมอากาศมาหายใจ ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุลม
เรายืมดินมาเป็นร่างกาย ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุดิน
เรายืมไฟมาเป็นความอบอุ่น ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ความเป็นธาตุไฟ
เรายืมน้ำมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุน้ำ
ขยายความให้กว้างออกไปจนครอบ คลุมสิ่งของ เช่น เสื้อผ้า บ้านเรือน รถ เงินทอง ไร่นา ฯลฯ ตลอดจนถึงโลกธรรมอันเป็นที่ชื่นชม เช่น ได้ลาภ (จะมีเสื่อมลาภรอเตือนให้คืนลาภอยู่ในตัว (ได้ยศ จะมีอัปยศรอทวงอยู่) สรรเสริญ (จะมีนินทารออยู่) สุข (จะมีทุกข์รออยู่) เห็นไหมว่า สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาหรือไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ แม้แต่เพียงอย่างเดียว
ดังนั้น เราจึงไม่อาจยึดเอาอะไรมาเป็น "ของเรา" ได้อย่างแท้จริง เราทำได้แค่เพียงใช้ มี ครอบครอง สิ่งต่างๆ ได้เพียงชั่วคราว ด้วยความตระหนักรู้ว่า "ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง" หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ
"สรรพสิ่ง คือ ของใช้ อย่าเข้าใจว่าเป็น ของฉัน"
ส่วนการปล่อยวางอย่างที่ คุณยกตัวอย่างมานั้น เป็นเพียง "ปฏิกิริยา" ต่อบางสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเท่านั้น ยังไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริงแต่อย่างใด วิธีปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ที่เราเบื่อ แล้วหันหลังให้นั้น หากจะถือว่าเป็นการปล่อยวาง ก็เป็นเพียงการปล่อยวางใน "ภาษาคน" ยังไม่ใช่การปล่อยวางใน "ภาษาธรรม" แท้ๆ
ใน เมื่อไม่ใช่การปล่อยวางแท้ เดี๋ยวคุณก็จะมีโอกาสกลับมาทุกข์กับสิ่งที่คุณ "ทำท่าเหมือนจะปล่อยวาง" นั้นอีกครั้งหนึ่งไม่เร็วก็ช้า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แต่ อย่างไรก็ตาม หากทำแล้ว ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น การถอยออกมาจากบางสิ่งที่กัดกินใจให้หมองหม่นก็เป็นสิ่งที่ควรทำบ้างเหมือน กัน
ที่ มาhttp://www.dhammajak.net/
ว.วชิรเมธี
อย่าทอดทิ้ง...พระในบ้าน
| |||
| |||
|
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
♣ 30 เรื่องจริงของเด็กไทยที่เรียนเมืองนอก ♣
2. มักจะรับวัฒนธรรมของประเทศที่ตัวเองไปอยู่โดยบางคนไม่รู้ตัว
3. และเมื่อกลับมาไทยจะโดนคนอื่นมองว่าก้าวร้าวบ้าง แต่ก็ไม่หวั่นเพราะคิดว่าไม่ผิด
4. หลายคนที่ไปอยู่หลายปีมักจะมีมุมมองที่ต่างจากเด็กไทยที่เรียนเมืองไทย
5. เช่น การเถียงครูเป็นเรื่องไม่ผิด (ตามประเทศทางตะวันตก และ อเมริกา) เพราะทางประเทศพวกนั้นเขาสอนให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ แต่ อ่า อ๊าา เดี๋ยวก่อน ต้องเถียงอย่างมีเหตุผลและใช้ภาษาอย่างสุภาพนะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าลุกขึ้นมาด่า ช็อตๆๆ
6. สำหรับเด็กไทยที่ไปโตประเทศนั้นมาตั้งแต่เด็กจริงๆ จะพูด,อ่าน,เขียน ภาษาไทยไม่ชัด แต่ภาษาฟังน่าจะโอเค (อันนี้แล้วแต่ว่าที่บ้านเลี้ยงมายังไงด้วยนะครับ)
7.จะชอบเปรียบเทียบ ระหว่างเมืองไทย เมืองนอกเสมอ
8. พวกที่ไปตอนโตแล้วซักนิดนึงก่อนไปอาจจะมีปัญหาเรื่องนั่นเรื่องนี่ แต่พออยู่ไปนานๆแล้วก็เพลินกับชีวิตซะสุดๆ
9.เราจะพูด อ่าน เขียน ฟัง ภาษาของประเทศที่ไปอยู่ได้อย่างรวดเร็วมาก
10.แต่ทั้งนี้ก็มี กรณียกเว้นเด็กบางคนที่ไม่ชอบเข้าสังคม ภาษาก็อาจจะช้านิดนึง แต่ยังไงก็ต้องได้ศัพท์ในการเอาตัวรอด
11.แม้รู้ว่าการอยู่ เมืองนอกไม่ควรจับกลุ่มอยู่แต่กับคนไทยเท่านั้น แต่พอมีเพื่อนเป็นคนไทยก็อดไม่ได้ที่จะอยู่ด้วยกันและคุยภาษาไทยกันต่อ ฮ่าๆ
12.เมื่อแรกอยู่ อาจจะไม่ค่อยเคยชินกับวัฒนธรรมนั้นๆตอนแรกเจอ แต่เมื่ออยู่ไปซักพักกลับมามองตัวเอง อ้าวเราติดนิสัยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เหอะๆ !
