วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สัญญาณเตือน....อัลไซเมอร์


ตรวจสอบตัวเองกันหน่อย เรามีอาการอัลไซเมอร์รึเปล่า ปัจจุบัน ประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะคนมีอายุยืนขึ้น ซึ่งว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ยังมีข้อที่น่าห่วงอยู่คือ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจะลดลง ความคิดและการเรียนรู้สิ่งใหม่อาจจะช้าลง โดยเฉพาะอาจเกิดเป็นโรคอัลไซเมอร์ พญ. สิรินทร ฉันศิริกาญจน หน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ อายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พูดถึงอัลไซเมอร์ว่า เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการตายของเซลล์ประสาท โดยไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทน ทำให้การทำงานของสมองค่อย ๆเสื่อมลง และในประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 10 ป่วยเป็นอัลไซเมอร์และมีแนวโน้มที่จะเป็นเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี ถ้ามีผู้สูงอายุอยู่ข้างๆ ลองสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือน ดังนี้ค่ะว่าท่านมีอาการ - สูญเสียความจำในระยะสั้น เช่น ลืมสิ่งที่พูดไปแล้ว - มีปัญหาด้านการพูด เช่น เรียกชื่อสิ่งของง่าย ๆ ไม่ถูกหรือพูดเป็น ประโยคที่เข้าใจยาก - ไม่รู้เวลาและสถานที่ เช่น หลงทางทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่บนถนนตรงข้ามบ้าน - มีอารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเศร้า เกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผล ถ้ามีคนเกิดอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์ด่วนค่ะ

ระวัง...สะอาดเกินไปทำลายสุขภาพ



ใช้วิธีทำความสะอาดด้วยธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพมากกว่านะ แม่บ้านที่กลัวเชื้อโรคมักใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง แต่ ดร. ฟริดริช เฮล์ม จากสถาบันสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวเตือนว่า การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่รุนแรงในการล้างห้องน้ำ อ่างล้างหน้า พื้น ฯลฯ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้ น้ำยาทำความสะอาดที่แรงเกินจะส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น และภูมิต้านโรคของร่างกายจะไวกับสิ่งแปลกปลอม เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฟาง ผิวแพ้ง่าย และหากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อย ๆ เชื้อแบคทีเรียก็จะเคยชินกับน้ำยา และไม่สะดุ้งสะเทือนกับน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่นเดียวกับการใช้ยาปฎิชีวนะบ่อย ๆ ก็จะทำให้เชื้อโรคดื้อยานั่นเอง ข้อแนะนำคือ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง น้ำยาฆ่าเชื้อโรคมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคติดเชื้อที่อันตราย (เช่น ไข้หวัดใหญ่) การทำความสะอาดพื้นและสิ่งสกปรกด้วยผงซักฟอกหรือสบู่ธรรมดา ๆ ก็เพียงพอ การทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ในห้องครัวหรือห้องน้ำให้ใช้น้ำส้มสายชูหรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู (น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำหนึ่งลิตร) คราบไขมันที่แก้วและกระจกให้ใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 60% ทำความสะอาด หรือผสมกับน้ำ 1 : 1 ส่วนสำหรับล้างขวด

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า...จะเกิดอะไรขึ้น?


ในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00 - 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมอีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย - ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ ๆ ก็จะอ่อนล้า ไม่สดชื่น - มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น - ถ้าปล่อยไว้ไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. นาน ๆ เข้าเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็ว - ปวดเข่าเมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร วิ ธี แ ก้ ** พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ ** ควรกินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00 - 09.00 น.

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กรุงเทพฯติด 1 ใน 9 เมืองใหญ่แถบเอเชียที่จะถูกน้ำท่วมอีก 10 ปีข้างหน้า


"คลองเตย-ดอนเมือง-ฝั่งธนฯ-ลาดพร้าว-บางขุนเทียน" เจอแจ๊คพ็อต ความเสียหาย 1.5 แสนล้าน เผยมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญ"ฝนชุก-แผ่นดินทรุด-น้ำหนุน-ชุมชนแน่น" แนะทางแก้"สร้างแก้มลิง"รอบกรุง
นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ให้ศึกษาแบบจำลองผลกระทบภาวะน้ำท่วม และน้ำทะเลขึ้นสูงในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชั้นในและปริมณฑล หลังจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งสหภาพยุโรป ธนาคารโลก มูลนิธิเวิลด์วิชั่น และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ได้ร่วมกันศึกษา รวบรวมข้อมูลและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ พบว่า กทม.เป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชียมีความเสี่ยงสูงที่น้ำทะเลจะเอ่อทะลักเข้าท่วมในเมือง โดยทั้ง 9 เมืองที่มีความเสี่ยงประกอบด้วยเซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง ประเทศจีน, ธากา ประเทศบังกลาเทศ, กัลกัตตา มุมไบ ประเทศอินเดีย, ย่างกุ้ง ประเทศพม่า, ไฮฟอง โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และ กทม.
นายเสรีกล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำท่วม กทม.ชั้นในมี 4 ปัจจัย คือ 1.ปริมาณน้ำฝนที่ตกเพิ่มขึ้นถึง 15% ในปัจจุบัน 2.แผ่นดินใน กทม.ทรุดตัวปีละ 4 มิลลิเมตร 3.ระดับน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทยสูงขึ้น 1.3 เซนติเมตรต่อปี และ 4.เกิดจากภาพรวมของระบบผังเมืองใน กทม.ที่พบว่าปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่สีเขียว ลดลงไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
"ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีประชากรใน กทม.ประมาณ 680,000 คน ได้รับผลกระทบ น้ำจะเอ่อเข้ามาท่วมอาคารที่ 1.16 ล้านหลัง ในจำนวนนี้จะเป็นบ้านพักอาศัย 9 แสนหลังคาเรือน โดย 1 ใน 3 จะอยู่ในพื้นที่บางขุนเทียน บางบอน บางแค และพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ยังพบว่าอาคารและที่พักอาศัยเขตดอนเมืองราว 89,000 อาคารจะได้รับผลกระทบ รวมความเสียหายทั้งหมดประมาณ 1.5 แสนล้านบาท" ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลงานวิจัยทางศูนย์สิรินธรฯได้ดำเนินการเพื่อหาทางป้องกันปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างไร นายเสรีกล่าวว่า หลังจากธนาคารโลกได้รับผลวิจัย ก็ได้ส่งเรื่องให้ผู้บริหาร กทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่ผลวิจัยได้เสนอวิธีป้องกันและแก้ปัญหาเอาไว้ 3 ทาง คือ 1.เร่งหาพื้นที่แก้มลิงเหนือ กทม. ตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา เพื่อเป็นที่ระบายน้ำ 2.เร่งขุดขยายคลองระบายน้ำที่มีอยู่เวลานี้โดยเร็ว และ 3.ต้องสร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพื่อป้องกันน้ำเอ่อทะลักเข้ามาในพื้นที่ กทม.โดยสร้างเป็นคันดินในพื้นที่ริมฝั่งทั้งหมด ระยะทาง 80 กิโลเมตร ซึ่งประเทศเวียดนามได้ดำเนินการไปแล้ว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ดื่มนม ช่วยลดน้ำหนักได้


ต้องยอมรับว่าสาว ๆ หลายคนกลัวการดื่มนม เพราะคิดว่านมมาพร้อมกับไขมันและความอ้วน แต่ผลการวิจัยล่าสุดกลับบอกว่าการดื่มนมช่วย ลดน้ำหนักได้ โดยนักวิจัยได้ทำการติดตามคนอ้วนกว่า 300 คนที่มีอายุระหว่าง 40-65 ปี ซึ่งทำการควบคุมน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารไขมันต่ำ, คาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือการไดเอทแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ผลที่ได้จากการติดตามพบว่ากลุ่มที่มีการรับประทานแคลเซียมสูง ประมาณ 580 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเป็นนม 2 แก้ว สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 12 ปอนด์ใน 2 ปี ส่วนกลุ่มที่รับประทานต่ำเพียง 150 มิลลิกรัม หรือเทียบเป็นนมเพียงครึ่งแก้วต่อวัน ลดน้ำหนักได้แค่ 7 ปอนด์ นักวิจัยอธิบายความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้ว่า นมไปช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ดี “นมช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม และเกิดความพึงพอใจ ทำให้ไม่นึกอยากกินอาหารที่มีน้ำตาล เครื่องดื่มซอฟต์ดริ๊งค์ น้ำผลไม้หวาน ๆ หรือเครื่องดื่มโซดาทั้งหลาย” นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยเพิ่มเติมว่าในน้ำนมมีวิตามิน D ที่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักได้ดีกว่า โดยระดับวิตามิน D ที่มีการแนะนำไว้ต่อวันคือ 400 มิลลิกรัม หรือเทียบได้กับนมโลว์แฟต หรือพร่องมันเนยประมาณ 4 แก้ว

เคยกินมั้ย สุดยอดผลไม้ที่ชื่อ "ตะขบ"


กรมอนามัย เผย "ตะขบ" มีใยอาหาร แคลเซียม และโพแทสเซียมสูง ช่วยดูดซับคอเรสเตอรอล ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้และเส้นเลือดสมองแตกนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของกองโภชนาการ เกี่ยวกับปริมาณใยอาหาร น้ำตาล และแร่ธาตุในผลไม้ พบว่า ผลไม้ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 76-94 กรัม มีใยอาหาร 0.5-6.3 กรัม มีน้ำตาลรวม 3-18 กรัม และมีพลังงาน 33-97 กิโลแคลอรี ซึ่งผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ ตะขบ 6.3 กรัม, ฝรั่งแป้นสีทอง 3.3 กรัม, ลูกหว้า 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจู 3.1 กรัม สำหรับผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 18 กรัม, องุ่นดำไร้เมล็ด (ลูกใหญ่) 15 กรัม, ลิ้นจี่จักรพรรดิ 13 กรัม, สละ 13 กรัม และองุ่นแดง (ลูกใหญ่) 13 กรัม ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ได้แก่ เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 กรัม, ลูกหว้า 5 กรัม, ลูกตาลอ่อน 5 กรัม, ราสเบอร์รี 6 กรัม และแคนตาลูป (เขียว) 6 กรัม นอกจากนี้ยังพบว่าผลไม้ส่วนใหญ่มีพลังงานน้อย เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบค่อนข้างมาก จากการศึกษาครั้งนี้พบ ตะขบและมะม่วงเขียวเสวย (ดิบ) มีพลังงานมากกว่าผลไม้อื่นคือมี 97 และ 87 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ตะขบ ฝรั่ง และ ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลิ้นจี่ และ องุ่น อาจเป็นผลไม้ที่ควรระวัง หรือต้องห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้กิน เนื้อมะพร้าวอ่อน หรือ ลูกตาลอ่อน ทดแทนได้ เพราะมีน้ำตาลน้อย ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมน้อย จะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ขณะที่ปริมาณโพแทสเซียมในผลไม้จัดเป็นแร่ธาตุหลักที่พบ ซึ่งหากมีมาก อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดได้ รวมการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เช่นกัน

"นาฬิกาชีวิต"รวน-เพิ่มเสี่ยงป่วยความดันสูง


นักวิจัยมหาวิทยาลัยเกียวโด ญี่ปุ่น เผยว่า ถ้าระบบการทำงานของ "นาฬิกาชีวภาพ" ในร่างกายคนเราถูกรบกวน อาจส่งผลต่อความดันโลหิต และทำให้เป็นโรคหัวใจง่ายขึ้น ดังนั้น บุคคลที่ต้องทำงานเป็นกะ เช่น พนักงานบนเที่ยวบินระยะทางไกลๆ หลับพักผ่อนไม่เป็นเวลา จึงต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ "นาฬิกาชีวภาพในร่างกายมีอิทธิพลต่อปัจจัยเสี่ยงด้านยีน (พันธุกรรม) ที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไตเสียหายและโรคอื่นๆ" นักวิจัย ระบุนาฬิกาชีวภาพประกอบด้วยการทำงานของยีนหลายตัว ผลการทดลองในหนูพบว่า จังหวะการทำงานของนาฬิกาชีวภาพที่ผิดปกติไป ทำให้หนูขาดโมเลกุล "คริปโตโครม" ส่งผลให้มีความเสี่ยงเกิดอาการความดันโลหิตสูงมากขึ้น เพราะมีฮอร์โมนอัลโดสเตอโรนสูงผิดปกติ ทำให้แคลเซียมถูกดูดกลับเข้าไตมากเกินไปจนไตบวมน้ำ อย่างไรก็ตาม ต้องวิจัยขยายผลต่อไปว่า หากนาฬิกาในร่างกายมนุษย์ถูกรบกวนจะทำให้คนๆ นั้นเกิดความดันโลหิตสูงเหมือนหนูหรือไม่ทั้งนี้ ความดันโลหิตจะสัมพันธ์กับช่วงเวลาของวัน เช่น ช่วงเช้าความดันโลหิตจะสูงกว่าปกติ แต่บางคนความดันโลหิตอาจสูงเพราะฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน ส่วนเรื่องยีนควบคุมความดันโลหิตเป็นเรื่องใหม่ การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อการคิดวิธีรักษาความดันโลหิตให้ดีขึ้น

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อาหารช่วยบำรุงความจำ


ถึงเวลาหรือยังที่เราจะมาบำรุงสมองด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยให้ความจำดีขึ้นกัน เราจะนำอาหารช่วยบำรุงความจำมาแนะนำกัน
พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมอง และกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีน จึงช่วยให้ความจำดีขึ้น
ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง ทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น
เนื้อสัตว์ มีสารทอรีน ที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้น ช่วยบำรุงสมอง
ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้
ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี
มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์
บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเค ที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ
ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม
เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้น ยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้น และหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น
หาก ต้องการให้สมองของเราดี มีความจำที่เป็นเลิศ ก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วย

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สวรรค์และนรก


ธรรมบรรยายโดย ท่านติช นัท ฮันห์
ชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าอยู่ในนรก ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทนทุกข์ทรมาน มาหลายภพชาติ พระองค์ได้กระทำผิดมากมายเช่นเดียวกับพวกเรา พระองค์เคยทำให้ พระองค์และคนรอบข้างมีความทุกข์ ทรงเคยกระทำความผิดมหันต์จนทำให้พระองค์ต้อง ใช้ชีวิตอยู่ในนรกในชาติหนึ่ง พุทธประวัติอันมากมายถูกรวบรวมไว้ในรูปของนิทานชาดก มีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นฉันอายุ 7 ขวบยังเยาว์วัยนัก ฉันอ่านพุทธประวัติ เรื่องนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก แม้จะยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งก็ตามพระพุทธองค์อยู่ในนรก เพราะได้ทรงกระทำผิดอย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่น ในชาตินั้นพระองค์ได้ลิ้ม รสชาติความทุกข์อย่างที่สุด เพราะนรกที่พระองค์อยู่เป็นนรกที่เลวร้ายที่สุดในบรรดานรกทั้งปวง มีบุรุษผู้หนึ่งตกนรกพร้อมพระองค์ ทั้งสองต้องทำงานหนักร่วมกันภายใต้คำสั่งของผู้คุมผู้หนึ่ง ในนรกนั้นมืด เหน็บหนาว และร้อนระอุในเวลาเดียวกัน ผู้คุมผู้นั้นดูราวกับ ไม่มีหัวใจ ราวกับไม่รู้จักความทุกข์และความรู้สึกของผู้อื่น เขามีหน้าที่ควบคุมและทำให้บุรุษทั้งสองเป็นทุกข์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ฉันคิดว่าผู้คุมผู้นั้นก็คงเป็นทุกข์มากเช่นกัน ดูเหมือนเขาไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย ไม่มีความรักในหัวใจ ดูเหมือนเขาจะไม่มี หัวใจด้วยซ้ำ ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ได้เพราะเขาดุร้ายเกินไป เขาไม่สะทกสะท้านต่อความทุกข์และความ เจ็บปวดของผู้อื่นผู้คุมผู้นี้มีเหล็กสามง่ามเป็นอาวุธ เมื่อใดที่เขาอยากให้บุรุษทั้งสองเดินไปข้างหน้า เขาจะใช้เหล็กสามง่ามนั้นดันไปบนแผ่นหลัง ของบุรุษทั้งสองจนเลือดโชก เขาใช้อาวุธนั้นดันตลอดเวลาโดยไม่ปล่อยให้บุรุษทั้งสองได้หยุดพัก ตัวผู้คุมเองก็ดูราวกับถูกอะไร บางอย่างผลักดันอยู่ข้างหลังเช่นกัน แล้วเธอล่ะเคยรู้สึกบ้างไหมว่ามีอะไรบางอย่างผลักดันเธออยู่ แม้ไม่มีใครอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอ รู้สึกเหมือนถูกผลักและดันให้ทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ พูดในสิ่งที่เธอไม่อยากพูด และการกระทำนั้นก็ได้สร้างความทุกข์ให้กับ ตัวเธอและผู้อื่น ผู้คุมผู้นี้พยายามผลักดันผู้อื่น เพราะเขาเองก็ถูกผลักดัน เขาทำร้ายบุรุษทั้งสองอย่างแสนสาหัส แม้บุรุษทั้งสองจะ เหน็บหนาวและหิวโหย แต่เขาก็ยังคงดันและทุบตีให้ทั้งสองทุกข์ทรมานบ่ายวันหนึ่ง อดีตชาติของพระพุทธเจ้าเห็นผู้คุมปฏิบัติต่อเพื่อนของเขา อย่างโหดร้ายมาก จนบุรุษผู้นั้นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวถูกปลุกขึ้น จนรู้สึกอยากต่อต้าน แต่ก็รู้ว่าถ้าเข้าขัดขวางหรือพูดอะไรเพื่อปกป้องไม่ให้ ผู้คุมทุบตีเพื่อน ผู้คุมก็คงจะหันมาทุบตีเขาแทน แต่อะไรบางอย่างในตัว ผลักดันให้เขารู้สึกอยากเข้าไปขัดขวาง และพูดว่า "อย่าทุบตีเพื่อนของเรา ให้มากมายนักเลย ทำไมไม่ปล่อยให้เขาได้พักบ้าง?" ลึกเข้าไปภายในตัว ของเขา มีบางอย่างผลักดันให้ต้องการเข้าขัดขวาง แม้รู้ว่าจะต้องถูกทุบตี อย่างแน่นอน แรงกระตุ้นนั้นรุนแรงมากจนไม่สามารถทานทนได้ เขาจึง หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผู้คุมที่ปราศจากหัวใจ และกล่าวว่า "ทำไมเจ้าจึง ไม่ปล่อยเขาไว้ตามลำพังสักครู่เล่า ทำไมเจ้าต้องตี และผลักดันเขาอยู่ อย่างนั้น เจ้าไม่มีหัวใจหรอกหรือ?"นั่นคือสิ่งที่บุรุษที่ต่อมาได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าได้พูดออกไป เมื่อ ผู้คุมได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงใช้เหล็กสามง่ามแทงลงไป ที่อกของบุรุษผู้เป็นอดีตชาติของพระพุทธองค์จนสิ้นชีวิต เขาได้เกิดใหม่ ในแทบจะทันทีในร่างของมนุษย์ เขาหลุดพ้นจากนรก และกลายมาเป็น มนุษย์ในโลก เพราะเขามีความเห็นอกเห็นใจที่แรงกล้า จนก่อให้เกิด ความกล้าที่จะเข้าขัดขวางและช่วยเหลือเพื่อนของเขาเมื่อฉันอ่านเรื่องนี้จบ ฉันรู้สึกแปลกใจที่แม้แต่ในนรกก็ยังมีความ เห็นอกเห็นใจ นั่นเป็นความจริงที่น่ายินดี ที่แม้แต่ในนรกก็ยังมีความ เห็นอกเห็นใจ เธอนึกภาพออกไหม? ที่ไหนก็ตามที่มีความเห็นอกเห็นใจกัน ที่นั่นก็ไม่เลวร้ายนักหรอก และเธอรู้อะไรไหม เมื่อบุรุษอีกคนเห็นเพื่อนสิ้นชีวิต เขารู้สึกโกรธมาก และเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับ ความเห็นอกเห็นใจ เขาตระหนักได้ว่าบุรุษผู้นั้นต้องมีความรัก ความเมตตามากจนกล้าพอที่จะเข้าขัดขวางเพื่อเขา นั่นทำให้ความรู้สึก เมตตาของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน เขามองไปที่ผู้คุมและกล่าวว่า "เพื่อนของฉันพูดถูก เจ้าไม่มีหัวใจ สิ่งที่เจ้าทำเป็นมีเพียงแต่การสร้าง ความทุกข์ให้ตัวเองและผู้อื่นเท่านั้น ฉันไม่คิดว่าเจ้าจะมีความสุขนักหรอกที่ได้ฆ่าเขา" หลังจากที่ได้ยิน ผู้คุมผู้นั้นก็โกรธมาก และ ใช้เหล็กสามง่ามแทงลงไปที่ท้องของเขา ทำให้เขาตายในทันที และเขาก็ได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ในโลก บุรุษทั้งสองหลุดพ้นจากนรก และมีโอกาสเริ่มต้นใหม่บนโลกในฐานะมนุษย์เต็มตัวแล้วเธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้คุมผู้ไร้ซึ่งหัวใจ เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะในนรกนั้นมีคนอยู่เพียงสามคน และสองคน ได้ตายไปแล้ว เขาเริ่มเห็นว่าแม้คนทั้งสองจะไม่ใช่คนดีนัก แต่การมีคนอยู่ด้วยนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษมาก บัดนี้ทั้งสองตายไปแล้ว และ เขาต้องอยู่ตามลำพังในนรก เขาไม่สามารถทนความเหงาเช่นนี้ได้ นรกเป็นสิ่งที่แสนลำเค็ญสำหรับเขาเสียแล้ว ความทุกข์นี้สอนให้ เขาได้รู้ว่า คนเราไม่อาจอยู่เพียงลำพัง มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา คนเราไม่สามารถเกลียดชังและฆ่ากันเอง คนเราไม่อาจลดคุณค่า ของคนอื่นจนไม่เหลืออะไรเลย เพราะถ้าเราฆ่าเพื่อนมนุษย์เสีย แล้วเราจะอยู่กับใคร เขาได้ตั้งปณิธานว่า หากเขาต้องดูแลใคร ในนรกอีก เขาจะเรียนรู้ที่จะปฏิบัติกับคนเหล่านั้นให้ดีขึ้น และการแปรเปลี่ยนก็ได้บังเกิดในหัวใจของเขา ที่จริงเขาก็มีหัวใจ การที่ เชื่อว่าเขาไม่มีหัวใจนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกคนล้วนมีหัวใจ เราเพียงต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือใครบางคนมาสัมผัสหัวใจ และ แปรเปลี่ยนหัวใจนั้นให้เป็นหัวใจมนุษย์ ด้วยความตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อนักโทษอย่างเห็นอกเห็นใจมากขึ้น ทันใด ประตูนรกก็เปิดออก และพระโพธิสัตว์ก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับรัศมีรอบพระองค์ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า "ความดีได้เกิดขึ้นในตัวเธอแล้ว เธอจะทนทุกข์ ในนรกอีกไม่นาน เธอจะตายและเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในเร็วๆ นี้"นี่คือเรื่องราวที่ฉันอ่านเมื่ออายุ 7 ขวบ ฉันต้องสารภาพว่าในขณะที่อ่านฉันไม่ได้เข้าใจมากนัก แต่พุทธประวัติเรื่องนี้มีผลกระทบ ต่อฉันมาก เป็นนิทานชาดกเรื่องโปรดของฉัน ฉันพบว่าแม้แต่ในนรกความเห็นอกเห็นใจก็บังเกิดขึ้นได้ดังนั้นไม่ว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในแต่ละวันเราได้สร้างนรกให้ตัวเอง และคนที่เรารัก พระพุทธองค์ก็ได้เคยทำสิ่งเดียวกันนี้มาหลายครั้งก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้สร้างความทุกข์ให้กับตนเอง และผู้อื่น รวมถึงพ่อแม่ของพระองค์ด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชาติหนึ่งของพระองค์จึงต้องอยู่ในนรก แต่นรกก็เป็นที่ที่เราจะได้ เรียนรู้บทเรียนสำหรับการเติบโต และที่นี่เองพระองค์ได้เรียนรู้เป็นอย่างดี เมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ยังคงเฝ้าปฏิบัติ ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ทรงก้าวเดินในเส้นทางแห่งความเข้าใจและความรัก พระองค์ไม่เคยต้องกลับไปอยู่ในนรกอีกเลย เว้นแต่ ในยามที่เสด็จกลับไปเพื่อโปรดสัตว์ฉันเคยอยู่ในขุมนรกหลายขุม และได้สังเกตเห็นว่าแม้ในนรกก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจกัน ด้วยการฝึกสมาธิในทางพุทธศาสนา เธออาจป้องกันไม่ให้นรกปรากฏ และถึงแม้นรกจะปรากฏเธอก็ยังมีวิธีที่จะแปรเปลี่ยนนรกให้เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์มากขึ้น เมื่อเธอโกรธ นรกก็เกิดขึ้น ความโกรธทำให้เธอและคนที่เธอรักมีความทุกข์ หากเราไม่รู้วิธีฝึกสมาธิ เราอาจสร้างนรกในครอบครัวของเราเสมอๆ..๐