13.ก็มีคนไทยส่วน หนึ่งดัดจริต แกล้งดัดจริต ทำไมออกสำเนียงไม่ชัดบ้าง กลับไทยมาทำท่าไม่ชินบ้าง (ในขณะที่บางคนอยู่ไทยมากว่า 20 ปี อยู่นอกแค่เทอมเดียว) กลับมากลายเป็นไม่ชินซะแล้ว โอ้ ช่างสุดยอดจริงๆ ปล. ข้อนี้ไม่แนะนำให้เอาตัวอย่างนะครับ
14.แต่ในขณะที่คนไทย ที่อยู่เมืองนอกนานแล้วซักพักจะทำตัวปกติในรูปแบบที่เป็นตัวเอง น้อยคนที่จะดัดจริต (เพราะชิน)
15.ไม่ว่าคนไทยไปอยู่ ประเทศอะไร พูดภาษาอะไร แต่สำเนียงก็ไทยอยู่ (80 % ) ยกเว้นคนที่มีความทางสามารถทางภาษา หรือ ลิ้นอ่อน หรือ อยู่ตั้งแต่เด็กๆเลยจริงๆ
16. จากข้อข้างต้นที่กล่าวมาทำให้เวลาพูดคนไทยจะเดาได้ว่าคนนี้เป็นคนชาติเดียว กัน
17.คนไทยหลายคนเวลา ไม่พอใจกับต่างชาติแต่ไม่อยากมีเรื่อง มักจะใช้ภาษาไทยนินทาต่อหน้า (ฮ่าๆๆๆ) เพราะรู้ว่ายังไงเขาก็ฟังไม่ออกอยู่แล้วนี่
18.แต่เดี๋ยวก่อน ก็ต้องระวังด้วยนะครับ เพราะเมืองนอกก็มีคนเรียนภาษาไทย หรือ มีคนไทยที่เราดูไม่ออกว่าเป็นคนไทย มันเคยมีกรณีเกิดขึ้นมาแล้วนะ พูดภาษาไทยออกไปแล้วเขาฟังออก (หลังจากนั้นคิดเอาเอง.....)
19. เด็กไทยเรียนนอกชอบบ่นเรื่องอากาศ พอหนาว(ก็หนาวเกิน) พอร้อน ก็บ่นอีก(ทั้งๆบางทีลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าไทยร้อนกว่า) ฮ่าๆๆๆ
20.วิชาคณิตศาสตร์ สามารถเชิดหน้าชูตาเด็กไทยได้เป็นอย่างมาก บางคนเรียนคณิตศาสตร์ในไทยได้เกรด 2.5 ไปเรียนเมืองนอกกลายเป็น Whiz kid ซะอย่างนั้น
21.เวลาเจอคนไทยที่ นั่นจะรู้สึกอ๋อ นี่คนบ้านเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ทักกันหรอก แต่ก็มีบ้างที่ทัก
22.สำหรับคนเรียนนานา ชาติที่เมืองนอกจะรู้สึกสนุกสนานที่ได้เจอเพื่อนต่างชาติต่างวัฒนธรรม แต่บางวัฒนธรรมเราจะรับไม่ได้
23.ชอบสอนการทักทาย พร้อมการไหว้ให้เพื่อนต่างชาติได้ดู และเขาก็ทำตามก็รู้สึกภูมิใจ
24.ในกรณี home sick เคยเกิดขึ้นแล้วกับเด็กไทยทุกคน บางคนมาก บางคนน้อย
25.พอได้ยินเพลงไทย เปิดตามถนน หรือในห้าง เราก็จะรู้สึกโอ้ ภูมิใจ !