สิทธิลดหย่อนภาษีรู้ไว้มากประโยชน์


อย่าคิดว่าการเสียภาษีเป็นเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวคุณ และไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเกี่ยวกับภาษีก็ได้เพราะความเป็นจริงภาษี คือเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนค่ะพูด ถึงเรื่องเสียภาษี บางคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าใดนักเพราะเข้าใจว่าในแต่ละเดือนหรือในแต่ละปี ได้เสียภาษีเป็นประจำอยู่แล้ว บางคนยังละเลยไม่ยื่นภาษีประจำปีจนกรมสรรพากรต้องเรียกเก็บย้อนหลังก็มีให้ เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ภาษีนั้น คือรายการหนึ่งที่ต้องอยู่ในบัญชีรายจ่ายของครอบครัว ดิฉันอยากจะบอกว่า หน้าที่และสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องภาษีอากรนั้น คือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องเรียนรู้
เสีย ภาษีคือหน้าที่
หากพูดถึงเรื่องการเสียภาษี อาจทำให้หลายคนมีรายได้จำนวนมากคิดและรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา แต่คุณก็ต้องคืนเงินส่วนหนึ่งจากที่ได้มามากนั้นให้กับประเทศเป้นจำนวนมาก ด้วยเช่นกันขอให้ความสำคัญและรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะใครก็ตามที่เป็นบุคคลที่มีรายได้ก็จะต้องถูกหักภาษี หากใครก็ตามที่กำลังรู้สึกเสียดายเงินที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ดิฉันขอให้เลิกคิดเสียดายเงินได้แล้วค่ะ เพราะประเทศเราจะเจริญก้าวหน้าได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายภาษีของประชาชนนั่นเอง
นั่นหมายความว่าการเสีย ภาษีตามกฎหมายนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ภาษีสังคมนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัวของคุณเองว่าจะหลบหลีกได้ ยอดเยี่ยมแค่ไหน!
ดิฉันเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่เข้าใจดีว่า สิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณะสมบัติต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรานั้น ส่วนหนึ่งมาจากเงินภาษีของคุณ อย่านำเอารายจ่ายที่ถูกหักเพียงน้อยนิดในแต่ละเดือนมานั่งคำนวณให้ปวดหัวดี กว่าค่ะ สิทธิประโยชน์จากการเสียภาษีนั้นมีมากกว่าที่คุณสัมผัสได้ แต่ใครก็ตามที่รู้สึกว่าต้องรับภาระเกี่ยวกับภาษีนั้นมีมากกว่าที่คุณสัมผัสได้ แต่ใครก็ตามที่รู้สึกว่าต้องรับภาระเกี่ยวกับภาษีมากมายเหลือเกิน อย่าคิดเลี่ยงหรือหลบหลีกที่จะจ่ายภาษีอีกต่อไป เพราะฉบับนี้ดิฉันขอบอกให้คุณรู้ว่า ทุกๆ คนที่เสียภาษีจะได้รับสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน
6 สิทธิ..ลดหย่อนภาษี
ก่อนที่จะ รู้ว่าคุณได้สิทธิ์ในการลดหย่อนอย่างไรบ้าง ดิฉันขอทำความเข้าใจถึงหน้าที่ของทุกคนที่มีรายได้ก่อน เพราะการจัดเก็บภาษีนั้นครอบคลุมทั้งผู้มีรายได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคลประเภทต่างๆ ซึ่งก็มีหน้าที่ในการเสียภาษีเงินได้ที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ไม่ว่าคุณจะจ่ายภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนดค่ะ
มาถึงตรงนี้อาจ ทำให้หลายคนยิ้มออกแล้ว เรามาดูกันต่อว่าคุณจะสามารถใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้ในกรณีไหนบ้าง
1. การลดหย่อนในกรณีมีบุตร ไม่ว่าจะเป็น บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมก็ตาม สามารถหักลดหย่อนได้คนละ 15,000 บาท แต่ได้ไม่เกิน 3 คน และอายุไม่เกิน 25 ปี หากยังศึกษาอยู่ในมหาวิทลัยหรือชั้นอุดมศึกษาเฉพาะภายในประเทศก็สามารถลด หย่อนเพื่อการศึกษาได้อีกคนละ 2,000 บาท คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังอ่านคอลัมน์นี้อยู่รีบศึกษาเรื่องนี้กันได้แล้ว
2. ผู้ที่ทำประกันชีวิต สามารถใช้สิทธิ์ ในการลดหย่อนภาษีได้อีกทางหนึ่งค่ะ เพราะเบี้ยประกันภัยส่วนที่เกิน 10,000 บาทแต่ไม่เกิน 40,000 บาทที่จ่ายไป เป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีแต่ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ได้ชำระเบี้ยไม่ ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป ดังนั้นทุกครั้งที่ยื่นแบบเพื่อเสียภาษีก็อย่าลืมค้นหาใบเสร็จรับเงินแนบไป ด้วยทุกครั้ง
3. สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น สามารถนำมาหัก ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาทต่อปี
4. การบริจาคเงิน ไม่ว่าคุณจะใจบุญแค่ไหน ก็ตาม หลังบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิหรือสถานที่ต่างๆ แล้ว ถ้าสามารถขอหลักฐานการบริจาคได้จะดีมากค่ะ เพราะเงินที่บริจาคแก่การกุศล ก็นำมาหักภาษีได้เท่าจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้นั่นหมายความว่าการบริจาคทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือองค์กรก็จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าวเช่นกัน
5. สมาชิกกองทุนประกันสังคม ก็จะได้รับ สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีด้วย เพราะเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ทั้งของคุณพ่อและคุณแม่ หรือผู้ที่ไม่ได้ทำงานแต่ยังรักษาสิทธิ์การเป็นสมาชิกของกองทุนประกันสังคม และจ่ายเงินสมทบต่อเนื่องก็สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
6. ผู้ที่มีหน้าที่เลี้ยงดูบุพการี สำหรับ เรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และเชื่อว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนสำหรับคนส่วนใหญ่ หากวันนี้คุณมีหน้าที่ต้องดูแลบุพการี ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีได้จำนวน 3 หมื่นบาท แต่กรมสรรพากรให้สิทธิ์นี้กับลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น ดิฉันขอแนะนำให้คุณสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากกรมสรรพากร เพื่อจะได้ศึกษาเงื่อนไขในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นเงินทำบุญ เลี้ยงดูบุตรและภรรยา ค่าเบี้ยประกันชีวิต ฯลฯ สามารถนำมาหักและลดหย่อนภาษีได้ 5 หมื่นบาท นอกจากนี้แล้วเงินลงทุนในกองทุนต่างๆ ที่สรรพากรได้กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งสามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามเงินลงทุนจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ต่อปี
อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงเห็นความสำคัญของการจ่ายภาษีมากขึ้น อย่าหลบหลีกหรือเลี่ยงที่จะจ่ายภาษีเงินได้อีกต่อไปเลยค่ะ เพราะกฎหมายนั้นได้ให้สิทธิประโยชน์ของทุกๆ คนที่จ่ายภาษีเช่นกัน สิ้นปีนี้ก็อย่าลืมคำนวณรายได้และหักลดหย่อนกับสิทธิพิเศษที่คุณได้รับนะคะ

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

...(งาน) สำเร็จ เมื่อ (คน) สำราญ...


การที่จะเริ่มต้นทำงานชิ้นใดๆ นั้น จำเป็นที่จะต้องมีสติ เพราะสติทำให้เราตระหนักและรับรู้ตนเองอยู่ตลอดเวลา ณ ปัจจุบัน ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และสติก่อให้เกิดสมาธิ และสมาธิก็ก่อให้เกิดปัญญา และเมื่อเรามีปัญญา เราก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ ได้อย่างดีมีคุณภาพและมีจรรยาบรรณ โดยท่านได้ยกตัวอย่างเป็นข้อๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ไว้ดังนี้ 1. ผู้บริหารต้องแบ่งงานและใช้ลูกน้องเป็น ในมุมมองของท่าน ว.วชิรเมธี นั้น ผู้บริหารที่ดีต้องมีวิธีการบริหารที่จะทำให้ชนะใจลูกน้อง เพราะผู้บริหารเปรียบเหมือนนิ้วโป้ง มีหน้าที่หนักแน่น มั่นคง ก็คือ ต้องมีความหนักแน่นมั่นคงเป็นหลักเป็นชัยให้ลูกน้องเชื่อถือได้ ถ้าผู้บริหารโลเล ไม่แน่นอน ลูกน้องก็จะทำงานได้โลเลตาม นอกจากจะมั่นคงแล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมาก สำหรับคนที่เป็นผู้บริหารก็คือ ต้องแบ่งงานกันทำ ช่วยบริหารช่วยจัดการไม่แบกทุกอย่างไว้คนเดียว ไม่อย่างนั้นจะหนักทั้งกายและหนักทั้งใจ เพราะต้องแบกภาระมากกว่าคนอื่น เพราะมนุษย์ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง คนที่ทำตัวเก่งทุกเรื่อง มักจะเป็นทุกข์ง่าย การรู้จักแบ่งงานและเลือกใช้คน จึงเป็นหลักการของผู้บริหารที่ต้องทำให้ได้ เพราะไม่ว่าจะงานหนักอย่างไร ก็ต้องมีเวลาให้กับตัวเอง ในเมื่อได้แบ่งงานไว้แล้ว คนทุกคนควรจะมีโมงยามแห่งความสุข ที่มีเวลาแบ่งสันปันส่วนให้กับตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะหลงแบกไปทุกเรื่อง 2. ผู้นำที่ดีต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กร ให้ก้าวไปข้างหน้า และควรทำงานได้อย่างสร้างสรรค์ หมายถึง กล้านำกล้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี มีหลักการและเหตุผลที่ดีรองรับ ไม่ใช่นึกจะเปลี่ยนตามใจชอบ แต่ต้องดูสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้นประกอบด้วย เพราะทุกองค์กรต้องมีวัฒนธรรมองค์กรของตัวเอง ต้องให้เวลาในการปรับตัวกันบ้าง ถึงจะดูดีไม่เป็นการหักหาญน้ำใจกันเกินไป ผู้นำที่ดีจะเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ต้องดูทิศทางลมให้รอบคอบว่า องค์กรที่เรากำลังจะเปลี่ยนแปลงนั้น มีลักษณะการทำงานกันมาอย่างไร ถ้ารีบเปลี่ยนแปลงโดยขาดความรอบคอบเหมาะสม จะยิ่งพบกับความยุ่งยาก แทนที่จะก้าวไปข้างหน้า กลายเป็นว่ากลับมาสะดุดขาตัวเอง 3. ผู้นำต้องมีความเข้าใจ หลักประการต่อมาในการเป็นผู้นำก็คือ ต้องมีความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ จึงจะได้นั่งอยู่ในใจลูกน้อง แต่ถ้าทำตัวนั่งอยู่บนหัวลูกน้อง คุณก็จะไม่ได้ใจลูกน้องเลย อาจจะได้แต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายเกลียดชัง เพราะชินแต่การใช้อำนาจบาตรใหญ่ จะมีความต้องการอะไร ก็สั่งเอาแต่อารมณ์ตามใจตัว ข่มขู่ลูกน้องด้วยอำนาจ หากเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ลูกน้องทำงานไม่ทันใจก็อารมณ์เสีย สุดท้ายอาจจะมีสิทธิ์หัวใจวายกันทั้งเจ้านายและลูกน้อง นายก็เครียด เพราะไม่ได้ดั่งใจ ลูกน้องก็เครียด เพราะกลัวจะทำไม่ถูกใจนาย ดังนั้นเป็นนายก็ต้องได้ใจลูกน้อง ไม่อย่างนั้นก็ประสาทเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อทำงานอย่างไม่มีความสุข ก็ยากที่ผลงานจะออกมาดี ถ้าเป็นผู้นำแล้วแต่ไม่ได้ใจคน วันที่เราหมดอำนาจไปแล้วเดินออกจากสำนักงานไป อาจจะมีเสียงไล่ส่ง แต่ถ้าเราลาออกหรือเกษียณไปแล้ว แต่มีลูกน้องมอบดอกไม้และการ์ดให้ นั่นแสดงว่าเราชนะใจลูกน้องได้เป็นอย่างดี คุณล่ะอยากได้อะไรระหว่างเสียงไล่หรือดอกไม้ 4. ต้องรู้จริงแบบผู้เชี่ยวชาญ ในชีวิตการทำงานของเราจะต้องมีความเป็นมืออาชีพ ทั้งลูกน้องและหัวหน้างาน ยิ่งเป็นหัวหน้ายิ่งต้องมีความเป็นมืออาชีพ สูงกว่าคนอื่นในองค์กรจะได้นำเขาได้ และผู้นำที่ดีต้องมีความรู้ มีความสามารถอย่างแท้จริง จะต้องไม่ทำงานโดยใช้ความรู้ความสามารถแบบหลอกลวง คือไม่รู้จริงหรือทำตัวเป็น “นักวิชาเกิน” ที่ไม่รู้จริงสักเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องงานของตัวเอง ถ้ามีสิ่งใดที่ไม่รู้จริง ก็ต้องกล้าที่จะเรียนรู้เพิ่ม เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ไม่รู้ก็ต้องกล้าบอกว่า ไม่รู้ ไม่เห็นเป็นไร ไม่มีใครรู้ทุกเรื่องในโลกนี้อยู่แล้ว ยอมรับว่าไม่รู้ดีกว่ามีคนจับได้ว่า ไม่รู้หรือรู้ไม่จริง และต้องใช้ความรู้คู่จรรยาบรรณ 5. กายอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน การจะทำงานให้ได้ผลสูงสุด ต้องมีความตั้งมั่น ตั้งใจแน่วแน่ การทำงานที่ดีก็คือ การปฏิบัติธรรม หากงานดี ก็จะเป็นอนุสาวรีย์ของชีวิต หากงานไม่ดี ก็จะเป็นเครื่องประจานตัวเราตลอดไป โดยอาศัยหลักธรรมะเข้ามาช่วยเสริม มีทั้งหมด 4 ข้อก็คือ มีใจรัก พากเพียรทำ จดจำจ่อจิต และวินิจฉัย หากทำงานใดแล้วมีคุณธรรมทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว งานนั้นสำเร็จแน่นอน 6. รักในสิ่งที่ทำ เราจำเป็นที่จะต้องรู้ตัวตน ต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเรากำลังทำอยู่นั้น ใช่ตัวตนจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเรากำลังแสดงบทบาทสิ่งที่ผู้อื่นมอบให้อยู่ เพราะว่าหากเราทำสิ่งที่บังคับฝืนใจทำ ผลงานที่ออกมาก็จะเป็นไปในรูปแบบสักแต่ทำ หรือทำให้หมดไปวันๆ ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกขาดความเคารพนับถือในตัวเอง และกลายเป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากจิตใจไม่ยอมรับ หรือไม่มีความรู้สึกที่อยากจะทำงานออกมานั่นเอง นอกจากนี้ในการทำงานนั้น ผู้บริหารที่ดีหรือแม้กระทั่งพนักงานทั่วไป ตามแนวทางของท่าน ว.วชิรเมธี ควรจะต้องมีองค์ประกอบ คือ การทำงานต้องอารมณ์ดี ก็จะมีความสุข ที่จริงไม่เฉพาะทำงานเท่านั้น แต่ควรจะมีอารมณ์ดีตลอดเวลา เพราะนอกจากจะทำให้สุขภาพจิตดีแล้ว ยังทำให้อายุยืนด้วย ธรรมะที่จะทำให้อารมณ์ดี ก็คือ มีสัมมาทิฏฐิ ดำริถูกทาง วางตนให้เหมาะสม ชื่นชมคนอื่น ไม่ฝืนสังขาร ทำงานสุจริต ฝึกจิตให้สูง ไม่ปรุงความคิด ไม่ยึดติดโลกธรรม เพียงแค่นี้อารมณ์ดีมีอายุยืนยาวแน่นอน การทำงานไม่ใช่เพียงทำงานให้เสร็จเท่านั้น แต่ต้องทำให้สำเร็จด้วย นั่นก็คือ ต้องทุ่มเทรับผิดชอบทำงานของตนเองอย่างเต็มที่ คนสำราญ งานสำเร็จ หากเรามีสุขภาพใจที่ดี ที่เข้มแข็งแล้วไซร้ การจะทำกิจใดๆ ก็ไม่ยากเกินความสามารถเช่นกัน

รอบรู้เรื่อง"ไวน์"



ช่วงปลายปีถือเป็นเทศกาลที่งานฉลองต่างๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และพูดถึงการฉลองก็ต้องนึกถึงเครื่องดื่มอย่างไวน์ เพราะเครื่องดื่มที่ร่ำรวยด้วยประเพณีความเป็นมา และมีท่วงท่าการจิบดื่มที่งดงามราวบทกวีนี้ ถือเป็นหนึ่งในองค์กรประกอบที่เหมาะกับการฉลองเป็นที่สุดแล้ว เพราะทั้งดีต่อสุขภาพของหัวใจ แถมช่วยให้ร่างกายอบอุ่นอีกต่างหาก
และนี่คือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจของไวน์ จากไวน์กูรูตัวจริงอย่าง คุณธีระ วีระวรรณ Mentoring Manager, Pernod Ricard (Thailand) ไวน์ที่เหมาะสำหรับเทศกาลไวน์สำหรับงานฉลองส่วนมากจะเป็นแชมเปญ (ไวน์ฟองชนิดหนึ่ง ผลิตในแคว้นแชมเปญ ประเทศฝรั่งเศส) ช่วงคริสต์มาสไปจนถึงปีใหม่จะเป็นช่วงพีคของแชมเปญ ส่วนเมืองไทยหลายๆ คนนิยมดื่มไวน์แดง ตะวันตกนิยมดื่มไวน์ขาวแต่ไม่ว่าจะนิยมเริ่มเปิดขวดฉลองกันด้วยไวน์ชนิดไหนขอแนะนำให้เริ่มที่ขวดแพงที่สุดเท่าที่หาได้ก่อน จากนั้นพอเอนจอยรสชาติกับไวน์แก้วแรกแล้ว แก้วต่อๆ มาจะเป็นไวน์ชนิดไหนก็เอนจอยหมดแล้วล่ะครับไวน์สำหรับเป็นของกำนัลคงต้องดูก่อนว่าจะมอบให้ใคร ถ้าทั่วๆ ไป คงแนะนำไวน์ราคากลางๆ ประมาณ 800-1500 บาท เพราะว่าไวน์ที่อยู่ในช่วงราคานี้เป็นไวน์ที่ดื่มง่ายๆ อย่างเช่น ชาร์ดอนเนย์ (ไวน์ขาว Chardonnay) อีกตัวที่นิยมกัน แต่อาจจะหนักนิดหนึ่งคือ ชีราช กาแบร์เนต์ (Shiraz Cabernet) ไวน์ที่ผสมองุ่นสองพันธ์ของ Jacob's Creek ถ้าใครที่เป็นนักดื่มไวน์มาสักปีหนึ่งแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเอนจอยกับตัวนี้
คำแนะนำถึงมือใหม่หัดดื่มสำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่หัดดื่ม แนะนำไวน์เบาๆ โดยเลือกประเภทไวน์ที่นั่งดื่มได้เรื่อยๆ แนะนำว่าถ้าไม่ใช่ไวน์ขาวอย่างชาร์ดอนเนย์ ก็ควรเป็นไวน์โรเช (ไวน์สีกุหลาบ) สำหรับจิบเริ่มต้น แต่ถ้าทานอาหารแล้วก็ดื่มไวน์แดงได้ แต่ควรเป็นไวน์แดงเบาๆ ไม่แนะนำมือใหม่ให้ดื่มไวน์หนักๆ ครับไวน์แดงเบาๆ ที่แนะนำคือ เกรอนาช ชีราช (Grenache Shiraz) ไวน์ที่ผมสองุ่นสองพันธุ์ ตัวนี้จะเป็น Young Wine ดื่มง่าย หอมสดชื่น ดื่มไวน์อย่างรู้เท่าทันอย่าเร่งดื่ม พี่ไทยของเราพอได้จังหวะก็มักจะเชียร์ให้่ "หมดแก้ว" ซึ่งไม่ได้จิบแบบเอนจอย แต่จริงๆ ไม่ควรดื่มเร็ว แล้วถ้ารู้สึกว่าเริ่มเมาให้เบาจังหวะนิดหนึ่งแล้วดื่มน้ำ อาหาร จะช่วยได้เยอะ อันที่จริงแล้วไวน์ไม่ควรดื่มเปล่าๆ ควรต้องทานอาหารควบคู่ไปด้วย เพราะวัตถุประสงค์ในการผลิตไวน์ก็เพื่อให้ดื่มกับอาหารเขาไม่ได้ผลิตไวน์มาให้ดื่มเพียวๆ ดังนั้นถ้าจะดื่มให้ได้ยาวๆ ต้องอย่าเร่ง ค่อยๆ จิบพร้อมกับอาหารไปเรื่อยๆ จะดีกว่าไวน์กับโรคกระเพาะอาหารมีผลวิจัยบอกว่าคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารก็ดื่มไวน์ได้ เพราะไวน์จะไปเคลือบกระเพาะได้ ปริมาณที่ดื่มก็เหมือนคนทั่วไป คือไม่ควรเกินวันละ 2 แก้ว คุณหมอด้านหัวใจบางท่านมักจะแนะนำให้ดื่มไวน์กัน แต่สำหรับคนที่ไม่แน่ใจท้องใส้ของตัวเอง ลองจิบสักแก้วเพื่อทดสอบก่อนก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ


ความหมายของรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ วันรัฐธรรมนูญ ตรงกับ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
ประวัติความเป็นมา

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการอิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันรัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเด และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
พระมหากษัตริย์
สภาผู้แทนราษฎร
คณะกรรมการราษฎร
ศาล
ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้
สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม
กระทั่งถึง วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี
ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้
หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้้
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก...คุณก็เสี่ยงเหมือนกันนะ!



โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก...คุณก็เสี่ยงเหมือนกันนะ! (Lisa)
ใบหน้าบิดเบี้ยว...ไม่ได้เกิดขึ้นยากอย่างที่คิด ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต และหากรักษาอย่างรวดเร็วก็จะหายได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ถ้าเห็นแค่อาการโดยไม่เข้าใจเลยก็อาจกลัวโรคนี้มาก ๆ หรืออาจไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่น่ะคือ โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s Palsy วันนี้ก็เลยต้องมาคุยกันหน่อยจะได้ไม่วิตกยังไงล่ะคะ
ใครที่ติดตามข่าวบันเทิงบ้านเราคงจะได้ยินข่าวดาราหนุ่ม โอ-อนุชิต ที่ป่วยเป็นโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกหรือ "ปลายประสาทคู่ที่ 7 อักเสบ" ซึ่งตอนแรกนั้นก็แค่รู้สึกเหมือนนอนตกหมอน หลังจากนั้นก็เริ่มควบคุมใบหน้าซีกซ้ายไม่ได้ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลา 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หลังจากนั้นหนุ่มโอก็เข้ารับการรักษาและมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คุณผู้อ่านบางคนอาจจะยังมีข้อสงสัยกันบ้าง เราจึงขอมาเคลียร์กันให้เข้าใจในวันนี้
ทำไมหน้าถึงเบี้ยว
ก่อนจะเข้าใจว่า "โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก" หรือ Bell’s Palsy เกิดจากอะไร เรามาดูเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกันก่อน ซึ่งก็คือ CN-VII หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่เริ่มต้นจากก้านสมองในส่วนที่เรียกว่า Pons ก่อนจะแตกสาขาครั้งแรกในต่อมน้ำลานใต้หู แล้วแตกเป็นใยประสาทมากกว่า 7,000 สาขาซึ่งแยกไปตามใบหน้าลำคอ ต่อมน้ำลาย และหูส่วนนอก เส้นประสาท เหล่านี้จะควบคุมกล้ามเนื้อลำคอ หน้าผาก และควบคุมการแสดงสีหน้า
โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเกิดขึ้นเนื่องจากอาการอักเสบของเส้นประสาทดังกล่าวภายใน Fallopian Canal ซึ่งแคบมากๆ การอักเสบนั้นจึงส่งแรงกดไปที่เส้นประสาท หรือถ้าตัวเส้นประสาทเกิดการอักเสบภายในท่อดังกล่าวเสียเองก็จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน จนในที่สุดหน้าที่ทั้งหมด ซึ่งเส้นประสาทคู่ที่ 7 รับผิดชอบนั้นจะซะงัก นั่นหมายความว่าถ้าเกิดอัมพฤกษ์ลามไป บริเวณที่ไม่ใช่ใบหน้า หรือใบหน้าขยับได้บางส่วน นั่นก็ไม่ใช่โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกแล้วค่ะ
คุณเองก็เสี่ยงกับโรคนี้เหมือนกัน
ใครๆ ก็อาจเป็นโรคนี้ได้ แม้ว่ามักจะเกิดในคนที่มีอายุ 15-60 ปี แต่เด็กๆ หรือคนชราก็ไม่ใช่ ข้อยกเว้นสำหรับโรคนี้ ส่วนที่พบได้มากก็คือหญิงมีครรภ์ในช่วงใกล้คลอดหรือคนที่เพิ่งคลอดบุตร ส่วนผู้ป่วยเบาหวานก็จะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 4 เท่า นอกจากนี้ โรคต่างๆ ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงกับโรคใบหน้าเบี้ยวได้เช่นกัน สำหรับอุบัติการณ์ของโรคพบที่ 20 คนต่อประชากร 100,000 คน โดยในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยปีละประมาณ 40,000 คน
เมื่อเป็นแล้วจะ...
หลายคนที่มีอาการเป็นครั้งแรกจะไม่รู้ว่านี่คือโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ทีแรกอาจรู้สึกแค่ปวดหลังหู (ซึ่งเป็นอาการที่สำคัญของโรค) หรืออาจรู้สึกว่าหน้าตึงๆ ไม่สามารถหลับตาหรือขยับได้ดังใจ โดยมีลักษณะอาการที่สังเกตได้ดังนี้
•ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้ (รวมถึงหน้าผาก) •มักจะรู้สึกปวดหรือชาในหู ใบหน้า คอ หรือกรามข้างที่มีอาการ •ปวดศีรษะ •ไม่รู้รสชาติอาหาร •ผู้ป่วย 60% จะมีการติดเชื้อจากไวรัสก่อนแสดงอาการ •ประสาทการได้ยินอาจเปลี่ยนไป (บ่อยครั้งที่พบว่าการได้ยินจะไวมากขึ้น) •บางกรณีที่หายยากจริงๆ ผู้ป่วยอาจมีอาการทั้งสองซีกของใบหน้า
อย่างไรก็ดี อาการของโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกอาจจะรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในกรณีแรกผู้ป่วยอาจพบว่าตื่นมาวันหนึ่งแล้วประสบกับอาการใบหน้าบิดเบี้ยวเลย หรือในกรณีที่สองก็จะมีอาการนำมาก่อน อย่างเช่น ตาแห้ง คันบริเวณริมฝีปาก ปวดด้านในหู แต่อาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่อาการจะปรากฏแน่ชัดว่าเป็น Bell’s Palsy จริงๆ หลังจากนั้นสามสี่วันอาการจะรุนแรงที่สุด แต่จะรุนแรงไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ ข่าวดีก็คือโรคนี้จะไม่ทำให้ส่วนอื่นของร่างกายชาด้านหรือเป็นอัมพฤกษ์ ดังนั้น ถ้าอาการลามไปถึงส่วนอื่นๆ ด้วย คุณอาจจะต้องให้คุณหมอตรวจสอบเพิ่มเติมดีกว่า
หายได้...ด้วย "เวลา"
ผู้ป่วยโรคใบหน้าเบี้ยวประมาณ 50% จะหายจากโรคโดยเด็ดขาดภายในระยะเวลาอันสั้น และอีก 35% อาจต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี เพื่อจะได้หายขาดจากโรค
ข่าวดีก็คือ Bell’s Palsy มักถูกมองว่าเป็นอาการบาดเจ็บของประสาท ซึ่งมีการรักษาตัวเองได้เพียงแต่ระยะเวลาและการฟื้นฟูก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าบาดเจ็บมากน้อยเพียงไร หากเส้นประสาทบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย การฟื้นฟูนั้นก็รวดเร็วและอาจใช้เวลาแค่ไม่กี่วันจนถึงไม่กี่สัปดาห์ แต่โดยเฉลี่ยแล้วเส้นประสาทอาจสร้างตัวเองใหม่ได้ที่ความเร็ว 1-2 มิลลิเมตรต่อวัน และอาจสร้างติดต่อกันได้ 18 เดือน หรือนานกว่านั้น อาการของโรคจึงค่อยๆ ทุเลาลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ข่าวร้ายก็คือเมื่อเป็นแล้วอาจเป็นอีกได้ แม้จะมีโอกาสน้อยก็ตาม สำหรับคนที่เคยป็นแล้ว โอกาสที่จะเป็นอีกครั้งอยู่ที่ 5-9% ในช่วง 10 ปี
Thailand’s Cure Bell’s Palsy รักษาอย่างไร?
สำหรับวิธีการรักษานั้น Lisa ได้มาสอบถามอายุรแพทย์ระบบประสาท ประจำศูนย์สมองและระบบประสาท ร.พ.พญาไท 3 ซึ่งอธิบายว่า กรรักษาอาจมีตั้งแต่การรักษาด้วยยาลดอาการบวม ลดการอักเสบ ยาบำรุงปลายประสาท ตลอดจนการกระตุ้นไฟฟ้ากล้ามเนื้อใบหน้าในบางรายอาจมีข้อบ่งชี้เรื่องการให้ยาด้านไวรัสร่วมด้วย สำหรับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดนั้น มักจะเป็นกรณีที่พบน้อยและตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่าเกิดจากสาเหตุเนื้องอกในสมอง เป็นต้น โดยมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาเจียน แขนขาอ่อนแรง ชา หรือลิ้นแข็ง ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการประเมิน ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้ แต่ในบางรายอาจพบร่องรอยของกล้ามเนื้อใบหน้าที่ยังขยับได้ไม่เท่ากันอยู่บ้าง
Did You Know?
โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกนั้น ถูกเรียกว่า "Bell’s Palsy" ตามชื่อ เซอร์ชาร์ลส์ เบลล์ศัลยแพทย์ชาวสกอตผู้ศึกษา เส้นประสาทคู่ที่ 7 และบทบาทของมันต่อกล้ามเนื้อใบหน้า เมื่อ 200 ปีที่แล้ว