26. หากเด็กไทยกลุ่มไหนอยู่กับชาติที่ตรงต่อเวลา ก็จะติดนิสัยตรงต่อเวลา และเมื่อกลับมาไทยก็จะรู้สึกไม่ชอบเวลาเจอคนไม่ตรงต่อเวลา (เป็นข้อดี)
27. เด็กไทยหลายคนช่วยเหลือตัวเองได้จากการไปอยู่เมืองนอก
28. เด็กไทยที่ไปอยู่เมืองนอกถูกปลูกฝังความกล้าคิด กล้าแสดงออก โดยมิต้องเกรงกลัวใครหากไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
29. เด็กไทยที่ไปอยู่เมืองนอกจำนวนมากกล้าที่จะแสดงความคิดตอบโต้กับผู้ใหญ่ ซึ่งมิได้เป็นการก้าวร้าวในทัศนคติของเขา (ซึ่งผู้ใหญ่ควรเปิดมุมกว้างพอที่จะรับมุมของเด็กกลุ่มนี้ได้)
30. เด็กไทยที่ยังพูด เขียน ภาษาไทยได้ดี นับเป็นความสามารถพิเศษในเมืองนอกกันเลยดีเดียว รวมถึงเพื่อนต่างชาติจะรู้สึก Oh! It's amazing! เพราะภาษาเรามีความงดงามอยู่ไม่น้อย
กลุ่มโรคร้าย ภัยของนักดื่มตัวยง
การดื่มสุรา เราต่างก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย มิหนำซ้ำยังส่งผลเสียและอันตรายอีกมากมายให้กับผู้ที่ดื่มเข้าไป ซึ่งก็เห็นได้จากทางหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ ทั้งอุบัติเหตุ ขาดสติ ทะเลาะวิวาทฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีผลกับสุขภาพอีกด้วย ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเพิ่มอัตราการเกิดโรคร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่คือ 4 โรคร้ายที่คุณนักดื่มควรจะระวังไว้ค่ะ
โรค ทางระบบประสาท
โรคนอนไม่หลับ กระบวนการการรับรู้ความเข้าใจบกพร่อง ขาดสติ จิตหลอน ประสาทหลอน โรคคลั่งเพ้อ เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง การทำหน้าที่ของสมองผิดปกติส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน ขาอ่อนแรง ปลายประสาทพิการ นอกจากนี้ก็ยังมีโรคซึมเศร้า โรคลมชัก โรคระแวงเพราะสุราด้วย
โรคมะเร็ง
มะเร็ง ในปากและช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านมในผู้หญิง และมะเร็งรังไข่ ซึ่งในผู้ชายส่วนใหญ่ที่เป็นนักดื่มมักป่วยเป็นมะเร็งตับ
โรคหลอดเลือดและหัวใจ
เกิดจากปริมาณ แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป จะทำให้เส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบ ส่งผลให้ผู้ที่ชอบดื่มสุราเป็นประจำมีอัตราการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่ดื่ม น้อยกว่า และยังทำให้เกิดความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหรือเซลล์หัวใจได้ กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม นอกจากนี้ยังทำให้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมองส่วนนอกลีบฝ่อ อาการระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินไป โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะและโรคหัวใจล้มเหลว
โรคเรื้อรังอื่นๆ
โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง ต่อมาก็โรคกระเพาะอักเสบ เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปทำลายสารเคลือบกระเพาะ โรคต่อมหมวกไต กระดูกพรุน โรคเกาต์ โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากWoman’s Story
วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วังเชอนงโซ
วังเชอนงโซ (ฝรั่งเศส: Château de Chenonceau) ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเชอนงโซซ์ (Chenonceaux) ในแคว้นซองตร์ ในบริเวณแองดร์-เอต์-ลัวร์ ในประเทศฝรั่งเศส วังเดิมสร้างบนโรงป่นแป้งเก่าบนฝั่งแม่น้ำแชร์และสร้างมา ก่อนหน้าที่จะมีหลักฐานทางเอกสารเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11 วังปัจจุบันออกแบบโดยฟิลแบรต์ เดอลอร์ม (Philibert De l'Orme)สถาปนิกเรอเนซองส์
ประวัติ
ปราสาทเดิมถูกวางเพลิงเมื่อปีค.ศ. 1411 เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ฌอง มาร์คส์ (Jean Marques) ผู้เป็นเจ้าของใช้อำนาจในทางที่ผิด หลังจากนั้นเมื่อราวปีค.ศ. 1430 ฌอง มาร์คส์ก็สร้างปราสาทใหม่โดยมีการสร้างเสริมอย่างแข็งแรง ปีแอร์ มาร์ค (Pierre Marques) ผู้เป็นเจ้าของต่อมาไปทำหนึ้เป็นสินมากจนต้องขายปราสาทให้กับทอมัส โบเยร์ (Thomas Bohier) ผู้เป็นราชมนตรีของพระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 1513 โบเยร์รื้อปราสาทเดิมทิ้งแล้วสร้างวังใหม่ระหว่างปี ค.ศ. 1515 ถึงปี ค.ศ. 1521 โดยให้แคทเธอริน บริโชเนท์ (Catherine Briçonnet) ผู้เป็นภรรยาเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง แคทเธอรินชอบจัดงานเลี้ยงสำหรับข้าราชสำนักรวมทั้งพระเจ้าฟรองซัวส์ที่1 ถึงสองครั้ง ต่อมาพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ก็ยึดวังจากลูกของโบเยร์ ผู้เป็นหนี้หลวงเป็นจำนวนมากมาย หลังจากพระเจ้าฟรองซัวส์สิ้นพระชนม์เมื่อปีค.ศ. 1547 พระเจ้าอองรีที่ 2 ก็ ยกเชอนงโซให้กับไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ (Diane de Poitiers) ผู้เป็นพระสนมคนโปรด ไดแอนน์ติดใจเชอนงโซและชอบทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำแชร์มาก จนสั่งให้สร้างสะพานเชื่อมตัววังกับฝั่งตรงข้าม และสร้างสวนดอกไม้ สวนครัว และสวนผลไม้ขนาดใหญ่ สวนที่อยู่ริมแม่น้ำได้รับการป้องกันจากน้ำท่วมด้วยกำแพงหิน ตัวสวนเป็นรูปสามเหลี่ยมสี่อัน
ตามกฎหมายแล้วเชอนงโซเป็นของหลวง แต่ไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ก็อยู่อย่างเป็นเจ้าของเต็มตัวมาจนถึงปี ค.ศ. 1555 เมื่อมีปัญหาว่าใครควรจะเป็นเจ้าของที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดไดแอนน์ก็ได้เป็นเจ้าของถูกต้องตามกฎหมาย แต่เพียงสี่ปีต่อมาเมื่อพระเจ้าอองรีที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1559 พระราชินีแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ (Catherine de' Medici) พระชายาของพระเจ้าอองรีก็ขับไดแอนน์ออกจากเชอนงโซ แต่เพราะวังไม่ได้เป็นของหลวงแคทเธอรินจึงไม่ทรงสามารถยึดได้โดยไม่มีข้อแลก เปลี่ยน จึงทรงบังคับให้ไดแอนน์แลกเชอนงโซกับวังชอมองท์ (Château Chaumont) หลังจากนั้นก็ทรงปรับปรุงเชอนงโซและสร้างสวนเพิ่มอีกหลายสวนจนกลายเป็นวัง ที่ทรงโปรดปรานมาก