หายใจให้ถูกแก้โรคความดัน


ทุกวันนี้หลาย ๆ คน หายใจเข้าและออกไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท้องจะป่องเมื่อหายใจเข้า และท้องแฟบตอนหายใจออก ก็ดันเป็นในทางตรงกันข้าม ร้ายกว่านั้นคือ หายใจตื้น ๆ หน้าท้องไม่ขยับสักนิด การหายใจที่ไม่ถูกหรือหายใจตื้นเกินไปทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และขับคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกไปได้ไม่มาก ส่งผลให้การหมุนเวียนของโลหิตเร็วเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ที่สำคัญเมื่อความดันโลหิตสูงแล้ว โรคภัยร้าย ๆ ก็จะตามมา อาทิ หัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดเสื่อมสภาพ เมื่อรู้ว่าโรคร้าย ๆ เกิดได้เพราะพฤติกรรมหายใจที่ผิด ๆ ทางแก้มีไม่ยาก แค่หายใจอย่างถูกวิธี หรือหายใจแบบทารก คือ การหายใจทางจมูก ปากปิดสนิท ลิ้นแตะเพดาน ไม่กัดฟัน ขณะสูดหายใจเข้าท้องป่อง ส่งให้หน้าอกขยายออกเล็กน้อย เมื่อหายใจออกท้องแฟบลง บริเวณหน้าอกขยับลงดังเดิม สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การหายใจทางปาก จะทำให้มีปัญหาฟันตามมาและทำให้นอนกรน รวมถึงการหายใจให้หน้าอกขยับแรง ๆ หรือเป็นการหายใจขณะตื่นเต้น ตกใจ ก็ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ.

กิเลสเกิดจาก “ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ”


กิเลสเกิดจาก “ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ” โดย หลวงปู่ทองคำ ปัญญาวุฑโฒ พระครูวินัยธรปัญญาวุฑโฒ (หลวงปู่ทองคำ ปัญญาวุฑโฒ) เจ้าสำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุวรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี หลังจากเกษียณอายุราชการครูแล้ว ได้เดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ด้วยการสอนปฏิบัติธรรมตามแนวทางของวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า ๒๖ ปี โดยเห็นว่า สังคมในปัจจุบันมีความจำเป็นต้องเรียนรู้หลักธรรม เพื่อนำชีวิตไม่ให้ทำอะไรอย่างประมาท โดยต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ความสำคัญของการปฏิบัติธรรม คือการกำหนด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ผู้เรีย นวิชาวิปัสสนากรรมฐาน จะต้องย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร การนั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญขัดเกลาจิต เป็นเพียงการนำเอาก้อนหินไปทับต้นหญ้าเท่านั้น ไม่สามารถทำให้จิตมั่นคงอยู่ในสภาวะของความสงบ สว่าง บริสุทธิ์ ได้ตลอดไป ดังคำกล่าว ที่ว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว จิตของท่านก็จะมีความเข้มแข็ง หลวงปู่ทองคำได้อนุญาตให้สัมภาษณ์กับ “คม ชัด ลึก” ดังนี้ ๏ ก่อนที่หลวงปู่จะมาบวชทำอาชีพอะไรครับ ? ก่อนที่อาตมาจะมาบวชก็รับราชการครูสอนนักเรียนเหมือนกับครูทั่วๆ ไป สอนอยู่หลายปี จนถึงเวลาต้อง เกษียณ จากราชการ ทำให้หวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาว่า ใช้ชีวิตฆราวาสมาก็ยาวนานแล้ว จึงคิดว่าน่าจะได้ไปหาศีลธรรม ฟังเทศน์ ฟังธรรมบ้างดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องว่าง อย่างน้อยก็เหมือนมีงานให้ทำ จึงได้ปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาว ๏ แล้วมาตัดสินใจ บวชตอนไหนครับ ? อาตมาตัดสินใจบวช ตอนที่แม่บ้าน ต้องมาเสียชีวิตลง ประกอบกับลูกๆ ก็โตกันหมดแล้ว ทำให้ภาระ ที่จะต้องเลี้ยงดูไม่มี อาตมาจึงเห็นว่า แสงแห่งธรรมนั่นแหละ จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับตัวเราได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัดสินใจบวช ระหว่างนั้นก็ยังปฏิบัติธรรม ถือศีลนุ่งขาวห่มขาวอยู่มาเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๐ ปี พออายุ ๗๐ ปีก็ได้บวชเข้าวัดเลย ๏ เมื่อหลวงปู่บวชเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ? จริงๆ มันก็สบายดี ไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้รบกวนหรือทำความรำคาญให้ สิ่งภายนอกล้วนทำให้เราเป็นทุกข์ ดังนั้นระหว่างที่อาตมาบวชเข้ามาใหม่ๆ ก็ได้ใช้วิชาวิปัสสนากรรมฐาน เข้าไปใช้กับญาติโยมที่มาวัด ให้พวกเขาได้รู้จักการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง หากใครได้ทำแล้วจะมีความสุข จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนั่ง การนอน หรือแม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องปฏิบัติกันด้วยสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ๏ ปัจจุบันมีประชาชนสนใจปฏิบัติธรรมมากน้อยแค่ไหนครับ ? ถ้าให้อาตมาย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ชาวบ้านให้ความสนใจในการปฏิบัติธรรมกันอย่างเคร่งครัด ทุกอย่างที่เขามาปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันอย่างมุ่งมั่น อาตมาสอนครั้งหนึ่งรุ่น ๔๐ คน ๕๐ คน เป็นเวลา ๒ ปี ๓ ปี แต่สมัยนี้การปฏิบัติธรรมของคนมีน้อยลงเหลือแค่ ๑๐ คน ๒๐ คน ยิ่งบางคนเข้ามาก็ไม่ค่อยทำกันแบบจริงจัง ส่วนหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีสิ่งภายนอกนานาชนิดคอยนำพาให้พวกเขาละเลยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จนบางคนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตก็ได้ ๏ ชาวบ้านที่มาปฏิบัติธรรมจะได้อะไรกลับไปบ้าง ? ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ก็ยังมีญาติโยมบางคนก็เข้ามาปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่มีการสอนกันอย่างต่อเนื่อง บางคนเข้าบ่อยจนคิดว่าตัวเองสามารถที่จะออกไปเผชิญกับปัญหาสังคมภายนอกได้อย่างเข้มแข็ง จิตใจไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน คนเหล่านี้ก็จะออกไปใช้ชีวิตตามปกติ อาตมาคิดว่าการปฏิบัติธรรมใครได้ทำแล้วมีแต่จะส่งผลดีให้กับตัวเองอย่างแน่นอน เมื่อชีวิตไปพบไปเจออุปสรรคหรือปัญหาก็จะทำให้ชีวิตผ่านปัญหานั้นไปได้ ๏ ส่วนใหญ่การเรียนวิปัสสนามีการสอนเน้นไปในเรื่องใดครับ ? ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ผู้เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานจะต้องย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างการนั่งสมาธิ การปูพื้นฐานของจิต หรือการรวมรวมจิตให้กลับเข้าที่เข้าทาง ไม่ฟุ้งซ่านสับสน มีสติพร้อมที่จะนำปัญญาเพื่อพิจารณาธรรมต่อไป หรือจะเรียกว่าเป็นการบำเพ็ญจิต ขัดเกลากิเลสที่เกาะกินจิตให้ใสสะอาด บริสุทธิ์ สงบ สว่างประภัสสร การนั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญขัดเกลาจิต เป็นเพียงการนำเอาก้อนหินไปทับต้นหญ้าเท่านั้น ไม่สามารถทำให้จิตมั่นคงอยู่ในสภาวะของความสงบ สว่าง บริสุทธิ์ ได้ตลอดไป เพราะเมื่อใดที่ท่านต้องมีภาระผูกพัน เกลือกกลั้วอยู่ในสังคมในโลกแห่งความสับสนวุ่นวาย เอารัดเอาเปรียบกัน จิตก็จะไม่สงบ จะฟุ้งซ่าน สับสน ตึงเครียด ไม่สามารถควบคุมจิตให้อยู่ในสมาธิมีสติได้ตลอดเวลา เหมือนยกก้อนหินออกจากต้นหญ้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถที่จะทำให้จิตคงอยู่ในสภาวะ สงบสว่าง และใสสะอาดอยู่ในสมาธิและมีสติอยู่ตลอดไปได้ สิ่งแรกที่เราจะต้องทำ คือจะต้องรับรู้ถึงจุดศูนย์กลางของความเป็นสภาวธรรมทั้งมวลก่อน จุดศูนย์กลางของสภาวธรรมนั้นเปรียบเสมือนชิพข้อมูลหรือทางธรรมเรียกว่า "จุดญาณทวาร" หรือประตูเกิด-ตาย หรือเส้นทางที่ใช้สำหรับเดินทางกลับคืนสู่บ้านเดิม หรือแดนนิพพานนั่นเอง จุดญาณทวารคือ ช่องทางสำหรับรับข้อมูลต่างๆ ที่ผ่านมายังอายตะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำมาเข้าสู่ขบวนการหน่วยความจำ ดังนั้น การที่ทำให้จิตเข้าสู่ขบวนการรับข้อมูลที่ถูกต้องก่อนอื่นจะต้องใช้วิธีผ่อนคลายความตึงเครียดของจิตที่อ่อนล้า เหนื่อยหน่าย ให้กลับมามีชีวิตชีวา ร่าเริง เบิกบาน และร่างกายเบาสบายเสียก่อน เพราะมีการกล่าวเอาไว้ว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว จิตของท่านก็จะมีความเข้มแข็ง ๏ วิปัสสนากรรมฐานสามารถตัดกิเลสได้ไหมครับ ? ได้ซิ เพราะทุกวันนี้เราจะเห็นว่า กิเลสพยายามที่จะเกาะติดตัวเราไปในทุกหนทุกแห่ง สิ่งที่เราทำได้ก็คือการดับมัน ดับกิเลสนั่นเอง พอกิเลสจะพาตัวเราไปไหนเราจะต้องดับมันไม่ว่ากิเลสนั้นจะเกิดจาก อกุศลมูล ในที่นี้ มีเพียง ๓ อย่าง แต่ในที่อื่นมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น และจำแนกออกไปมากกว่า ๓ อย่าง ตัวอย่างเช่น แทนที่จะจำแนกเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ก็มีการจำแนกออกเป็น กามราคะ ปฏิฆะ ทิฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ อวิชชา รวมเป็น ๗ อย่าง และเรียกว่า อนุสัย แต่ในที่สุดเราก็เห็นได้ว่า กามราคะ ความกำหนดในกาม และ ภวราคะ ความกำหนดในความมีความเป็น ในที่นี้ได้แก่ โลภะ หรือ ราคะ ปฏิฆะ ในที่นี้ก็คือ โทสะ ส่วน ทิฐิ วิจิกิจฉา มานะ อวิชชา ทั้ง ๔ อย่างนี้ สรุปลงรวมได้ในโมหะ จึงยังคงเหลือเพียง โลภะ โทสะ โมหะ อยู่นั่นเอง ๏ แสดงว่ากิเลสก็ปะปนอยู่กับความชั่วใช่ไหมครับ ? ก็ใช่ทั้งนั้นแหละ เนื่องจากคนเรายังมีรักโลภโกรธหลง กิเลสที่มันเข้าไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความดีความชั่วก็เข้าทางเดียวกัน ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน แต่อยู่เรานั่นเองที่จะแยกหรือตัดความชั่วออกไป แล้วเหลือเฉพาะความดีเอาไว้กับตัวเอง อาตมาว่าถ้าทุกคนได้ลองฝึกให้เป็นประจำก็คิดว่าไม่น่ามีอะไรยากหรอก เพียงแต่ทุกคนที่เข้ามาปฏิบัติธรรมจะต้องรู้จักบวชใจให้สงบนิ่งเสียก่อน เพียงเท่านี้ก็ทำให้มีหน้าตาผ่องใสได้ ๏ ระหว่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรร้ายที่สุดครับ ? อันนี้ไม่จำเป็นต้องให้อาตมาบอกหรอก ทุกคนย่อมรู้กันอยู่แล้ว (หัวเราะ) เพราะทุกอย่างมันเป็นตัวสร้างกิเลสให้กับตัวเราอยู่แล้ว ซึ่งถ้าใครมีมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลร้ายกับตัวเองมากเท่านั้น แม้แต่อาตมาเองก็ได้พยายามตัดออกไปให้หมด เพราะเมื่อเข้ามาเป็นพระสงฆ์แล้ว ถ้าไม่รู้จักตัดกิเลสเหล่านี้ออกไปจากจิตใจแล้ว การเป็นพระก็จะอาบัติ ผิดศีลได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้ว่าพระสงฆ์ทุกวันนี้มีข่าวที่ไม่ดีมากมาย เป็นเพราะไม่สามารถตัดกิเลสเหล่านี้นั่นเอง เมื่อใดใจเรามีความอยาก ตัวกิเลสก็จะวิ่งเข้ามาทำให้เกิดความวุ่นอยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด ๏ แล้วตอนนี้หลวงปู่ทำวิปัสสนากรรมฐานถึงขั้นไหนแล้วครับ ? การกำหนดรู้ขั้นรู้จัก คือกำหนดรู้สิ่งนั้นๆ ตามลักษณะที่เป็นสภาวะของมันเอง พอให้แยกออกจากสิ่งอื่นๆ ได้ เช่นรู้ว่านี้คือเวทนา เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ และหากถามอาตมาว่า ตอนนี้อาตมาทำได้แค่ไหนแล้ว ก็บอกได้ว่าตอนนี้ ได้ทำวิปัสสนากรรมฐานของอาตมาเข้าสู่ญาณ ๑๒ แล้ว จะให้มากกว่านี้คงยังไม่ได้ แต่อาตมาก็ยังปรารถนาไปสู่ภพภูมิที่ดี ๏ ทำไมไปถึงได้เพียงขั้นที่ ๑๒ ครับ ? จะให้อาตมาทำให้มากกว่านี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเรายังไม่สามารถตัดญาติพี่น้องไปได้ วิปัสสนากรรมฐาน จะดำเนิน ไปยังขั้นต่อไปหรือทำมากกว่านี้คงไม่ได้ เพราะถ้าทำได้จะต้องมีการตัดญาติพี่น้อง เสมือน ไม่มีพี่ไม่มีน้องใดๆ เลย เป็นการสละแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และสิ่งสำคัญอาตมาถือว่าเรายังอาศัยเขากินอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม อาตมาก็จะพยายามทำให้ดำเนินไปยังขั้นต่อไป แต่มันก็ยากอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่อาตมาคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุญกรรมและวาสนามากกว่า ๏ ความเห็นจากหลายคนไม่ค่อยเชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง เป็นเพราะอะไรครับ ? อาตมาคิดว่าใครก็ตามที่ไม่เชื่อว่านรกหรือสวรรค์มีจริง ก็ให้คิดถึงเมื่อครั้งที่เราทำบาป ทำความชั่ว บางครั้งผลของบาปกรรมที่ทำก็ตอบสนองเราเร็วก็มี ส่วนคนที่ไม่ค่อยเชื่ออาจเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยใส่ใจ มันเป็นเรื่องที่คนยังไปยึดติดอยู่กับทางโลกมากเกินไป เหมือนกับผู้ชายบางคนที่ไปมีผู้หญิงอื่น พวกนี้มันก็เป็นบาปเป็นพวกกิเลสนำพาไป ๏ บาปบุญคุณโทษเหล่านี้เราสามารถลดลงได้อย่างไรบ้าง ? เรื่องแบบนี้ไม่ยากเลย แค่คนเรานับถือศีล ๕ เอาไว้ประจำใจ ไม่ไปประพฤติผิดในกาม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ฯลฯ เพียงเท่านี้มันก็ทำให้คนเราไม่มีในเรื่องของบาปแล้ว จริงๆ ศีล ๕ ก็สามารถไปฆ่ากิเลส ไปตัดรอนกิเลสได้เหมือนกัน อาตมาอยากจะบอกว่า คนเราอย่าไปยึดติดอะไรกับอำนาจวัตถุเพียงอย่างเดียว ขอให้คิดว่าจงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ลองตัดความเป็นมนุษย์เสียบ้าง เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ ก็จะเห็นว่า โลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้น และมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะขนาดเทวดา นางฟ้า และพรหมเองก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน ๏ สุดท้ายอยากให้หลักธรรมอะไรกับผู้อ่าน “คม ชัด ลึก” ครับ ? การนินทาผู้อื่นเราก็มองว่าเป็นเรื่องไม่ดี เราถูกนินทา เราก็รู้สึกไม่ดี แต่พอเรานินทาคนอื่น คนเหล่านั้นก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเรา ฉะนั้น หากชาตินี้หรือชาติที่แล้วเราไปทำร้ายคนอื่นเอาไว้ไม่ดี สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความร้ายเหล่านั้นเปลี่ยนจากหนักให้เป็นเบาได้ นั่นก็คือ การแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลต่างๆ ไปให้ ตรงนี้ก็ทำให้เกิดเป็นบุญได้เหมือนกัน แต่ถ้าทุกคนสามารถฆ่ากิเลส ๖ อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปได้ก็ไม่มีความชั่วแล้ว ชาติภูมิหลวงปู่ทองคำ ปัญญาวุฑโฒ หลวงปู่ทองคำ ปัญญาวุฑโฒ อายุ ๙๖ ปี พรรษา ๒๖ ชื่อเดิม นายทองคำ แจ้งชัดใจ เกิดวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๑ ปีวอก ณ ต.คูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรี บิดา นายแสง แจ้งชัดใจ มารดา นางพลอย แจ้งชัดใจ ได้เข้ามาเป็นเด็กวัด อยู่ที่วัดอินทราราม บางขุนพรหม กรุงเทพฯ จนเรียนจบการศึกษา ม.ศ. ๒ พี่สาวไม่ให้เรียนต่อ บอกว่าเรียน ไปก็ต้มกินไม่ได้ จึงกลับไปช่วยที่บ้านทำนา ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สมัยนั้นคนที่จะได้เป็นครูสอนหนังสือ จะเป็นง่ายกว่าปัจจุบันที่จะต้อง จบปริญญาตรี จึงไปรับราชการเป็นครูโรงเรียนวัดบ้านโพธิ์เปลี่ยนวิทยาทาน จ.ราชบุรี จนเกษียณอายุราชการ หลังจากนั้นได้ตัดสินใจเข้าวัดปฏิบัติธรรมด้วยการนุ่งขาวห่มขาว กระทั่งอายุ ๗๐ ปี จึงตัดใจอุปสมบท เป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๒ เวลา ๑๕.๕๖ น. โดยมีพระเทพวิสุทธิโมลี วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูธีรญานปละยุตน์ วัดใหญ่อ่างทอง (เจ้าคณะตำบลอ่างทอง) เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูบวรธรรมสมาจารย์ วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา “ปัญญาวุฑโฒ”

สุขกับทุกข์มีราคาเท่ากัน

...การภาวนาคือการทำให้สงบ เมื่อสงบแล้วก็คือทำให้รู้ การทำให้สงบหรือทำให้รู้นี้ต้องลงมือปฏิบัติ กายกับจิตสองอย่างนี้เอง ไม่ใช่อื่นความเป็นจริงสิ่งที่กล่าวนี้มันเป็นสิ่งละสิ่ง เช่น รูปก็เป็นส่วนหนึ่ง เสียงก็เป็นส่วนหนึ่ง กลิ่นก็เป็นส่วนหนึ่ง รสก็เป็นส่วนหนึ่ง โผฏฐัพพะก็เป็นส่วนหนึ่ง ธรรมารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละอย่างนี้ก็เป็นคนละส่วน ๆ อยู่ แต่ท่านก็ให้เรารู้จักมันเสีย แยกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออก สรุปเป็นสุขทุกข์บ้าง สุขเกิดขึ้นมาก็เป็นสุขเวทนา ทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็เรียกทุกขเวทนา เรื่องสุขกับทุกข์ ท่านก็จัดไว้เพื่อให้แยกมันออกจากจิต จิตก็คือผู้รู้ เวทนานั้นก็คืออาการที่มันสุขหรือทุกข์ ชอบใจไม่ชอบใจ เป็นต้น เมื่อจิตของเราเข้าไปเสวยในอาการเหล่านั้นเรียกว่า จิตของเราเข้าไปยึดหรือหมายมั่น หรือสำคัญมั่นหมายในความสุขนั้น ในความทุกข์นั้นนั่นเอง การที่เราเข้าไปหมายมั่นนั้นก็คือเรื่องของจิต อาการที่มันสุขหรือทุกข์นั้น คืออาการของเวทนา ที่เป็นความรู้นั้นเรียกว่าจิตของเรา ที่ชื่อว่าสุขหรือทุกข์นั้นมันเป็นเวทนา ถ้ามันสุขก็เรียกว่าสุขเวทนา ถ้ามันทุกข์ก็เรียกว่าทุกขเวทนาถ้าปกติของจิตเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเกิดเวทนาเข้ามา ก็เกิดสุขทุกข์อย่างนี้ ถ้าเรามีสติอยู่ก็จะรู้ว่าอันนี้เรียกว่าสุข ที่เป็นสุขนั้นมันก็สุขอยู่ แต่จิตรู้ว่าสุขนั้นไม่เที่ยง มันก็ไม่ไปหยิบเอาสุขอันนั้น สุขนั้นมีอยู่ที่ไหน มีอยู่ แต่มันอยู่นอกจิต ไม่มีฝังอยู่ในดวงจิต แต่ก็รู้ได้ชัดเจน หรือเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา ถ้ามันแยกเวทนาได้ มันไม่รู้จักทุกข์หรือ? รู้ มันรู้จักทุกข์ แต่ว่าจิตมันก็เป็นจิตเวทนา มันก็เป็นเวทนา จิตนั้นจะไม่ไปยึดทุกข์มาแบกไว้ว่าทุกข์ ว่านี้มันเป็นทุกข์ นี่ก็เพราะเราไม่ไปยึดให้เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายคำที่กล่าวว่าพระพุทธองค์และพระอริยเจ้าของเราท่านตัดกิเลสแล้ว ท่านฆ่ากิเลสแล้วนี้ ไม่ใช่ท่านไปฆ่ากิเลสหรอก ถ้าท่านฆ่ากิเลสหมดแล้ว เราก็คงไม่มีกิเลสน่ะสิ เพราะท่านฆ่าไปหมดแล้ว ความจริงท่านไม่ได้ฆ่ามัน แต่ท่านรู้แล้ว ท่านก็ปล่อยมันไปตามเรื่องของมัน ใครโง่ มันก็ไปจับเอาคนนั้นแหละ ท่านรู้เฉพาะใจของท่านว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นพิษ ท่านก็เขี่ยมันออกไป สิ่งที่ทำให้ท่านเกิดทุกข์ ท่านก็เขี่ยมันออกไป ไม่ได้ฆ่ามันหรอก คนที่ไม่รู้ว่าท่านเขี่ยออก กลับเห็นว่าดีก็ไปตะครุบเอา เออ... อันนี้ดีนี่ ก็ตะครุบเอา ความเป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านทิ้ง อย่างสุขยังงี้ท่านก็เขี่ยออก เราก็เห็นว่าดี ก็ตะครุบเอาเลย จับใส่ย่ามไปเลยว่าของดีของเรา ความเป็นจริงนั้นท่านรู้เท่าทัน เมื่อสุขเกิดขึ้นมาท่านก็รู้ว่ามันเป็นสุข แต่ท่านไม่มีสุข ท่านก็รู้อยู่ว่าอันนี้มันเป็นสุข แต่ท่านไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นของเขา ว่าเป็นของเราทั้งนั้น อย่างนี้ท่านก็ปล่อยมันไป ทุกอย่างก็เหมือนกันพระพุทธองค์ท่านทรงรู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นโทษ สุขทุกข์จึงมีราคาเท่ากัน ดังนั้นเมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้นท่านจึงปล่อยวางไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีราคาเสมอเท่ากันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจึงเป็นสัมมาปฏิปทา เห็นสิ่งทั้งสองนี้มีทุกข์โทษเสมอกัน มีคุณประโยชน์เสมอกันทั้งนั้น และสิ่งทั้งสองนี้ก็เป็นของที่ไม่แน่นอน ตกอยู่ในลักษณะของธรรมะว่าไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เกิดแล้วดับไปทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เมื่อท่านเห็นเช่นนี้สัมมาทิฐิก็เกิดขึ้นมา เป็นสัมมามรรค จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็ตาม หรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตนั้นจะเกิดขึ้นมาก็ตาม ท่านก็รู้ว่าอันนี้เป็นสุขอันนี้เป็นทุกข์เสมอเลยทีเดียว ท่านไม่ได้ยึดการปฏิบัติภาวนานี้เป็นของสำคัญ รู้เฉย ๆ ไม่พอหรอก รู้เกิดจากการปฏิบัติที่จิตสงบ กับรู้ที่เราเรียนมานั้น มันไกลกันอยู่มากทีเดียว มันไกลกันมาก รู้ในการศึกษาเล่าเรียนนั้นมันไม่ใช่จิตของเรารู้ รู้แล้วมันตะครุบไว้ เก็บไว้ทำไม? เก็บไว้เพื่อให้มันเสีย เสียแล้วก็ร้องไห้ ถ้าเรารู้แล้วก็มีการปล่อยวาง รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ลืมตัว เมื่อถึงคราวทุกข์เจ็บไข้มา เราก็ไม่หลง บางคนคิดว่า เออ...ปีนี้ฉันเป็นไข้ตลอดปีนะ ไม่ได้ภาวนาเลย นี้คือคำพูดของคนที่โง่ที่สุดเลย คนเป็นไข้คนจะตายนี้มันควรจะรีบภาวนายิ่งขึ้น อันนี้ยิ่งไปพูดว่าเราไม่มีเวลาภาวนาเสียแล้ว ความเจ็บมันก็เกิดขึ้นมา ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา ความไม่ไว้ใจในสังขารเหล่านั้นมันก็มีมาแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรายังไม่ได้ภาวนา พระพุทธองค์ท่านไม่ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่านั่นแหละมันกำลังถูกที่ที่เราปฏิบัติละ จวนจะเจ็บจะไข้จะตายยิ่งเร่งยิ่งรู้ยิ่งเห็นสัจธรรม มันเกิดเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเราไปคิดเช่นนั้น มันก็ลำบากนะบางคนก็คิดว่าไม่มีโอกาส มีแต่การงานทั้งนั้น ไม่มีโอกาสที่จะภาวนา เคยมีอาจารย์หลายคนมาที่นี่ อาตมาถามว่าทำอะไร เขาตอบว่าสอนเด็ก มีงานมากสารพัดอย่าง วุ่น ไม่มีเวลาจะภาวนา อาตมาถามว่าเมื่อสอนเด็กนักเรียนน่ะ คุณมีเวลาหายใจไหม? มีครับ อ้าว...