ในฐานะที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแคทเธอริน เด เมดิชิสามารถใช้เงินจำนวนมากในการปรับปรุงและจัดงานหรูหราที่เชอนงโซได้ เมื่อปี ค.ศ. 1560 ก็ทรงจัดให้มีการแสดงดอกไม้ไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในฝรั่งเศสที่เชอนงโซ เพื่อเป็นการฉลองการขึ้นครองราชสมบัติของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 2 ผู้เป็นพระโอรสของพระองค์
หลังจากพระราชินีนาถแคทเธอรินสิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1589 วังก็ตกไปเป็นของลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์ (Louise de Lorraine-Vaudémont) พระชายาของพระเจ้าอองรีที่ 3 ผู้เป็นพระโอรสอีกองค์หนึ่งของพระราชินีนาถแคทเธอริน เมื่อพระราชินีลุยสได้รับข่าวการปลงพระชนม์ของพระสวามีก็ทรงโศกเศร้ามากจน ไม่ทรงมีสติสัมปชัญญะและทรงใช้เวลาบั้นปลายของชีวิตอย่างเป็นแม่ม่ายเต็มตัว เที่ยวเดินเทียวไปเทียวมาในชุดแม่ม่ายภายในวังที่ตกแต่งด้วยพรมแขวนผนังดำที่ปักเป็นหัวกระโหล กไขว้
พระสนมอีกคนหนึ่งที่ได้อยู่ที่วังนี้เมื่อปี ค.ศ. 1624 คือกาเบรียล เดสเตรส์ (Gabrielle d'Estrées) ในพระเจ้าอองรีที่ 4 หลังจากนั้นเชอนงโซก็ตกไปเป็นของผู้สืบสายมาจากพระราชินีลุยส--ดยุคเซซาร์ เดอ บูร์บง, ดยุคแห่งวองโดม (César de Bourbon, duc de Vendôme) และภรรยาดัชเชสฟรองซัวส เดอ ลอเรน (Françoise de Lorraine) และผ่านต่อมาทางสายวาลัวส์ (Valois) หลังจากนั้นวังก็มีผู้พำนักไม่พำนักบ้างมากว่าร้อยปี
เมื่อปี ค.ศ. 1720 ดยุคแห่งบูร์บงก็ซื้อวังเชอนงโซ แล้วค่อยๆ ขายสมบัติภายในวังไปทีละน้อย รูปปั้นหลายรูปก็ตกไปเป็นของพระเจ้าวังแวร์ซาย ในที่สุดวังเชอนงโซก็ถูกขายให้กับโคลด ดูแปง (Claude Dupin)
มาดามลุยส ดูแปง ภรรยาของโคลด ดูแปงเป็นลูกสาวของซามูเอล แบนาร์ด (Samuel Bernard) นักลงทุน และเป็นย่าของนักประพันธ์จอร์จ ซองด์ (George Sand) เป็นผู้ทำให้เชอนงโซกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนี่งโดยการจัดงานเลี้ยง สำหรับผู้นำในยุคภูมิปัญญา เช่น วอลแตร์ มองเตสกิเออ (Montesquieu) จอร์จ หลุยส์ เลอแคล (Georges-Louis Leclerc) เบอร์นาร์ด เลอ โบวิเย เดอ ฟองทเนล (Bernard le Bovier de Fontenelle) ปิแอร์ เดอ มาริโว (Pierre de Marivaux) และ ชอง-ชาก รุสโซ มาดามลุยส์ปกป้องเชอนงโซจากการถูกทำลายระหว่างการปฏิวัติฝรั่วเศส เพราะเชอนงโซเป็นจุดเดียวสำหรับข้ามแม่น้ำแชร์ในบริเวณนั้นจึงมีประโยชน์ต่อ การเดินทางและการค้าขาย
นอกจากนั้นก็ยังกล่าวกันว่ามาดามลุยสเป็นผู้เปลี่ยนการสะกดคำว่า “Chenonceaux” เป็น “Chenonceau” เพื่อเอาใจชาวบ้านระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส เพราะ “x” เป็นสัญลักษณ์ของฐานันดร เมื่อเอาอักษร “x” ออกก็เป็นการแสดงความจงรักต่อระบบการปกครองใหม่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่การสะกด “Chenonceau” โดยไม่มี “x” ก็ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้
เมื่อปี ค.ศ. 1864 แดเนียล วิลสัน (Daniel Wilson) ชาวสกอตแลนด์ผู้ร่ำรวยจากการติดตั้งตะเกียงแก๊สทั่วปารีสซื้อวังนี้ให้ลูกสาว ผู้ใช้เงินจำนวนมากจัดงานเลี้ยงจนกระทั่งหมดตัว ในที่สุดวังถูกยึดและขายให้โฮเซ อิมิลิโอ เทอรี (José-Emilio Terry) มหาเศรษฐีชาวคิวบา เมื่อปีค.ศ. 1891 เทอรีขายเชอนงโซต่อให้กับฟรานซิสโก เทอรีผู้เป็นญาติ และเมื่อปีค.ศ. 1896 ในที่สุดตระกูลเมเนียร์ (Menier) ที่มีชื่อเสียงจากการทำช็อกโกแลตก็ซื้อเชอนงโซเมื่อปีค.ศ. 1913 และเป็นเจ้าของมาจนถึงปัจจุบันนี้
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1ตัววังก็ใช้ เป็นโรงพยาบาล และระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เชอนงโซใช้เป็นที่ หนีจากบริเวณที่ยึดครองโดยนาซี ไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำแชร์ที่เป็นวิชีฝรั่งเศสที่เป็นอิสระจากส่วนที่ยึดครองโดย เยอรมนี
เมื่อปี ค.ศ. 1951ตระกูลเมเนียร์มอบให้เบอร์นาร์ด โวแซง (Bernard Voisin) เป็นผู้บูรณะเชอนงโซซึ่งอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมมากและสวนที่ได้รับความเสีย หายอย่างหนักจากน้ำท่วมเมื่อปี ค.ศ. 1940 ให้คืนสู่สภาพที่สวยงามตามที่เคยเป็นมา
ลักษณะของสถาปัตยกรรมของเชอนงโซ เป็นแบบผสมระหว่างสถาปัตยกรรมกอธิคและสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ตอนต้น ในปัจจุบันวังเปิดให้คนเข้าชมและเป็นวังที่มีผู้เข้าชมเป็นอันดับสองรองจากพระราชวังแวร์ซาย
รอบรู้ ก่อนเดินทาง สู่….ประเทศ ฝรั่งเศส
ความรู้ทั่วไป
พื้นที่ : มีพื้นที่ 551,000 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในยุโรป หรือหนึ่งในสี่ของพื้นที่ในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หากมองดูจากแผนที่ประเทศฝรั่งเศสแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหมือนรูปหกเหลี่ยม ดังนั้นบางครั้งคนฝรั่งเศสจึงเรียกประเทศของตนว่า L'hexagone ซึ่งแปลว่ารูปหกเหลี่ยม
การปกครอง : การปกครองแบบรัฐธรรมนูญปี 1958 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี 1962 มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ (คนปัจจุบัน President Jacques Chirac) เข้าดำรงตำแหน่งโดยการเลือกตั้ง ซึ่งมีขึ้นทุกๆ 7 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก (สส) ที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี
วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมทุกๆ 9 ปี และ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเลือกตั้งทุกๆ 3 ปี
เพลงชาติ ลา มาร์แซยแยสา (La Marseillaise) แต่งโดย รูเชต์ เดอ ลิลล์ (Rouget De Lisle) โดยคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมืองสตราสบูร์กเมื่อปี 1792 เดิมมีชื่อว่า าเพลงรบกองทัพแห่งไรน์า (Chant de Guerre pour I'Armee du Rhine) ซึ่งมีท่วงทำนองและเนื้อร้องที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้ติดปากชาวฝรั่งเศส และเปลี่ยนมาเป็นเพลงประจำชาติในชื่อของ าลา มาร์แซยแยสา เมื่อปี 1795
ธงชาติ ธงไตรรงค์ หรือ Tricolore เป็นธงต้นฉบับของธงชาติที่หลายประเทศนำมาใช้ ซึ่งประกอบด้วย 3 สี คือ แดง น้ำเงิน ขาว เดิมทีธงลาฟาแยต (La Fayette) ซึ่งในขณะนั้นมี 2 สี คือ แดง และ น้ำเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ของกองทหารรักษาพระนครในกรุงปารีสได้ก่อการปฏิวัติ ต่อมาในปี 1789 (พ.ศ. 2332) มีการเพิ่มสีขาวอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ในพระราช วงศ์บูร์บองส์เข้าไป และได้นำมาใช้เป็นธงชาติมาตราบเท่าทุกวันนี้
ภูมิอากาศ มี 3 ประเภท คือแบบภาคพื้นสมุทร แบบภูเขา และแบบเมดิเตอร์เรเนียน ในส่วนของนครปารีส นั้น มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปี 12 องศาเซลเซียส แต่เอาแน่อะไรกับภูมิอากาศปารีสไม่ค่อยได้ ฝนตกได้ทุกฤดูกาล และบางทีอุณหภูมิหน้าหนาวลดลงกว่า 3 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าถ้าจะไปปารีส ก็ต้องเตรียมตัวรับหลายสถานการณ์ ทางใต้ของฝรั่งเศส มีอากาศอบอุ่นที่สุดเป็นเขตที่มีลมชื่อ มิสทรัล (Mistral) พัดผ่านในราวฤดูใบไม้ผลิ
เงินตรา และธนาคาร หน่วยเงินของฝรั่งเศส : คือฟรังค์ (FF) 1 ฟรังค์มีค่าเท่ากับ 100 ซองตีม (เซนต์) ซึ่งมีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 7 บาท (เดือน มิถุนายน 2541) ธนบัตรฝรั่งเศสมีมูลค่า 500,200,100,50 และ 20 ฟรังค์ เงินเหรียญของฝรั่งเศสมีมูลค่า 50,20,10 และ 5 ซองตีม เหรียญ 50 ซอง จะออกมาในลักษณะ ฟรังค์ ธนาคารบางแห่งในฝรั่งเศสอาจจะไม่รับแลกเงิน ดังนั้นนักท่องเที่ยวมีความประสงค์จะแลกเงิน สามารถแลกได้จากธนาคารที่มีคำว่า Exchange เขียนบอกไว้ หรือจากที่ทำการไปรษณีย์ที่มีเคาน์เตอร์สำหรับแลกเงิน เวลาทำการของธนาคารบางแห่งอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องที่ เช่นธนาคารที่อยู่ในเมืองทางเมืองทางตอนเหนือของฝรั่งเศสจะเปิดวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 9.30-16.30 หรือ 17.15 น. บางแห่งอาจจะหยุดพักเที่ยงด้วย ธนาคารที่อยู่ในเมืองทางใต้ส่วนใหญ่จะเปิดวันอังคาร-เสาร์ เวลา 8.00-12.00 น. และ 13.30-16.30 น. และเคาน์เตอร์สำหรับแลกเงินของธนาคารมักจะปิดทำการเร็วกว่าเวลาปิดบริการของ ธนาคารครึ่งชั่วโมง หากพกเงินเป็นจำนวนมาก ขอแนะนำให้ใช้เช็คเดินทางจะปลอดภัยกว่า ในกรณีของบัตรเครดิตเป็นที่ยอมรับทั่วไปในประเทศ ได้แก่ วีซ่าการ์ด นิยมมากที่สุด ตามด้วยมาสเตอร์การ์ด ไดเนอร์คลับ และบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส ตามลำดับ การทิป : ตามกฏหมายฝรั่งเศส ร้านอาหารหรือภัตตาคาร สามารถคิดค่าเซอร์วิสชาร์จได้ ประมาณ 10-15% ของราคาอาหาร ดังนั้นการทิปอาจจะไม่จำเป็นเท่าไรนัก แต่คนส่วนมากมักจะทิ้งเศษเหรียญ หรือเงินสัก 2-3 ฟรังค์ ไม่ว่าจะกินกันในจำนวนเงินแค่ไหนก็ตาม หรือถ้าเราพอใจการบริการของเขา ก็อาจจะทิปให้มาก ถ้าไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน ควรจะทิ้งเงินทิปไว้สัก 1 ฟรังค์ แต่ถ้าบริการไม่ดีก็ไม่จำเป็นต้องทิปก็ได้ ทั้งนี้ในส่วนของเท็กซี่ และโรงภาพยนต์ ปกติจะทิปประมาณ 2-3 ฟรังค์ โทรศัพท์ หากอยู่ที่เมืองอื่นๆในฝรั่งเศส นอกเหนือจากเมืองปารีสและต้องการจะโทรศัพท์มายังปารีส หมุนหมายเลข16+1+หมายเลขที่ต้องการ
ไฟฟ้า กระแสไฟที่ฝรั่งเศสใช้คือ 220 โวลท์ เป็นปลั๊กชนิด 2 ตา บางพื้นที่เป็นปลั๊กชนิด 3 ขา น้ำประปา น้ำประปาในฝรั่งเศสสะอาดสามารถดื่มได้จากก๊อก น้ำจากก๊อกที่ไม่สะอาดพอจะมีป้ายบอกไว้เสมอว่า าไม่สามารถดื่มได้า หรือ eau non potable เวลา เวลาของฝรั่งเศสจะช้ากว่าที่เมืองไทย 6 ชั่วโมง ช้อปปิ้ง เสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่น ฝรั่งเศสมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะศูนย์รวมของดีไซเนอร์ชื่อดัง และเป็นต้นฉบับของแฟชั่นทั่วโลก | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ ฝรั่งเศสมีชื่อด้านนี้อย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเป็นแหล่งผลิตของไวน์ และแชมเปญที่สำคัญที่สุดของโลกในปัจจุบัน ไวน์ (Vin) หรือเหล้าองุ่นเริ่มผลิตขึ้นในฝรั้งเศสเป็นครั้งแรกตั้งแต่ยุคโรมัน โดยกองทัพโรมันที่เข้าปราบปรามอนารยชนได้นำวิธีการทำเหล้าองุ่นมาเผยแพร่และ ได้สืบทอดการทำไร่องุ่น และเหล้าไวน์มาจนปัจจุบัน ในหมู่นักดื่มไวน์นั้น ถือว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่ดีทีสุดในโลก แหล่งผลิตไวน์ที่ขึ้นชื่อไดแก่ บอร์โดซ์ (Bordeux) เบอร์กันดี ชองปาญ อัลซาส ลัวร์ โรน โพรวองซ์ จูราและซาวอย และทางตอนใต้สุดของประเทศ ไวน์แบ่งออกเป็น 3 สี คือ ไวน์ขาว (Blanc) ไวน์แดง (Rouge) และไวน์สีชมพู (Rose) โดยทั่วไปจะนิยมไวน์ขาว และไวน์แดง แต่ไวน์สีชมพูจะไม่เป็นที่นิยมและมักถือว่าเป็นไวน์ที่ดื่มเล่นๆเสียมากกว่า รสชาติของไวน์นั้นจะแบ่งออกเป็น คุณภาพของไวน์ที่ผลิตในฝรั่งเศสนั้นรัฐจะควบคุมให้ได้มาตรฐาน โดยแบ่งออกเป็น 4 ลำดับขั้น คือ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นอกจากนี้ยังมีประเภท เครื่องสำอาง, กระเป๋าและเครื่องหนัง, ผ้าลูกไม้ฝรั่งเศส อาหารการกิน ในสมัยก่อนคนฝรั่งเศสสามัญชนโดยเฉพาะในชนบท จะถืออาหารกลางวันเป็นอาหารหลัก ส่วนในราชสำนักจะถือมื้อเย็นเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันเวลาอาหารปกติ คือ กลางวัน 12.00-14.00 น. เย็น 20.00-22.00 น. เพราะฉะนั้นตามเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะปารีสร้านอาหารอาจเปิดประมาณ 11.30 น. ถึง บ่าย 2 โมง และเปิดอีกครั้งเวลา หนึ่งทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน บางร้านอาจเปิดไปจนถึงตีสองหรือตีสามเพื่อรับนักท่องเที่ยวราตรีโดยเฉพาะ อาหารเย็นแบบเต็มยศ จะประกอบด้วยอาหารตั้งแต่ 6 จาน (คอร์ส) ขึ้นไป เสิร์ฟไวน์ตลอดเวลา ไม่นิยมเครื่องดื่มชนิดอื่นระหว่างรับประทานอาหารนอกจากน้ำหากไม่ดื่มไวน์ รูปแบบของอาหาร ได้มีการแบ่งรูปแบบอาหารออกเป็นลำดับชั้น คือ ร้านอาหาร ร้านอาหารในฝรั่งเศสแม้หน้าตาคล้ายๆ กัน แต่อาจเรียกไม่เหมือนกัน ด้วยลักษณะของอาหารที่ขายรวมทั้งเครื่องดื่มด้วย อาหารจานเด็ด หากไปถึงฝรั่งเศสอย่าลืมลิ้มลองอาหารขึ้นชื่อเหล่านี้ ขนมปัง
ขนมว่าง เนยแข็ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษา ฝรั่งเศสที่ควรรู้
|