ทำไมมีเวลาหายใจล่ะ? ที่ว่าสอนเด็กอยู่งานมันยุ่ง นี่คุณห่างไปไกลไป ความเป็นจริงเรื่องปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของจิต เรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปวิ่งไปเต้นอะไรมากมาย เป็นเรื่องความรู้สึกเท่านั้น ลมหายใจนั้นเราทำงานอยู่เราก็หายใจเรื่อยไป เราพยายามแต่เพียงให้มีสติให้รู้อยู่เท่านั้น พยายามเรื่อย ๆ เข้าไป ให้เห็นชัดเข้าไป การภาวนาก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าเรามีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ จะทำงานอะไรอยู่ก็ตามเถอะ มันจะยิ่งทำให้การทำงานเหล่านั้นทำอย่างรู้ผิดชอบอยู่เสมอ นี้ให้คุณเข้าใจเสียใหม่ อาตมาบอกเขาอย่างนี้ เวลาที่จะภาวนานั้นมันเยอะ คุณเข้าไม่ถึงเฉย ๆ หรอก นอนอยู่ก็หายใจได้ ใช่ไหม? อยู่ที่ไหนก็หายใจได้ ทำไมมันจึงมีเวลาล่ะ ถ้าคุณคิดอย่างนี้ชีวิตของคุณก็มีราคาเท่ากับลมหายใจ แล้วมันจะอยู่ที่ไหนก็มีเวลา ความรู้สึกนึกคิดมันเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่เรื่องของรูปธรรม ดังนั้นเพียงแต่ให้มีสติอย่างเดียวเท่านั้นก็จะรู้จักความรับผิดชอบอยู่ตลอดกาล ทั้งการยืน เดิน นั่ง นอนเหล่านั้น เวลามันเยอะไป เราไม่ฉลาดในเรื่องเวลาของเราเอง อันนี้ให้คุณเอาไปพิจารณาดู มันเป็นอย่างนี้ถ้าเรารู้จิตเป็นจิต เวทนาเป็นเวทนาเท่านี้ มันก็แยกกันเป็นคนละอย่างคนละตอน จิตมันก็พ้นได้สบาย อารมณ์มันก็เป็นอย่างนั้นของมันเอง เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น มันเกิดแล้วก็ดับไป ดับแล้วก็เกิดแล้วก็ดับ มันก็เป็นอยู่เท่านั้น เรารู้แล้วเราก็ปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมันอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้รู้เห็นตามที่เป็นจริง อันนี้ปัญหามันก็จะจบลงที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นแม้เรา จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ขอให้มีการประพฤติปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะ อยู่ตลอดกาลเวลา เรื่องที่ถึงคราวนั่งสมาธิเราก็ทำไป ให้เข้าใจว่าการทำสมาธิก็เพื่อให้เกิดความสงบ ความสงบนั้นมันจะเพาะกำลังให้เกิดเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิเพื่อจะตามไปเล่นอะไรมากมายหรอก ดังนั้นการทำสมาธิก็ต้องให้มันสม่ำเสมอ การทำวิปัสสนาก็คือทำสมาธินั่นเองแหละ บางแห่งเขาก็ว่า บัดนี้เราทำสมาธิ ต่อไปเราจึงจะทำวิปัสสนา บัดนี้เราทำสมถะเป็นต้น อย่าให้มันห่างกันอย่างนั้นสิ สมถะนี้แหละคือบ่อเกิดของปัญญา ปัญญานี้ก็คือผลของสมถะ จะไปถือว่าบัดนี้เราทำสมถะ ต่อไปเราจะทำวิปัสสนาอย่างนั้น มันแยกกันไม่ได้หรอก มันจะแยกกันได้ก็แต่คำพูด เหมือนกับมีดเล่มหนึ่งนะ คมมันก็อยู่ข้างหนึ่ง สันมันก็อยู่อีกข้างหนึ่งนั่นแหละ มันแยกกันไม่ได้หรอก ถ้าเราจับด้ามมันขึ้นมาอันเดียวเท่านั้น มันก็ติดมาทั้งคมทั้งสันนั่นแหละความสงบนั้นมันก็ให้เกิดปัญญาในตรงนั้น ให้เข้าใจว่ามันเป็นท่อนฟืนดุ้นเดียวกันนั่นแหละ มันจะมีมาจากไหนล่ะ? มันไม่มีพ่อแม่เกิดมานะ ธรรมะจะเกิดขึ้นที่ไหน? ศีลก็คือพ่อแม่ของธรรมะ นี้คือสงบ หมายความว่า ความผิดทางกายทางใจมันไม่มี เมื่อไม่มีมันก็เป็นศีล และมันก็ไม่เดือดร้อน เพราะมันไม่มีความผิด ทีนี้เมื่อไม่เดือดร้อนความสงบระงับมันก็เกิดขึ้นมานี้ คือจิตเกิดความสงบขึ้นมาแล้วในตัวของมันเอง อันนี้ท่านจึงว่าศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นทางของพระอริยเจ้าจะดำเนินเข้าไปสู่พระนิพพาน มันเป็นอันเดียวกันถ้าพูดให้สั้นเข้ามา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นอันเดียวกัน ศีลก็คือสมาธิ สมาธิก็คือศีล สมาธิก็คือปัญญา ปัญญาก็คือสมาธิก็เหมือนมะม่วงใบเดียวกันนั่นแหละ เมื่อมันเป็นดอกขึ้นมามันก็ดอกมะม่วง เมื่อเป็นลูกเล็ก ๆ ก็เรียกว่าผลมะม่วง เมื่อมันโตขึ้นมาก็เรียกว่ามะม่วงลูกโต มันโตขึ้นไปอีกก็เป็นมะม่วงห่าม เมื่อมันสุกก็คือมะม่วงสุก มันก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ มันเปลี่ยน ๆ ๆ ๆ ไป มันจะโต มันก็โตไปจากเล็ก เมื่อมันเล็กมันก็เล็กไปหาโต จะว่ามะม่วงคนละใบก็ได้ จะว่าใบเดียวกันก็ถูกศีลก็ดี ปัญญาก็ดี มันก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างนั้น ผลที่สุดแล้วก็ต้องเป็นมรรคเดินทางเข้าไปสู่กระแสของพระนิพพาน มะม่วงตั้งแต่เป็นดอกมาเป็นต้น มันก็ดำเนินไปถึงที่มันสุกก็พอแล้ว นี่ให้เราเห็นเช่นนี้ ถ้าเราเห็นเช่นนี้เราก็ไม่ว่ามัน เขาจะเรียกให้เป็นอะไรก็ช่างมัน เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะแก่จะเป็นอะไรไปก็ตามพิจารณาไปเถอะ บางคนก็ไม่อยากจะแก่ แก่แล้วก็น้อยใจ งั้นก็อย่ากินมะม่วงสุกสิ จะอยากให้มะม่วงสุกทำไมล่ะ? เมื่อมันสุกไม่ทัน เราก็เอาไปบ่มไม่ใช่หรือ? ถึงเราจะแก่ก็ไม่ต้องบ่นน้อยใจ บางคนก็ร้องไห้ กลัวว่ามันจะแก่ตาย ยังงั้นมะม่วงสุกก็ไม่ต้องกินสิ กินดอกมะม่วงดีกว่านะ นี้แหละถ้าเราคิดอย่างนี้ มันก็เห็นธรรมะกระจ่างออกมา เราก็สบาย มีแต่จะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติไปเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับ คำที่คนไทยออกเสียงผิดบ่อยที่สุด

อันดับที่ 10 : screen saver (n.)

คำนี้นี่ฟังดูไร้ สาระที่สุดในบรรดาสิบคำแล้วครับ แต่ขอบอกว่าอ่านผิดกันเพียบ ถึงจะเขียนง่ายอ่านง่าย แต่คนก็อ่านผิดกันตรึม เพราะไปอ่านกันว่า “สกรีน เซิฟเวอร์” ซึ่งมันควรจะสะกดว่า screen server แทนสิครับ คำนี้จริงๆอ่านว่า สกรีน เซฟเฟอร์ นะครับ อย่าสับสน saver นะครับ!

อันดับที่ 9 : effort (n.)

เป็นอีกคำที่สร้างความ สับสนให้กับชีวิตนักเรียนสอบเอนท์ครับ เพราะจะไปสับสนกับคำว่า afford (n.) ที่อ่านว่า “อะฟอร์ด” ไม่อ่านว่า แอ๊ฟฟอร์ดนะครับ ออกเสียง f ตัวเดียว อะฟอร์ดนะครับ ซึ่งคำนี้แปลว่า จ่ายไหว, พอมีได้โดยไม่ยากลำบากนัก อะไรทำนองนี้ แต่คำว่า effort นั้นออกเสียงว่า “เอฟเฟิร์ท” ครับ พยางค์หลังออกเสียงสั้นคล้ายกับคำว่า purpose นั่นแหละครับ คำนี้แปลว่า ความมุ่งมานะ พยายาม อุตสาหะ
อันดับที่ 8 : comfortable (adj.)

คำนี้ก็ไม่เชิงผิดหรอกนะ ครับ แต่คนไทยมักจะลงเสียงหนักผิดที่ เพราะตอนเด็กๆ ผมก็ชอบไปหนักเสียงที่พยางค์ที่สองเป็นประจำ เราเลยมักอ่านกันว่า “คอมฟ้อร์ทเทเบิ้ล” กันสนุกปาก แต่อันที่จริง คำนี้ออกเสียงหนังที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์สองแทบไม่ออกเสียง การออกเสียงที่ถูกต้องจึงควรเป็น คั้มฟท์เทเบิ้ล ครับ ... คือมันไม่ “ฟอร์ท” อะครับ มันจะมีเสียง “ฟึ่ท” สั้นๆเบาๆอยู่หลังพยางค์แรกแค่นิดเดียวครับ อ่ะ ลองดูครับ ลองออกเสียงดู คั้มฟท์เทเบิ้ล… อืม เก่งมากครับ

อันดับที่ 7 : fragile (adj.)

มีอยู่วันนึง ขณะกำลังต่อแถวเข้าคิวเช็คอินขึ้นเครื่องบิน จำได้สนิทว่า คนที่อยู่หน้าผมเป็นคุณนายกระบังลมบิลลาบอง บอกกับพนักงานอย่างชัดเจนว่า “ในกระเป๋ามีน้ำหอมนะคะ ห้ามโยนนะคะ เดี๋ยวมันจะแตก ช่วยติดป้ายฟราจิ้วให้ด้วยค่ะ ...” ห๊ะ ... ฟราจิ้ล??? ... อะไรวะ ฟราจิ้ล ... โค้ดลับสายการบินไหนเรอะ พอผมเห็นพนักงานเอาสติ๊กเกอร์แถบสีส้มที่มีรูปแก้วไวน์แตกมาติดเท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่าคุณนายคนนั้นเค้าหมายถึง fragile ที่แปลว่า เปราะบางครับ คำนี้อ่านว่า แฟรกไจล์ นะครับ ... ฟราจิ้ลนี่เสล่อเด้อๆนางเด่อมากครับ
อันดับที่ 6 : debt (n.)

คำนี้เป็นคำที่อาจารย์สอน วิชา principle of investment ตอนผมเรียนปีสาม สอนเป็นเรื่องแรกๆเลยครับ ... นอกจาก จะสอนว่า debt แปลว่าหนี้สิน ซึ่งอยู่ในสมการงบดุล สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน อาจารย์ยังสอนแบบย้ำนักย้ำหนาด้วยครับว่าคำนี้อ่านว่า “เด๊ท” นะคะนิสิต ถ้านิสิตอ่านว่า “เด๊บ” นี่อาจารย์หักคะแนนจิตพิสัยนะคะ ...

อันดับที่ 5 : genre (n.)

ใครที่ใช้โปรแกรม iTunes ต้องเคยเห็นคำนี้กันทุกคนแน่ๆ เพราะมันคำที่ใช้แบ่งประเภทของเพลง เช่น pop / R&B / Classic ไรงี้ ซึ่งถ้าอ่านตรงตามที่เห็น คงอ่านกันว่า “เจนรี่” หรือ “เจนเร่” ใช่มั้ยครับ? ฮ่าๆ... ผมก็เคยอ่านมันว่า “เจอเนอเร่” เหมือนกัน เสล่อเป็นที่สุด คำอ่านที่ถูกต้องของคำนี้อ่านว่า “ชองระห์” ครับ ... คำนี้เป็นคำยืมจากภาษาฝรั่งเศส เลยอ่านแบบกระแดะแบบนี้ล่ะครับ
อันดับที่ 4 : Purpose (n., v.)

ผมว่าหลายคนสับสนคำนี้กับ คำว่า propose (n.) ที่แปลว่านำเสนอ หรือขอแต่งงาน ซึ่งอ่านออกเสียงว่า “โพรโพ้ส” ตามรูปที่เราเขียนตรงๆ ... หลายคนก็เลยเข้าใจว่า งั้น purpose ก็ต้องอ่านว่า “เพอร์โพส” น่ะสิ... เหมือนจะถูก ... แต่ผิดครับ คำนี้ออกเสียงว่า “เพ้อร์เพิส” พยางค์หลังออกเสียงสั้นครับ

อันดับที่ 3 : Effect (n., v.)

คำนี้คนไทยออกเสียงผิด ประมาณ 99.7% (อีก 0.2% อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก) เพราะเราจะคุ้นเคยกับคำว่า special effect (สเปเชี่ยล เอฟเฟกต์) ใช่มั้ยครับ เจอคำนี้เดี่ยวๆปั๊บ เราก็เอฟเฟกต์กันทันใดเชียว ... คำอ่านที่ถูกต้องของคำนี้คือ “อิ๊เฟกต์” ครับ ออกเสียง f แค่ตัวเดียว ดังนั้น วันหลังไปดูคอนเสิร์ต หรือหนังแล้วก็อย่าออกเสียงเสล่อๆนะครับ “The special effect in Transformer 2 is awesome” สเปเชี่ยลอิเฟกต์ในหนังเรื่องทรานสฟอร์มเมอร์ภาคใหม่:-)เจ๋งเห้ยๆเลยเมิง
อันดับที่ 2 : Error (n.)

ใครอ่านคำนี้ว่า “เออ-เร่อ” บ้างครับ? ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้!!! นั่นไง เพียบเลย... คำนี้ผมอ่านว่า “เออเร่อ” มาจนถึงไม่กี่ปีนี้ถึงจะได้บรรลุธรรมว่ามันผิด! ที่ผ่านๆมา อ่านตามชาวบ้านมาตลอด เออเร่อๆ อ๋อเหรอ เออๆ เหรอๆ เออเร่อๆ... คำนี้คำที่ถูกต้องอ่านว่า “แอ-เร่อะ” ออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์สองแทบไม่ต้องออกเสียงเลยครับ ออกเสียงคล้าย” แอ๊ร์...”

อันดับที่ 1 : Value (n., v.)

คำว่า Value ถ้าอ่านออกเสียงแบบถูกต้องจริงๆ ต้องอ่านว่า “แฟยิ่ว” ครับ อันนี้ยืนยันจากประสบการณ์ตรงได้ว่า ถ้าอ่านว่า “แวลู่” ฝรั่งมันงงจริงๆ พยางค์หลัง พยัญชนะต้นคือตัว U ไม่ใช่ตัว L นะครับ ฟังดูกระแดะมากๆ แต่ถ้าจะอ่านให้ถูกต้อง ต้องยอมกระแดะครับ เราต้องอดทนเพื่อความถูกต้อง!




ที่ มา ToptenThailand



100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทยปี 2553


ผลการจัด อันดับโรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2553
โดยพิจารณาจาก โอลิมปิกวิชาการ O-net โควตา รับตรง admission แพทย์ กสพททุนรัฐบาล ทุน กพ ทุน พสวท. และ อื่นๆ

1. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
2. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
3. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
4. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
5. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
6. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
7. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
8. โรงเรียนสตรีวิทยา
9. โรง เรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
10.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล


11.โรงเรียน อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี
12.โรงเรียน อัสสัมชัญ
13.โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน
14.โรงเรียน สาธิต ม.เชียงใหม่
15.โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
16. โรงเรียน สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
18.โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
19.โรงเรียน ยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
20.โรงเรียน เทพศิรินทร์

21.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
22.โรงเรียนเบ็ญ จะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
23.โรงเรียนนครสรรค์
24.โรงเรียนพิบูล วิทยาลัย จ.ลพบุรี
25.โรงเรียนสตรี วิทยา 2
26.โรงเรียน สาธิต ม.ขอนแก่น
27.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
28.โรงเรียน ขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
29. โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30.โรง เรียนพิริยาลัย จ.แพร่


31.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
32.โรงเรียน สุราษฎร์ธานี
33.โรงเรียน พรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี
34.โรงเรียน ภูเก็ตวิทยาลัย
35.โรงเรียน โยธินบูรณะ
36.โรงเรียน สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
37.โรงเรียน กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
38.โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย จ.นนทบุรี
39.โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
40.โรงเรียนหอวัง

41.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น
42.โรงเรียนอัส สัมชัญสมุทรปราการ
43. โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
44.โรงเรียน สุราษฎร์พิทยา
45. โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์
46.โรง เรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
48.โรงเรียน ศึกษานารี
49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร

51.โรงเรียน สตรีศรีน่าน จ.น่าน
52.โรงเรียนร้อยเอ็ด วิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด
53.โรงเรียน นารี รัตน์ จ.แพร่
54.โรงเรียน สิรินธร จ.สุรินทร์
55.โรงเรียนมหา วชิราวุธ จ.สงขลา
56.โรงเรียน บุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์
57.โรง เรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.สตูล
58.โรงเรียน บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 )
59.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
60.โรงเรียนดารา วิทยาลัย จ.เชียงใหม่


61.โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง
62.โรงเรียน สระบุรีวิทยาคม
63.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
64.โรงเรียน ระยองวิทยาคม
65.โรงเรียน ชลราษฎร์อำรุง
66.โรงเรียน พัทลุง
67.โรงเรียน พิษณุโลกวิทยาคม
68.โรงเรียน เซนต์โยแซฟคอนแวนต์
69.โรงเรียนบูรณะ รำลึก จ.ตรัง


70.โรงเรียน สุรศักดิ์มนตรี
71.โรงเรียน กำแพงเพชรพิทยาคม
72.โรงเรียนทวีธาภิ เศก
73.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
74.โรงเรียนจุฬา ภรณ์ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
75.โรงเรียนมารี ย์วิทยา จ.นครราชสีมา
76.โรงเรียน สกลราชวิทยานุกูล
77.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
78.โรงเรียน สายน้ำผึ้ง
79.โรงเรียนเบญจมราชาลัย

80.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
81.โรงเรียน พัทลุง
82.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช
83.โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
84.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
85.โรงเรียน ชลกันยานุกูล โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
86.โรงเรียน เบญจมราชรังสฤษฎิ์
87.โรงเรียน สาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
88.โรงเรียน เบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
89.โรงเรียน วิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี


90.โรงเรียน นวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
91.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
92.โรงเรียนสตรี ราชินูทิศ จ.อุดรธานี
93.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
94.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
95.โรงเรียน สาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา
96.โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ
97.โรง เรียนอัสสัมชัญธนบุรี
98.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
99.โรงเรียนสวน กุหลาบวิทยาลัย รังสิต
100.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย



ขอบ คุณข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการ

8 อาหารย่อยยากสุด ๆ


1.น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม

เครื่อง ดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง กระตุ้นเซลล์ประสาทให้รู้สึกอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น จนรู้สึกคล้ายกรดไหลย้อน (แต่ความจริงก็แค่ระคายเคือง) แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น สมมติว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แต่ดื่มน้ำส้มไปแก้วใหญ่ ๆ ตอนเช้า กระเพาะอาหารที่เต็มไปด้วยกรดอยู่แล้วก็จะได้รับ กรดเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้คุณปวดกระเพาะได้ ส่วนคนที่ชอบน้ำมะนาวแต่ใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดเยอะ ๆ ก็ต้องระวังท้องร่วงด้วยนะ

2.ช็อกโกแลต

ส่วน ใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก อย่างราวนี่หนึ่งชิ้นอาจเป็นของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดี แต่บราวนี่สามชิ้นหรือช็อกโกแลต ฟองดูนั้นอาจมากไปนิดนึง หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้


3.บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ

จริง อยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหารสารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมาก ๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือ แม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว

4.มันบดและไอศกรีม

หน้า ตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะ ๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่น ๆ ไงคะ

5.นักเก็ตไก่

ทุก ครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็น ของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา ยิ่งถ้าคุณมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย ของทอดมัน ๆ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คุณคลื่นเหียน อาเจียน ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบนักเก็ตจริง ๆ ลองหันมาอบนักเก็ตจะดีกว่าทอด แต่ถ้าจะให้ดีก็ใช้เนื้ออกไก่คลุกแป้งทำดีกว่าซื้อนักเก็ตแช่แข็งมาทอดค่ะ

6.หัวหอมดิบ

หัว หอมและเพื่อนร่วมก๊วนอย่างกระเทียม ต้นหอม และ Shallot นั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง จริงอยู่ที่หัวหอมที่ผ่านความร้อน แล้วอาจมีสารดังกล่าวน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันความร้อนก็จะสลายสารอาหาร ทำให้คุณค่าของหัวหอมลดลง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า

7.ถั่ว

เป็นที่ทราบกันดี กว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด ดังนั้น ก่อนกินถั่วก็ให้ผ่านความร้อนนาน ๆ หรือไม่ก็กินบ่อย ๆ จะได้มีเอนไซม์เตรียมไว้ย่อยถั่วค่ะ

8.หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล

Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ ๆ

80เรื่อง"พ่อหลวง"ที่คุณ(อาจ)ยังไม่ เคยรู้


เมื่อทรงพระเยาว์

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำ คลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระ นาม”ภูมิพล”ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรง มีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมา แตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H Bhummibol Mahidol”หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรง เรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า”แม่”
8.สมัยทรงพระ เยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยง สัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยง สมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า”บ๊อบบี้”
12.ทรงฉลองพระ เนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้น บ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว
14.ระหว่าง ประทับอยู่ ส วิตเซอร์แลนด์ โดยนะหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษษฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก”การให้ ”โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า”กระป๋องคนจน”หากทรงนำเงินไปทำ กิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก”เก็บภาษี”หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำ อะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า”ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วง เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

พระอัจฉริยภาพ


19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก”การเล่น”สมัยพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จ ย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
21.ทรง เครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ บเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสน พระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษ า ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ”แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง”เราสู้”
26.รู้ ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. - - - -
28.นกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
29.ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่อง”นายอินทร์”และ”ติโต” ทรงเขียนด้วยบายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
30.ทรง เล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น”กีฬาซีเกมส์”)ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
31.ครั้ง หนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ ว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536
33.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิง น้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว
34.องค์การสห ประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

เรื่อง ส่วนพระองค์

35.พระนามเต็มของ ในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36.ร ักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37.ทรง หมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
38.หลังอภิเษกสมรส ทรง”ฮันนีมูน”ที่หัวหิน
39.ทรง ผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
40.ระหว่าง ทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
44.พลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
45.วันที่ ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง

46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถาน ต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการ โรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงม ีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50.ทรง ศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศ ที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51.โครงการ ส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
52.เวลา มีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53.ม.ร .ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
54.ทรงนึก ถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด

55.อาหาร ทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56.ผัก ที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
61.ทรง ฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่ ?

66.ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
67.ทรงวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
68.อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”
69.ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
70.ครั้ง หนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”
71.ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
72.หัวใจทรง เต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
73.รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
74.ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
75.ในหลวงเริ่มพระราชทาน ปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.24 93 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
76.ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
77.สี ประจำพระองค์คือ สีเหลือง
78.นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
79 - - - -
80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน