วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

===> มารู้จักกับเกาะบริติช เวอร์จินกัน <===


อ่านท่านครับ ขณะนี้มีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หลายฉบับส่งมาถึงนิติภูมิ บอกว่าเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ฟังนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ฟังแล้วไม่เข้าใจ ขอให้คนที่มียศแค่ร้อยตำรวจเอกอย่างนิติภูมิช่วยอธิบายขยายความซํ้าหน่อย ขอเรียนรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ British Virgin Island เป็นหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน มีเกาะน้อยใหญ่รวมกันได้ประมาณ 50 เกาะ มีเนื้อที่รวมกันทั้งหมดได้เพียง 155 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ขนาดเท่ากับอำเภอขนาดเล็กของไทย เพียงซักอำเภอเดียวเท่านั้นเอง ประชากรทั้งหมู่เกาะมีอยู่หร็อมแหร็มประมาณ 21,000 คน
ในบรรดา 50 กว่าเกาะที่ว่านี่ เกาะที่สำคัญที่สุดคือ เกาะทอร์โทลา เพราะผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ แถมเมืองหลวงคือ กรุงโรดทาวน์ ก็ตั้งอยู่บนเกาะทอร์โทลานี่ด้วย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าเกาะนี้อยู่ตรงไหนของทะเลแคริบเบียน ก็ขอให้ท่านไปตั้งหลักที่สาธารณรัฐเปอร์โตริโก หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน อยู่ห่างจากเปอร์โตริโกไปทางตะวันออกประมาณ 95 กิโลเมตร ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียกหรือเขียนชื่อเต็มของเกาะนี้ เพราะยาวเกินไป ส่วนใหญ่จะเรียกเพียงย่อๆ ว่า BVI และถ้าถามว่า BVI นี่มีสถานะเป็นอย่างไร นิติภูมิก็ขอตอบว่า เป็นเขตปกครองตนเองในอาณัติของอังกฤษ ผู้คนทั้งหมู่เกาะ 21,000 คน นี่มีอาชีพทางการประมงและการท่องเที่ยว เดิมจึงเป็นดินแดนที่ยากจนข้นแค้นพอสมควร คณะปกครอง BVI จึงคิดหาสตางค์จากนักธุรกิจที่ต้องการเลี่ยงการปฏิบัติยุ่งยากและปรารถนาเลี่ยงภาษี ไม่อยากจะเสียภาษีโน่นภาษีนี่ให้กับประเทศแม่ หรือประเทศที่ตัวเองทำธุรกิจอยู่ เขียนง่ายๆก็คือ เกาะนี่เหมาะสำหรับพวกที่หากินอยู่ในประเทศหนึ่ง แต่ไม่อยากจะเสียภาษีให้ประเทศนั้น ผู้บริหารเกาะจนปัญญาหาเงินเข้าดินแดนตัวเองเหมือนดินแดนอื่น จึงหาเงินจากพวกที่มีแนวความคิดทางโกง ทางหลบๆ เลี่ยงๆ ทั้งหลาย เมื่อ พ.ศ.2527 ผู้บริหารเกาะหัวใสจึงตรากฎหมาย International Business Companies Ordinance หรือ IBC ขึ้น เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของชาวต่างชาติ จะว่าไปแล้ว บริษัททั้งหลายที่แห่ไปจดทะเบียนที่นี่ ก็เสมือนเป็นบริษัทหลอกๆ เพราะไม่จำเป็นต้องมีพนักงานก็ตั้งได้ การประชุมผู้ถือหุ้นหรือการประชุมกรรมการบริษัทนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องประชุมที่บริติช เวอร์จิน ก็ได้ ท่านพอใจจะประชุมที่บนหลังคาหอพักซอยวัดเทพลีลา หรือจะไปประชุมในใต้ถุนที่ว่าการอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ท่านทำได้ทั้งนั้น ถูกต้องตามกฎหมายของหมู่เกาะบ้าที่ว่านี่ทั้งหมด การประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตากัน ไม่จำเป็นต้องมีลายเซ็นที่ลากปากกาให้เห็นกันต่อหน้าต่อตาก็ได้ บางคนขี้เกียจเดินทางไปประชุม เพียงแต่ยกหูโทรศัพท์แล้วพ่นเสียงใส่ลงไปในกระบอกฮัลโหล ก็ยังถูกกฎหมาย หรือท่านจะประชุมกันทางอินเตอร์เน็ตก็ยังถือว่าถูกต้องตามกฎหมายอีก การออกเสียงลงคะแนนของผู้ถือหุ้น ท่านจะออกเสียงเอง หรือท่านจะทำการผ่านผู้รับมอบอำนาจก็ได้ไม่มีปัญหา ท่านไม่มีเวลาประชุมใหญ่สามัญประจำปี ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องประชุม ก็ยังถูกต้องตามกฎหมาย อยากทำอะไร หรือไม่อยากจะทำอะไร ย่อมได้ทั้งนั้นในการตั้งบริษัทที่ BVI คนที่ชอบเลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่ ก็จึงชอบใช้เกาะนี้เป็นแหล่งเพาะตัว.

===> มารู้จักกับน้ำมันกันดีกว่า <===


น้ำมันมาจากใต้ดิน ซึ่ง น้ำมัน ถ่านหิน หินน้ำมัน ทรายน้ำมัน จริงๆแล้ว ก็คือซากสัตว์และซากพืชที่ตายมานานนับเป็นล้านปี และทับถมสะสมกันจนจมอยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า ฟอสซิล ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติจนซากสัตว์และซากพืช หรือฟอสซิลนั้น กลายมาเป็นน้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ เราจึงเรียกเชื้อเพลิงประเภทนี้ว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล
ในทางวิทยาศาสตร์ เรารู้กันดีว่าต้นพืชและสัตว์รวมทั้งคน ประกอบด้วยเซลล์เล็กๆ มากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก เวลาซากสัตว์และซากพืชทับถมและเปลี่ยนรูปเป็นน้ำมัน หรือก๊าซ หรือถ่านหิน ฯลฯ พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอน (คือ ธาตุไฮโดรเจนรวมกับธาตุคาร์บอน) เป็นส่วนใหญ่ และไฮโดรคาร์บอนนี้แหละเมื่อนำมาเผาจะให้พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน เพียงแต่น้ำมันความร้อนมากกว่าฟืน นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสอดแทรกอื่นๆ บ้าง เช่น กำมะถัน (เวลาเอามาเผาจะรวมกับออกซิเจน ได้เป็นก๊าซพิษของกำมะถันไดออกไซด์)
โลกเราใช้เวลานานมาก (เป็นล้านปี) กว่าจะผลิตน้ำมันได้แต่ละลิตร แต่เราเอามาเติมรถยนต์ วิ่งไม่กี่นาทีก็หมดแล้ว เราจึงควรใส่ใจและคิดสักนิด เมื่อจะขับรถ เปิดไฟเปิดแอร์ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำ แต่ถ้าจำเป็นก็ลดการใช้ลงบ้าง จะช่วยให้เรามีเชื้อเพลิงใช้ไปได้อีกนานๆ
การกลั่นน้ำมันดิบ
เรารู้แล้วว่าน้ำมันดิบมาจากใต้ดิน มีลักษณะเป็นของเหลวสีดำๆ จึงสูบขึ้นมาได้ มีสารไฮโดรคาร์บอนอยู่เยอะ จึงเผาแล้วได้พลังงานสูง ถ้ามีสิ่งเจือปนเยอะ เช่น มีกำมะถันเยอะ เผาแล้วจะเกิดก๊าซพิษมาก ก็ถือว่าเป็นน้ำมันดิบเกรดต่ำ น้ำมันดิบที่มีกำมะถันเจือปนน้อยถือว่าเป็นน้ำมันดี จึงมีราคาแพง น้ำมันดิบนี้จะเอามาใช้โดยตรงไม่ได้ ต้องเอาไปกลั่นที่โรงกลั่นน้ำมัน ทำเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ เอาไว้เติม รถยนต์ รถดีเซล เรือ รถไฟ หรือเครื่องบิน น้ำมันเหล่านี้มีสมบัติต่างๆกันไปและราคาก็ไม่เท่ากัน
น้ำมันดิบเมื่อเอามากลั่นจะได้h ก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจี (liquefied petroleum gas) : ใช้สำหรับหุงต้มในครัว และใช้กับรถบางคัน รวมทั้งในโรงงานบางชนิด h น้ำมันเบนซิน : รถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันชนิดนี้ h น้ำมันก๊าด : ใช้จุดตะเกียงให้แสงสว่างและใช้ในโรงงาน h น้ำมันเครื่องบิน : ใช้กับเครื่องบินใบพัด เครื่องบินไอพ่น h น้ำมันดีเซล(โซล่า) : รถเมล์ รถไฟ รถบรรทุก รถกระบะส่วนใหญ่ใช้น้ำมันชนิดนี้ h น้ำมันเตา : ใช้สำหรับเตาเผาหรือต้มน้ำในหม้อไอน้ำ (บอยเลอร์) หรือเอามาปั่นไฟหรือใช้กับเรือ h ยางมะตอย : ส่วนใหญ่ใช้ทำถนน นอกนั้นใช้เคลือบท่อเคลือบโลหะเพื่อกันสนิม
มารู้จักกับ "ค่าออกเทน" ของน้ำมันรถยนต์กัน
คือ ค่าความต้านทานการจุดระเบิดน้ำมันเบนซิน ก่อนเวลากำหนดของเครื่องยนต์หรือ ตัวเลขแสดงความต้านทานการน็อคของเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ ถ้าค่าออกเทนสูง จะมีความต้านทานการน็อคของเครื่องยนต์สูง ไม่เกี่ยวกับความแรงของเครื่องยนต์ การออกแบบเครื่องยนต์เบนซิน ของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน จึงต้องใช้น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทนแตกต่างกัน การเลือกใช้น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทน ที่เหมาะสมกับความต้องการ ของเครื่องยนต์ ตามที่ผู้ผลิตแต่ละรายกำหนดไว้ เป็นค่าออกเทน ที่ทำให้เครื่องยนต์ มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งคุณสามารถดูได้ จากคู่มือประจำรถของคุณ หรือบริเวณฝาปิดถังน้ำมันด้านในรถคุณ ส่วนเรื่องความแรง ของเครื่องยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษา เครื่องยนต์ของคุณเอง
มารู้จักกับ "แก๊สโซฮอล์ 95" ของน้ำมันรถยนต์กัน
มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ดังนั้นนอกจากจะคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 95 ทั่วไป แต่มีราคาถูกกว่า 1.50 บาทต่อลิตรแล้ว ยังเป็นพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยแก๊สโซฮอล์ 95 มีไฮโดรคาร์บอน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเบนซิน 95 ทั่วไป ช่วยลดควันดำ สารอะโรเมติกส์ สารเบนซีน และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย จึงนับได้ว่า แก๊สโซฮอล์ 95 เป็นเบนซินที่สะอาด ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โครงการแก๊สโซฮอล์ เกิดขึ้นในปี 2528 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทย อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน และปัญหาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ จึงทรงมีพระราชดำริให้ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาศึกษา ถึงการนำอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล) ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และได้ทดลองใช้กับรถยนต์ในโครงการส่วนพระองค์ตั้งแต่ปี 2537 โดยทดสอบกับเครื่องยนต์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ผลดีทั้งในห้องปฏิบัติการและท้องถนน

อุบายการเลิกเหล้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


" อุบายการเลิกเหล้า " ......โดยพระคุณเจ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๕ : อุบายเลิกเหล้า โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา "การทำมาหาเลี้ยงชีพไม่รู้จักหา ไม่รู้จักทำ มีแต่กินท่าเดียว มีสตางค์มาก็วิ่งเข้าร้านขายเหล้า ลงผลสุดท้าย เราก็จะลำบาก เรายังน้อยยังหนุ่ม รีบพยายามที่จะพิจารณาตัว แล้วรีบเลิกละมัน เสีย นึกถึงตอนแก่นั่นซิ ตอนแก่แล้ว เรามัวแต่เมา ไม่ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ งานการไม่ ทำมีแต่เมา มีแต่กิน เมื่อแก่ลงมา เราหาอยู่หากินไม่ได้ พ่อแม่ล้มหายตายจากไปหมด เราจะไป พึ่งพาอาศัยใคร ถ้าเราไม่ดี พี่น้องก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ พยายามนึกถึงเรื่องนี้ให้มากๆ ประเดี๋ยว ใจมันก็ค่อยๆแข็ง ขึ้น มันก็ค่อยๆเลิกไปเอง เรากำลังหนุ่มแน่น กำลังจะเจริญ พยายามทำใจให้ แข็งเสีย วิธีฝึกตน ก็พยายาม ทีแรกนี่ พยายามว่างๆ ก็ไปจำศีลอยู่กับพระกับเจ้าเสีย ทีละอาทิตย์ สอง อาทิตย์ มันจะค่อยห่างไปๆ ทางโปรดของหลวงพ่อก็มีอย่างนี้แหละ ให้พยายามทำใจให้แข็ง อดทน ใครมาหาหลวงพ่อ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างนี้ ใครเอาจริง เขาก็เลิกได้ อยู่ที่ใจ... ไม่มีอะไร แก้ อยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเห็นความชั่วความไม่ดีของการกินเหล้า เวลาปกติ ที่เราสร่างเมาแล้ว ก็ ค่อยๆพิจารณา ดูโทษของมัน พยายามรีบๆ ปรับปรุงตัว อดมันเสีย ตั้งใจให้มันเด็ดขาด แล้ว ก็อย่าไปสบถสาบาน ตั้งใจให้มันแข็ง ให้นึกถึงใจพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ที่เขาก็เป็นห่วง เป็นใย เรา กลัวเราไม่ได้ดิบได้ดี นึกถึงความหวังดีของพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย"

ชมคือธรรมดา..ถูกด่าก็ไม่เลว

โดย ท่าน ว.วชิรเมธีหลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" กันมาบ้างแล้ว คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิตหรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิตผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า "เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำเธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัยเธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิกเธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ"ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมากพระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวกวิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ แต่พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมากคำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม คำด่ามีค่ามากอย่างไร ? (๑) คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ (๒) คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ (๓) คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง (๔) คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัว เหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทราย ขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง (๕) คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป (๖) คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน (๗) คำด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ (๘) คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน ถ้า ธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้ (๙) คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์) (๑๐) คำด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด
บอร์ดพลังจิต

♥ ตำนานพญานาค ♥


ตำนานพญานาคนาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาลนาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้าตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กันต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงามความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติพญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมายพญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้นพญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิมพญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วันพญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆจะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี

สุขกาย สุขใจ = สุขในองค์กร


วันนี้เรามีเทคนิคการดูแลสุขภาพ มาให้องค์กรต่างๆ ได้นำไปใช้ในการสร้างสุขให้บุคลากรในองค์กร ด้วยรู้สึกว่าในช่วงนี้ข่าวคราวความทุกข์ของคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม คงทำให้คนจำนวนไม่น้อยทำงานอย่างไม่มีความสุขและเกิดภาวะเครียด จึงเห็นว่าหากคนในองค์กร โดยเฉพาะฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหาร ได้มีการนำเทคนิคการดูแลร่างกายอย่างง่ายๆในที่ทำงานไปส่งเสริมและปรับใช้ในองค์กรก็จะทำให้พนักงานองค์กรมีความผ่อนคลาย และมีความสุขภาพที่ดีขึ้น

จะว่าไปแล้วก็ตรงกับ เทคนิคในการสร้างสุข 8 ประการ ที่แผนงานสุขภาวะองค์กรภาคเอกชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้ให้ไว้คือ happy boby และ Happy Relax ที่เชื่อว่า หากคนซึ่งเป็นพนักงานในองค์กรมีร่างกายแข็งแรงทั้งกายและจิตรใจ สมองปลอดโปร่ง รู้จักวิธีผ่อนคลาย ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข แม้ว่างานชิ้นนั้นจะยากเพียงใดก็ตาม ฉบับนี้จึงขอนำเทคนิคการเพิ่มพลังสมองและการดูแลสุขภาพสัก 3 ท่า เท่าที่พื้นที่จะอำนวยมาฝากกัน

เทคนิคการเพิ่มพลังสมอง

1. ท่าปุ่มสมอง

เป็นท่ากระตั้นระบบไหลเวียนของเลือดโดยเฉพาะเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอ ช่วยให้สมองตื่นตัว เพิ่มสมาธิ และการรับรู้โดยวางมือข้างหนึ่ง แบไว้ตรงสะดือ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งคลำหาร่องบุ๋มที่อยู่ใต้กระดูกไหปลาร้ากับกระดูกหน้าอกด้านขาว จากนั้นนวดบริเวณร่องบุ๋มเบาๆประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที พร้อมกวาดสายตาจากซ้ายมาขาว สลับไปมา (สลับมือกันทำซ้ำอีกข้างหนึ่ง)

2. ท่าเคลื่อนไหวสลับข้าง

เป็นท่าที่จะช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น การประสานการทำงานของร่างกายทั้งซีกซ้ายและขาวดีขึ้น เพิ่มพัฒนาการด้านการได้ยิน การหายใจดีขึ้น และมีความอกทนได้มากขึ้น โดยก่อนทำงานสามารถส่งเสริมให้พนักงานทำท่านี้ที่ข้างโต๊ะทำงาน โดยเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ยกเข่าให้สูง ยกแขนและขาข้างตรงกันข้าม เคลื่อนไหวสลับไปมาอย่างน้อย 10 ครั้ง

3. ท่าเลขแปดหลังยาวสำหรับการมอง

เป็นท่าพัฒนาการเคลื่อนไหวของดวงตาเพื่อให้เกิดการประสานงานของมือและตา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ มีความสงบเยือกเย็น มีสมาธิ เหมาะสำหรับพนักงานที่ทำงานศิลปะ ใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชี โดยให้พนักงานชูหัวแม่มือข้างใดข้างหนึ่งขึ้นไว้กลางระดับสายตา ระยะห่างประมาณช่วงศอก ตั้งศีรษะนิ่ง ไม่เกร็ง ตามองตามนิ้วที่เคลื่อนตลอด โดยลากนิ้วหัวแม่มือขึ้นไปด้านบนของขอบเขตสายตา และลากทวนเข็มนาฬิกากลับมาด้านซ้าย จนกระทั่งนิ้ววนมาถึงจุดต่ำสุด จากนั้นหมุนย้อยเข็มผ่านจุดกึ่งกลางไปทางขวาทำทีละข้างข้างละ 3 ครั้ง

นอกจากท่าเพิ่มพลังสมองขั้นต้น 3 ท่า นี้แล้ว ควรส่งเสริมให้พนักงานดูแลสุขภาพกายและใจด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวัน คือ หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟิน การเปิดรับเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน เช่น การกินอาหารร้านใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ เพราะจะทำให้สมองหลั่งสารเอนโดรฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ การรู้จักให้อภัยเพื่อลดภาวะของสมอง เพราะการไม่ให้อภัยคนอื่น โกรธตัวเอง ขี้โมโห ทำให้เปลืองพลังงานสมองเป็นอย่างยิ่ง

การฝึกพูดดีๆ กับตัวเอง เพื่อเป็นการส่งผ่านความสุขให้ตนเองการฝึกหายใจให้ลึก เพื่อให้สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและถูกต้องเพราะในสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 2 ใน 3 ส่วน หากดื่มน้ำน้อยเกินไปเซลล์สมองจะขาดน้ำ การสื่อสารส่งถ่ายข้อมูลระหว่างเซลล์จะช้าลงทำให้คิดอะไรไม่ออก หรือคิดช้าตามไปด้วย

ระบบย่อยดีด้วยการนวด



สำหรับผู้อ่านที่มักมีปัญหาระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ‘มุมสุขภาพ-ยืดเส้นยืดสาย’ มีเคล็ดลับแก้ปมสุขภาพดังกล่าวมาบอก เป็นวิธีง่าย ๆ แค่นวดบริเวณท้องด้วยมือของคุณเอง ในกรณีที่มีอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีกรด มีลมเกิน คับแน่นอยู่ในช่องท้อง ให้นอนหงาย นวดวนทั่วท้อง นวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าท้องเสีย ท้องเดิน ให้ปฏิบัติในทางตรงกันข้าม คือ นวดวนท้องในแนวทวนเข็มนาฬิกา โดยทั้งสองกรณีให้ใช้จังหวะในการนวดวนที่ช้า-เร็ว การกลงน้ำหนักมือพอประมาณให้รู้สึกสบาย เพราะหากนวดเร็ว หรือลงน้ำหนักแรงจะยิ่งทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้ ทว่า มีข้อควรระวังอยู่ไม่มาก คือ อย่านวดท้องหลังการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเสร็จใหม่ ๆ เพราะอาจทำให้จุก และไม่ควรนวดหากเพิ่งผ่านการผ่าตัดบริเวณท้อง อย่างไรก็ตาม การนวดท้องเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ หากต้องการให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องรับประทานอาหารที่สะอาด มีกากใยสูง ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10-12 แก้ว รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อและเป็นเวลา รวมทั้งฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สังคมออนไลน์ ภัยอินเตอร์เน็ต



เด็กและเยาวชนกว่า 53.2 เปอร์เซ็นต์ เคยดูสื่อลามก!!
สังคมออนไลน์...เราต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร!!
โอกาสแบบนี้ช่างเหมาะเจาะเหลือเกินที่ “อวิชชา” ทั้งหลายพร้อมจะมัวเมาเยาวชนไทยที่นั่งอยู่ด้านหน้าจอคอมพิวเตอร์
ผลพวงที่เกี่ยวข้องกับ “เซ็กซ์” หรือพูดให้เพราะคือ “การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” นับเป็นปัญหาหลักอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น
โดยมีต้นตอที่ควบคุมได้ยากมาจาก “อินเตอร์เน็ต”
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพล เคยจัดทำผลสำรวจ “พฤติกรรมและผลกระทบของการใช้อินเทอร์เน็ตจากกลุ่มเยาวชน” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีเด็กและเยาวชนกว่า 53.2 เปอร์เซ็นต์ เคยดูสื่อลามก!!
ขณะที่คำว่า “แอบถ่าย” ถูกค้นหามากกว่า 4 ล้านครั้งต่อเดือนในช่วงปีเดียวกัน...
นอกจากนี้ ยังมีอีกสารพัดช่องทางที่ผู้ใช้บริการ ซึ่งอาจเป็น “ลูกหลาน” ของใครบางคนขณะนี้ ซึ่งจะสามารถเข้าถึง Sex ที่แปลความหมายไปถึง “กิจกามทางเพศ” อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ในอนาคต
ในฐานะสื่อที่ดี ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยวิธีการไปถึงจุดนั้นบนหน้าหนังสือพิมพ์...
แต่ถึงอย่างไรในหน้า “อินเตอร์เน็ต” บนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านของแต่ละคนก็จะยังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ดี
เช่นนั้นแล้วคงไม่ต่างอะไรกับวิธีการจับโจรผู้ร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีการติดตามเทคนิคกลวิธีใหม่ๆ ของคนร้ายอย่างต่อเนื่อง
“โลกออนไลน์” หมุนไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว นอกจากความต่อเนื่องแล้ว ผู้ปกครองทั้งหลายต้องเท่าทันให้ได้ สู้...สู้...!!

ขอบคุณข่าวจากสสส.

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เอเชียนเกมส์ 2010


เอเชียนเกมส์ 2010 เป็นการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 จัดขึ้นที่นครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 12 ถึง 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 นับเป็นนครแห่งที่สองของจีน ที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันรายการนี้ หลังจากเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยในการแข่งขันครั้งนี้มี 45 ประเทศเข้าร่วม กีฬาที่จัดแข่งขัน 42 ชนิด รวมจำนวนเหรียญทอง 476 เหรียญ ทั้งนี้ ยังมีเมืองใกล้เคียงอีกสามแห่ง ร่วมเป็นเจ้าภาพกับกว่างโจวด้วยคือ เมืองตงก่วน โฝซาน และซั่นเหว่ย นอกจากนั้น ในเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ ยังมีการเริ่มทดลองบังคับใช้กฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 17 ในปี พ.ศ. 2557 ที่เมืองอินชอน ของสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) อีกด้วย
การเสนอชื่อเป็นเมืองเจ้าภาพเมื่อวันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 มีพิธีประกาศผลการเสนอชื่อ เป็นเมืองเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 ที่กรุงโดฮา ของรัฐกาตาร์ โดยสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย มีมติมอบสิทธิการเป็นเจ้าภาพดังกล่าวแก่นครกว่างโจวด้วยเหตุที่ก่อนหน้านั้น เมืองที่เคยเสนอชื่อเป็นเจ้าภาพ ต่างก็ขอถอนตัวไปด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยกรุงโซลของเกาหลีใต้ขอถอนตัว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า เมืองของเกาหลีใต้ เพิ่งเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ครั้งหลังสุด ก่อนหน้า พ.ศ. 2553 เพียงแปดปีหรือสองครั้งเท่านั้น กล่าวคือ เมืองปูซานเคยเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ เมื่อปี พ.ศ. 2545 มาแล้วส่วนกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ถอนตัวเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติบังคับ เนื่องจากเห็นว่าค่าใช้จ่ายสำหรับจัดการแข่งขันสูงเกินไป เป็นผลให้มีเพียงนครกว่างโจวเท่านั้น ซึ่งยังคงการเสนอชื่อครั้งนี้
สัญลักษณ์ประจำการแข่งขันสัญลักษณ์ประจำการแข่งขัน เป็นภาพลายเส้นของ
อนุสาวรีย์แพะห้าตัว ซึ่งเป็นตำนานของการสร้างนครกว่างโจว ส่วนตุ๊กตาสัญลักษณ์ เป็นแพะห้าตัว มีชื่อว่า อาเซียง อาเหอ อาลู่ อาอี้ และ เล่อหยางหยาง โดยเมื่อนำชื่อทั้งห้ามารวมกัน จะได้คำว่า (เซียงเหอลู่อี้เล่อหยางหยาง) ซึ่งแปลว่า ประสานใจให้พรสำเร็จสุขศานต์
พิธีเปิดการแข่งขัน
พิธีเปิดการแข่งขันกีฬ่าเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 จัดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 บนเกาะจำลองไห่ซินซา ที่สร้างขึ้นกลางแม่น้ำจูเจียง ซึ่งแปลว่าไข่มุก ในเขตเทียนเหอของนครกว่างโจว ภายใต้แนวความคิดหลักคือ "แผ่นดินและทะเล" นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเอเชียนเกมส์ ที่การจัดพิธีเปิดการแข่งขันมิได้เกิดขึ้นในสนามกีฬา การแสดงทั้งหมดในพิธีเปิดกำกับโดย เฉิน เว่ยหยา ผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงในพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2008[ต้องการอ้างอิง] ในพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ฌักส์ ร็อกก์ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล, ชีค อะห์เหม็ด อัล-ฟะฮัด อัล-ซะบะฮ์ ประธานสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย เป็นต้นพิธีเปิดเริ่มจากกระบวนเรือจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมแข่งขัน นำนักกีฬาเข้าสู่บริเวณสถานที่จัดแสดง สำหรับเรือของประเทศไทย มีโขนเรือเป็นรูปครุฑ และมีพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามอยู่กลางลำเรือ ส่วนในพื้นที่แสดง มีการติดตั้งจอภาพผลึกเหลว (แอลซีดี) ลักษณะคล้ายใบเรือสำเภาจีน จำนวน 8 จอ โดยพิธีอย่างเป้นทางการเริ่มในเวลา 20.00 น. (8 นาฬิกากลางคืน) ตามเวลาท้องถิ่น โดยการจุดพลุที่หอคอยกวางตุ้ง (หอส่งสัญญาณโทรทัศน์และทัศนียแห่งกว่างโจว) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงอันดับเจ็ดของโลก จากนั้นจึงเป็นการเชิญธงชาติจีนขึ้นสู่ยอดเสา ต่อมาจึงเป็นการแสดงในพิธีเปิด 4 ชุด ซึ่งสื่อให้เห็นว่านครกว่างโจวเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจีน การแสดงที่สำคัญคือ การขับร้องเพลงโดย จาง จื่ออี๋ นักร้องและนักแสดงชาวจีน, หลาง หลาง นักเปียโนชาวจีน, คิม ฮยอนจุง นักร้องชาวเกาหลี เป็นต้น และการแสดงกายกรรม 4 มิติ ร่วมกับภาพบนจอแอลซีดีทั้งแปด โดยมีนักแสดงกายกรรมจำนวน 180 คนโยงกับลวดสลิง และดึงขึ้นไปสูงจากพื้น 80 เมตร ซึ่งใช้ผู้เชิดจำนวนกว่า 1,000 คนต่อมาเป็นช่วงประกอบกระถางคบเพลิง โดยนำน้ำจากแหล่งธรรมชาติของทั้ง 45 ประเทศ มาเทลงในกระถางคบเพลิง พร้อมการแสดงที่ผสมผสานเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศในเอเชีย โดยแบ่งตามภูมิภาค ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียกลางตามลำดับ ในช่วงสุดท้ายของการแสดงในพิธีเปิด มีการขับร้องเพลงโดยนักร้องจากจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ นักแสดงจากทุกชุดได้ออกมาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเสาทั้งสี่ได้ยกกระถางคบเพลิงสูงจากพื้น เมื่อการแสดงจบลงได้มีการแสดงสกีผาดโผนเป็นการคั่นเวลาในการปรับพื้นที่แสดงต่อไปจากนั้นเป็นการเดินขบวนของคณะนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆ ตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ โดยนักกีฬาจะเดินออกมาจากส่วนกลางด้านหลังของพื้นที่จัดแสดง เช่นเดียวกับพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ที่กรุงโดฮา นำโดยหญิงสาวถือป้ายชื่อประเทศที่มีส่วนบนโปร่งใส แสดงชื่อประเทศเป็นอักษรจีนและอังกฤษตามลำดับ ส่วนล่างเป็นภาพสถานที่สำคัญของประเทศนั้นๆ พร้อมทั้งมีการบรรเลงเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติเมื่อนักกีฬาเดินถึงจุดเลี้ยวด้านหน้าประธาน และจอแอลอีดีจะฉายภาพธงชาติพร้อมสถานที่สำคัญของประเทศนั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ ขบวนของประเทศไทย เข้าสู่สถานที่จัดแสดงเป็นลำดับที่ 39 โดยป้ายส่วนล่างเป็นรูปพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม และพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเจ้าภาพต้อนรับด้วยการบรรเลงเพลง รำวงลอยกระทง และมี ดนัย อุดมโชค นักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งของทีมชาติไทย เป็นผู้เชิญธงชาติไทยนำขบวน ส่วนประเทศจีนเจ้าภาพนั้น ป้ายส่วนล่างเป็นรูปอนุสาวรีย์แพะ หอฟ้าเทียนถาน และศาลาประเทศจีนในงานเอกซ์โป 2010 ที่นครเซี่ยงไฮ้สำหรับพิธีจุดไฟในกระถางคบเพลิง โดยนักกีฬาทีมชาติจีนทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นผู้เชิญไฟ เริ่มจาก วู ซูจง นักพายเรือมังกร ซึ่งวิ่งขึ้นมาจากกลางลำน้ำจูเจียง, เฉิน ยี่ปิง นักยิมนาสติก, หง จื้อหัง อดีตนักฟุตบอล, เติ้ง หย่าผิง อดีตนักเทเบิลเทนนิสเหรียญทองโอลิมปิก 1992 และ 1996 ส่วนผู้จุดคบเพลิงคือ เหอ ซง นักกระโดดน้ำ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 โดยจุดประทัดยักษ์ที่เด็กชายหญิงชาวจีน นำมาวางใต้กระถางคบเพลิง ซึ่งยกสูงขึ้นกลางสถานที่จัดแสดง ให้ลูกไฟพุ่งขึ้นไปจุดคบเพลิง เป็นสัญญาณว่าการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
พิธีปิดการแข่งขัน
พิธีปิดการแข่งขัน กำหนดจัดในคืนวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ณ สถานที่เดียวกับพิธีเปิด โดยจะมีการส่งมอบธงการแข่งขันให้กับนายกเทศมนตรีนครอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เจ้าภาพครั้งต่อไป การแสดงทางวัฒนธรรมจากเกาหลีใต้ ซึ่งเรนนักร้องชื่อดังจะร่วมแสดงด้วย นอกจากนี้ในช่วงพิธีการ สืบศักดิ์ ผันสืบ นักเซปักตะกร้อทีมชาติไทยจะเป็นผู้เชิญธงชาติไทยเข้าสุ่สนามด้วย สืบศักดิ์จะเข้าร่วมเอเชี่ยนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะอำลาทีมชาติอย่างเป็นทางการในการแข่งขันซีเกมส์ในปี พ.ศ. 2555
ประเทศที่เข้าร่วม
กัมพูชา กาตาร์ เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน คูเวต จอร์แดน จีน ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย ติมอร์ตะวันออก เติร์กเมนิสถาน จีนไทเป ทาจิกิสถาน ไทย เนปาล บรูไน บังกลาเทศ บาห์เรน ปากีสถาน ปาเลสไตน์ พม่า ฟิลิปปินส์ ภูฏาน มองโกเลีย มัลดีฟส์ มาเก๊า มาเลเซีย เยเมน ลาว เลบานอน เวียดนาม ศรีลังกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย อิรัก อิหร่าน อุซเบกิสถาน โอมาน ฮ่องกง

แตกสามัคคีก็คือการแตกแยก (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


พึงระลึกอยู่เสมอว่า การขาดความสามัคคีก็คือการขาดกำลัง การแตกสามัคคีก็คือการแตกแยกกัน ซึ่งไม่ใช่ของดีทั้งมวล ความสามัคคีกันก็คือการรวมกำลังกัน อะไรก็ตามเมื่อยังรวมกันด้วยดีย่อมใช้ประโยชน์ได้ดี เมื่อเริ่มร้าวเริ่มแตก ประโยชน์ย่อมจะเริ่มลดลงตามๆ กัน เมื่อแตกแยกจากกันจริงๆ เช่นหม้อแตก ถ้วยแตก เป็นต้น ย่อมขาดประโยชน์ในการใช้สอยทันที ด้วยเหตุนี้ ความสามัคคีจึงมีพลังและคุณค่ามหาศาล ไม่มีอะไรจะมีกำลังเทียบเท่าได้ จึงขอได้โปรดตระหนักในความสามัคคีว่าเป็นรากฐานแห่งความมั่นคงทุกด้าน นับจากส่วนย่อยไปถึงส่วนใหญ่ มีความสามัคคีเป็นพลังยึดเหนี่ยวไว้ทั้งสิ้น ถ้าขาดความสามัคคีเพียงอย่างเดียว อะไรจะหนาแน่นเพียงใดย่อมสลายตัวลงได้อย่างไม่มีปัญหา จึงขอฝากธรรมสามัคคีไว้กับทุกท่านได้พากันเทิดทูนรักษา อย่าให้เสื่อมคลายสลายไปได้ ชะตาของทุกสิ่งทุกอย่าง มีชาติไทยของเราเป็นต้น จะยืนนานไปได้ก็ด้วยความสามัคคีแห่งคนในชาติเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เพราะเรื่องใหญ่ก็ได้แก่คนของชาติจะเป็นผู้รักษาเทิดทูนหรือทำลายมากกว่า จึงกรุณาระลึกข้อนี้ไว้ และช่วยกันเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความจงรักภักดีและความสามัคคีเถิด ชื่อว่าพวกเรารักษามหาคุณของชาติไว้ด้วยดี สิ่งที่ผู้หวังความเจริญมั่นคงจะยึดเป็นหลักปฏิบัติต่อกันนั้น ได้แก่กฎหมายข้อบังคับ ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม นี่เป็นหลักที่จะทำความสงบสุขให้แก่ส่วนรวมทั้งส่วนย่อยส่วนใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยหลักความถูกต้องดีงามเป็นเครื่องดำเนิน กฎหมายบ้านเมืองที่มีไว้ก็เพื่อรักษาหมู่ชนให้อยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็น ไม่ให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้น บ้านใดเมืองใดก็ตาม ถ้าไม่มีขอบเขต ไม่มีกฎหมายเป็นข้อบังคับไม่มีขื่อมีแป ไม่มีขนบธรรมเนียมอันดีงามเป็นเครื่องประพฤติปฏิบัติ บ้านเมืองนั้นจะเป็นบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขไปไม่ได้ ตรงข้ามจะมีแต่ความเดือดร้อนระส่ำระสาย มีแต่การฉกลักปล้นจี้ฆ่าฟันรันแทงชิงดีชิงเด่นกัน เป็นงานประจำแผ่นดินถิ่นมนุษย์ บ้านเมืองกว้างแคบเพียงไร ย่อมจะกลายเป็นกองเพลิงเผาผลาญกันโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่อยู่รวมกันจำต้องมีกฎข้อบังคับเป็นขื่อเป็นแป เพื่อเป็นหลักยึดและปฏิบัติตาม จะเว้นสิ่งดังกล่าวเสียมิได้
: หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

'พระปิดทวาร' สอนอะไร


ความสบายที่แท้จริงนั้น มันต้องเกิดจากจิตใจที่สบายจิตใจที่สงบ ซึ่งความจริงนั้นมันมีอยูู่่ตามธรรมชาติ แต่ว่าเราไม่ให้มันโผล่ออกมาได้ เพราะว่าเราเอาความวุ่นวายไปปิดมันเสีย เรานึกไปแต่เรื่องภายนอก นึกไปในเรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องสิ่งที่ถูกต้องทางกายประสาทอยู่ตลอดเวลา ความสงบไม่มีเวลาที่จะโผล่ออกมา ทีนี้เราลองปิดเสียบ้าง ลองปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปากเสียบ้าง เรียกว่าเป็นพระปิดทวารเสียบ้างพระเครื่องมีอยู่องค์หนึ่ง เขาเรียกว่า พระปิดทวารทั้งเก้า เขาทำรูปมีมือปิดตาปิดหูปิดจมูกปิดทวารหนักปิดทวารเบา ความจริงหนักกับเบาไม่ต้องปิดอะไรก็ได้มันไม่ยุ่งอะไร มันมีแต่เรื่องออก เรื่องเข้ามันไม่มีอย่างนั้น แต่ว่าทวารนี้แหละสำคัญคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายประสาท สิ่งนี้ควรปิดแล้วก็ปิดใจเสียด้วยเขาว่าพระปิดทวารใครๆ ก็อยากได้ เพราะถ้าได้องค์นี้แขวนคอแล้ว ยิงไม่เข้าแทงไม่เข้า อะไรก็ไม่เข้า นั่นเขาพูดเป็นภาษาชาวบ้านมากไปหน่อย หาว่าวัตถุอื่นไม่เข้าร่างกาย แต่ ความจริงนั้นที่เขาทำพระปิดทวารทั้งเก้าก็เพื่อจะสอนคนนั่นเอง เพื่อให้คนรู้จักปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปาก ปิดกาย ปิดใจ ไม่รับอารมณ์ต่างๆอารมณ์คือสิ่งที่จรเข้ามากระทบตา หู จมูก อันนี้มันของมาจากข้างนอก ไม่ใช่ของมีอยู่ข้างใน ทีนี้ท่านให้ปิดเสียอย่าไปมอง หรือมองก็ได้แต่มองด้วยปัญญา ฟังก็ได้แต่ฟังด้วยปัญญา ดมกลิ่นก็ดมด้วยปัญญา ลิ้มรสก็ลิ้มด้วยปัญญา ร่างกายจะไปแตะต้องสิ่งใด ก็แตะต้องด้วยปัญญา ที่ว่าด้วยปัญญาคือด้วยความรู้ รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้น เราไม่มองด้วยความหลง ไม่ฟังด้วยความหลง ไม่ดมกลิ่นลิ้มรสถูกต้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยความหลงใหลมัวเมา หรือด้วยความเพลิดเพลินเช่นเราไปดูหนังมักจะดูด้วยความเพลิดเพลิน ปล่อยใจไปตามภาพบนจอ บางทีหนังมันแสดงเศร้าโศกเราพลอยเศร้าโศกไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย ทำไมจึงร้องไห้ นี่แหละเขาเรียกว่า ปล่อยใจไปตามสิ่งนั้น ลืมไปว่านั่นเป็นละครเป็นลิเก เป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องเนื้อแท้ แต่ว่าการแสดงของคนเหล่านั้น เขาแสดงแนบเนียน ทำให้คนดูมองเห็นว่าเป็นความจริง แล้วก็นึกว่าเป็นเรื่อง จริง จิตใจก็คล้อยตามเรื่องนั้นไปด้วย เวลาเรื่องน่าโกรธ ก็โกรธ เวลาน่าเกลียดก็เกลียด เรื่องน่ารักน่าเศร้าใจก็รักก็เศร้าใจ ร้องไห้ร้องห่ม นี่เรียกว่าไม่ดูด้วยปัญญา ไม่ได้ใช้ปัญญาว่านี่มันละคร นี่มันลิเก หรือว่าเป็นเรื่องหนัง ที่เขาทำเป็นภาพขึ้น คนเหล่านั้นมันไม่ได้โกรธไม่ได้เคืองกัน แต่เราลืมไปเพราะเราเพลิดไปกับสิ่งเหล่านั้น เมื่อเพลินไปก็นึกว่ามันเป็นความจริง เลยไปโกรธกับเขาด้วย ไปรักกับเขาด้วย ไปเศร้าโศกเสียใจกับเขาด้วย อย่างนี้เรียกว่ามองด้วยไม่มีปัญญา ไม่มีสติกำกับการมองพระพุทธเจ้าสอนว่าให้มองอะไรด้วยปัญญา ฟังอะไรก็ฟังด้วยปัญญา ไปได้กลิ่นอะไรก็ต้องใช้ปัญญา ไปลิ้มรสอะไรก็ต้องปัญญา ไปจับต้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้า ก็ต้องใช้ปัญญา เป็นเครื่องพิจารณาอยู่ว่า สิ่งนี้คืออะไร มันมาจากอะไร มันให้ทุกข์ให้โทษให้ประโยชน์อย่างไร เราควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ในรูปใด ให้พิจารณาตามไปด้วย เรียกว่าดูไป มีปัญญาติดตามไป มีสติติดตามไป สิ่งนั้นจะไม่ครอบงำเรา จะไม่ทำเราให้ตื่นเต้น หรือว่าให้เสียอกเสียใจ หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ให้ขึ้นไม่ให้ลงตามอารมณ์ที่มากระทบจิตใจเราที่คงที่คนที่มีสภาพจิตใจคงที่อย่างนี้ เหมาะที่จะไปสู่สมรภูมิชีวิต คือจะไปสู่สิ่งใดอะไรก็ตาม สิ่งนั้นจะไม่ทำร้ายไม่ทำให้เดือดร้อน เหมือนกับสัตว์ป่า ที่เราเอามาหัดจนเชื่องเช่นว่า ช้างป่า เขาจับมาได้ก็เอามาหัดจนเชื่อง พอเชื่องดีแล้วเขาขับเข้าไปในเมืองได้ เอาเข้าไปในเมืองใหญ่คนพลุกพล่านช้างก็ไม่ตื่นเต้น ได้ยินเสียงรถก็ไม่ตื่นเต้น คนโห่ก็ไม่ตื่นเต้น แสดงว่าช้างนั้นเป็นช้างที่ได้ฝักฝนอบรมดี แล้ว เอาไปสู่นครเมืองใหญ่ได้คนเราจึงต้องหัดบังคับควบคุมจิตใจไว้เราจะไปไหน เราต้องเตรียมวางแผนไว้ว่า เราไปในที่นั้น เราจะสู้กับอารมณ์อย่างไร เช่นเราจะไปพูดกับคนบางประเภท ไปพูดกันในเรื่องสลักสำคัญ จิตใจของเราจะเข้มแข็งพอไหม เย็นพอไหม อดทนเพียงพอไหม ในการที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้น มีสติมีไหวพริบเพียงพอไหม ที่เขาจะพูดยั่วให้เราโกรธ ยั่วให้เราเกิดความน้อยอกน้อยใจ หรือว่าเสียอารมณ์ไป เสียใจไป ถ้าว่าเขาทำให้เราเป็นอย่างนั้นได้กำลังมันก็หมดไป กำลังในการต่อสู้ไม่มี เพราะเราเป็นคน หวั่นไหวง่ายต่ออารมณ์เหล่านั้น เขาทำให้เราหวั่นไหวเสียสมาธิ ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ หาคำพูดที่หลักแหลมคม คายมาต่อสู้กับเขาไม่ได้ ก็นับว่าพ่ายแพ้ ใจไม่เย็นพอแต่ถ้าเราเป็นคนเตรียมใจดี จิตใจมั่นคงเข้มแข็ง เราจะไปกระทบอารมณ์อะไรก็เฉยๆ เขาพูดให้กระเทือนใจ เราไม่กระเทือน เพราะเราคอยรู้ว่า คำนี้เขาพูดให้เรากระเทือนใจ เราต้องโต้กลับไป โต้กลับไปด้วยสติปัญญา ด้วยใจคอที่สงบเยือกเย็น เราจะไม่โต้ตอบด้วยอารมณ์เสีย เช่นเขาด่าเรา เราจะไม่ด่าตอบ แต่เราจะยิ้มรับคำด่า ยิ้มด้วยปัญญา ด้วยความรู้ว่า เขาว่าเรา แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนที่ว่านั้นมันใส่ความเรา เราไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องโกรธไม่ต้องเคือง เพราะถ้าเราโกรธเรามีปมด้อย ทำให้คนที่เป็นข้าศึกของเรา มองเห็นว่าเราโกรธคนโกรธนั้นเสียสมาธิ ขาดความสงบใจ ขาดไหวพริบ ขาดปัญญาที่จะคิดอ่าน มันก็แพ้อยู่ในตัวแล้ว เราแพ้อยู่ในตัวแล้ว แต่ถ้าเราไม่โกรธไม่เคือง เรายิ้มอยู่ตลอดเวลา เราก็สามารถสู้เขาได้ ใจเราสงบคงที่ จิตที่สงบนั้นแหละ มันทำให้เกิดปัญญาเกิดความคิดความอ่าน แต่ถ้าจิตไม่ สงบ มันก็ไปไม่รอด

หายใจให้ถูกแก้โรคความดัน


ทุกวันนี้หลาย ๆ คน หายใจเข้าและออกไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท้องจะป่องเมื่อหายใจเข้า และท้องแฟบตอนหายใจออก ก็ดันเป็นในทางตรงกันข้าม ร้ายกว่านั้นคือ หายใจตื้น ๆ หน้าท้องไม่ขยับสักนิด การหายใจที่ไม่ถูกหรือหายใจตื้นเกินไปทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และขับคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกไปได้ไม่มาก ส่งผลให้การหมุนเวียนของโลหิตเร็วเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ที่สำคัญเมื่อความดันโลหิตสูงแล้ว โรคภัยร้าย ๆ ก็จะตามมา อาทิ หัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดเสื่อมสภาพ เมื่อรู้ว่าโรคร้าย ๆ เกิดได้เพราะพฤติกรรมหายใจที่ผิด ๆ ทางแก้มีไม่ยาก แค่หายใจอย่างถูกวิธี หรือหายใจแบบทารก คือ การหายใจทางจมูก ปากปิดสนิท ลิ้นแตะเพดาน ไม่กัดฟัน ขณะสูดหายใจเข้าท้องป่อง ส่งให้หน้าอกขยายออกเล็กน้อย เมื่อหายใจออกท้องแฟบลง บริเวณหน้าอกขยับลงดังเดิม สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การหายใจทางปาก จะทำให้มีปัญหาฟันตามมาและทำให้นอนกรน รวมถึงการหายใจให้หน้าอกขยับแรง ๆ หรือเป็นการหายใจขณะตื่นเต้น ตกใจ ก็ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ.

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเพณีแห่นางแมว อ้อนวอนขอฝน


การแห่นางแมวเป็นพิธีอ้อนวอนขอฝน ซึ่งจำจัดทำขึ้นในปีใดที่ท้องถิ่นแห่งแล้งฝน ไม่ตกต้องตามฤดูกาล สาเหตุที่ฝนไม่ตก ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซึ่งแปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากๆ ควัน และละอองเขม่าน้ำมัน ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนุษย์ ผู้ที่จะล้างอากาศได้ทำให้ละอองพิษพวกนั้นตกลงดิน ทำให้อากาศสะอาดคือ "เทโว" หรือ "ฝน" นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อฝนหยุดตกใหม่ๆ อากาศจะสดชื่น ระงมไปด้วยเสียงของกบ เขียด

ความ เชื่อ การแห่นางแมวภาคอิสาน

พิธีแห่นางแมวของชาวอีสานเพราะเชื่อว่าเหตุที่ฝนไม่ตกมีเหตุผลหลายประการ เช่น เกิดจากดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง,ประชาชนชาวเมืองหย่อนในศีลธรรม, เจ้าเมืองหรือเจ้าแผ่นดิน ไม่ทรงอยู่ใน ทศพิธราชธรรม เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามนุษย์อยากให้เทวะคือน้ำฝนที่ดีไม่ใช่ดีเปรสชั่น มาเยี่ยมตามกาลเวลา มนุษย์ก็ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพราะคนที่มีศีลมีธรรมท่านจึงเรียกว่า "เทวะ" ทั้งๆ ที่เป็นคน เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ เทวะคือฝน กับเทวะคือคนผู้มีคุณธรรม ย่อมจะมาหากันเพราะเป็นเล่ากอแห่งเทวะด้วยกัน เหมือนพระย่อมไปพักกับพระเป็นต้น เหตุนี้ชาวเมือง ชาวอีสานจึงต้องทำพิธีอ้อนวอนขอฝน และการที่ต้องใช้แมวเป็นตัวประกอบสำคัญในการขอฝน เพราะเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่เกลียดฝน ถ้าฝนตกครั้งใดแมวจะร้องทันที ชาวอีสานจึงถือเอาเคล็ดที่แมวร้องในเวลาฝนตกว่า จะเป็นเหตุให้ฝนตกจริงๆ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสาดน้ำและทำให้แมวร้องมากที่สุดจึงจะเป็นผลดี และชาวอีสานเชื่อว่าหลังจากทำพิธีแห่นางแมวแล้วฝนจะตกลงมาตามคำอ้อนวอน และตามคำเซิ้งของนางแมว

นอกจากแมวจะเข้ามาเกี่ยวข้องในพิธีเกิดและพิธีแต่งงานในวัฒนธรรมไทยแล้ว แมวยังเข้ามามีส่วนร่วมในอีกประเพณีสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุ คน นั่นคือ พิธีแห่นางแมวขอฝน คนไทยในสมัยก่อนเชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับศักดิ์สิทธิ์ สามารถเรียกฝนให้ตกลงมาได้ และเมื่อถึงฤดูฝน หากฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล
ชาวไทยโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้น้ำในการ เกษตรกรรมจะต้องนำนางแมว (แมวตัวเมีย) โดยคัดเลือกแมวไทยพันธุ์สีสวาด (คนไทยโบราณเรียก แมวมาเลศ ตามภาพ) ตัวที่มีรูปร่างปราดเปรียว สวยงามตั้งแต่ 1-3 ตัว นำนางแมวมาใส่กระบุงหรือตะกร้าหรือเข่งก็ได้ สาเหตุที่ต้องเลือกแมวพันธุ์นี้เพราะเชื่อว่า สีขนแมวเป็นสีเดียวกับเมฆ จะทำให้เกิดฝนตกได้ แต่บางแห่งก็ใช้แมวดำ

ก่อนที่จะนำนางแมวเข้ากระบุง คนที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด จะพูดกับนางแมวว่า "นางแมวเอย …ขอฟ้าขอฝน ให้ตกลงมาด้วยนะ" พอหย่อนนางแมวลงกระบุงแล้ว ก็ยกกระบุงนั้นสอดคานหามหัวท้าย จะปิดหรือเปิดฝากระบุงก็ได้ แต่ถ้าปิดต้องให้นางแมวโดนน้ำกระเซ็นใส่ ตอนที่สาดน้ำด้วยจะต้องถูกต้องตามหลักประเพณี

ผู้หญิงที่เข้าร่วมในพิธีแห่ จะผัดหน้าขาว ทัดดอกไม้สดดอกโตๆ ขบวนแห่จะร้องรำทำเพลงที่สนุกสนานเฮฮา เมื่อขบวนแห่ถึงบ้านไหน แต่ละบ้านจะต้องออกมาต้อนรับอย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่าแมวจะโกรธ และจะบันดาลไม่ให้ฝนตกลงมา และมีความเชื่อว่า ถ้าแห่นางแมวแล้วฝนจะตก ภายใน 3 วันหรือ 7 วัน นอกจากนี้ พิธีแห่นางแมวขอฝน จะเป็นการช่วยเรียกให้ฝนตกแล้ว ยังถือว่าพิธีนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนในหมู่บ้านให้แน่นแฟ้น ขึ้น เนื่องจากจะต้องมีการช่วยเหลือกันในการประกอบพิธีอีกด้วย

องค์ประกอบที่ใช้ในพิธีแห่นางแมว

  1. กะทอหรือเข่ง หรือกระบุง ที่มีฝา ปิดข้างบน 1 อัน

  2. แมวสีดำตัวเมีย 1-3 ตัว

  3. เทียน 5 คู่

  4. ดอกไม้ 5 คู่

  5. ไม่สำหรับสอดกะทอให้คนหาม 1 อัน

วิธีแห่นางแมว

  1. ชาวบ้านรวมทั้งคนแก่คนหนุ่มและเด็กส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ปรึกษาหารือกัน คนที่เป็นผู้นำกล่าวเซิ้ง เพื่อ ให้ผู้ไปแห่ทั้งหมดเป็นผู้ว่าตาม ส่วนใหญ่จะเป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน

  2. หากะทอใบหนึ่งหรืออาจใช้เข่ง หรือกระบุงก็ ได้

  3. จับเอาแมวตัวเมียสีดำ หรือแมวไทย พันธุ์สีสวาด (คนไทยโบราณเรียก แมวมาเลศ) 1 ตัวใส่ในกะทอ ใช้ เชือกผูกปิดปากะทอไม่ให้แมวออกได้ และใช้ไม้สอดกะทอให้คนหา 2 คน ตั้งคายด้วยขันธ์ ห้า ป่าวสักเคเทวดา เพื่อให้เทวดาบันดาลให้ฝนตก

  4. ได้เวลาพลบค่ำผู้คนกำลังอยู่บ้าน ก็เริ่มขบวนแห่โดยหากะทอแมวออกข้างหน้า แล้วตามด้วยคนว่า คำเซิ้ง และผู้แห่ว่าตามเป็นท่อนๆ ไป ในขบวนก็จะมีการตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้เกิดจังหวะตามไปด้วย และแห่ไปทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านนั้นๆ เมื่อแห่ไปถึงบ้านใครเจ้าของบ้านก็ต้องเอาน้ำสาด
    หรือรดที่ตัวแมวให้เปียกและทำให้แมวร้อง และสาดใส่ขบวนเซิ้งด้วย ประเพณีบางบ้านก็สาดใส่ขบวนเฉยๆ โดยไม่ให้ถูกแมว เพราะปรากฏว่าเซิ้งหนักๆ เข้า แมวตายวันละตัว


10นิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม


ใครที่กำลังอยู่ในภาวะ สมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่สมองโดนทำร้าย วันนี้มีความรู้เกี่ยวกับ 10 นิสัยที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน

1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่ เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้

2.กิน อาหารมากเกินไป การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4.ทานของหวานมากเกินไป มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง

5.การอดนอน คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน

6.มล ภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ

7.ขาด การใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ

8.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร

9.นอนคลุมโปง เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลด ออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา
อย่าลืมใส่ใจและ รักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี.

เครียดคลายได้ ถ้าใจคอยเป็น


เครียดคลายได้ ถ้าใจคอยเป็น
โดย รินใจ

คงไม่มีอะไรที่สามารถบงการระบบประสาทของเรา ได้ฉับพลันเท่ากับเสียงโทรศัพท์ ไม่ว่ากำลังกินข้าว ดูหนัง กำลังนอน หรือสั่งสอนลูกชายจอมซน ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องรีบสาวเท้าหรือคว้ามือไปรับโทรศัพท์ อะไรที่กำลังทำอยู่ ต้องเลิกโดยฉับพลัน แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม ถ้ามนุษย์ต่างดาวเผอิญหลงมาที่โลกนี้ คงจะงงงวยว่าโทรศัพท์มีอะไรน่ากลัวหรือ คนบนโลกนี้ถึงชอบผลุนผลันไปรับคำบัญชาจากมัน

ที่จริงมนุษย์ต่างดาวเข้าใจผิดทั้งเพ ไม่มีใครกลัวโทรศัพท์หรอก เราทำกันเช่นนั้นอย่างอัตโนมัติ เพียงเพราะไม่อยากคอยให้มันดังหลายครั้ง แต่ก็น่าคิดว่าแทนที่จะปล่อยให้มันกะเกณฑ์เรา ลองให้มันทำตามเกณฑ์ของเราบ้าง เช่น ให้ดังสัก ๓-๔ ครั้ง ถึงค่อยไปรับและไปรับอย่างช้าๆ สบายๆ แทนที่จะเร่งรีบ

ไม่ใช่แต่ เพียงเสียงโทรศัพท์เท่านั้น มีอีกหลายอย่างที่เราปล่อยให้มันเข้ามาบงการเรา อย่างเช่นสัญญาณไฟตามสี่แยกจริงอยู่ มันอาจไม่ถึงกับทำให้แขนขาของเรากระตุกทันทีที่มันวาบขึ้น แต่บ่อยครั้งมันก็ไปกระตุกใจเราแทน ทันทีที่เห็นไฟแดงข้างหน้าจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็กรุ่นไปตลอด จนกว่าไฟเขียวจะมาปลุกใจเราให้ยินดี

ไฟเขียวเป็นข่าวดี (ถ้าเราเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนข้ามถนน) แต่มันก็ทำให้เราทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือเวลามันยังไม่โผล่มา เราก็กระวนกระวายใจ หรือถึงกับเครียด

แต่ ถ้ามองกันจริงๆ แล้ว จะโทษไฟเขียวว่ามาช้าก็ไม่ถูกมันก็มาตามจังหวะของมัน สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะเราใจร้อน หรือคอยไม่เป็นต่างหาก เพียงแค่เรารู้จักคอยไฟเขียวเท่านั้น ความเครียดจากการขับรถจะลดลงไปเยอะเลย ในทำนองเดียวกัน สำหรับคุณที่ไม่รวยพอที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว หากคอยรถเมล์เป็น โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นไม่น้อย

ลองมาคิดดูสิ ที่จิตร้อนรุ่มราวกับถูกไฟลนนั้น หลายต่อหลายครั้ง เป็นเราตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายคอย อาจคอยแฟน คอยจดหาย คอยงานเสร็จ หรือคอยคนเห็นคุณค่าของเรา ยิ่งคอยก็ยิ่งทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะสิ่งที่คอยยังมาไม่ถึง แต่ทุกข์เพราะใจเร่งเร้าเผาลนต่างหาก จริงๆ แล้ว ตัวการไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างในต่างหาก

ถ้าเราสามารถฝึกใจให้รู้จักคอยได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ ทุกวันนี้คนกรุงมีความเครียดมาก เพราะคอยไม่เป็น และที่คอยไม่เป็นเพราะเคยชินกับความรวดเร็ว ทุกอย่างล้วนแข่งกันเร็ว ไม่ว่ากาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ แม้แต่ความเป็นคนเก่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนตนแล้ว เพียงแค่ซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ หรือน้ำอัดลมยี่ห้อนั้น ก็สำเร็จผลได้โดยพลัน เร็วอะไรปานนั้น

ชีวิต ที่อะไรต่ออะไรได้มาโดยไว ทำให้เราคอยกันไม่เป็น หวังแต่จะให้ทุกอย่างเปิดปุ๊ปติดปั๊บท่าเดียว จนลืมไปว่ายังมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องใช้เวลา หลายอย่างที่ว่านี้ ล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น เช่น สุขภาพ ความรู้ ความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งความรัก ถ้าเราคอยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ชีวิตก็มีแต่ความเครียดรุมเร้าหาไม่ก็ได้แค่ของปลอม ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง

ใจที่รู้จักคอยคือกุญแจแห่งความสุขและความ สำเร็จ เมื่อสิทธารถะไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์เฒ่า เขาได้อ้างคุณสมบัติที่เขาเชื่อว่าเหมาะแก่การ เป็นศิษย์ ๑ ใน ๓ ของคุณสมบัติดังกล่าวคือ “I can wait”

ในชีวิตประจำวัน เรามีโอกาสมากมายที่จะฝึกใจให้รู้จักคอย เช่น ล้างมืออย่างช้าๆ นั่งโต๊ะแล้วค่อยเปิดจดหมาย อ่านหนังสือพิมพ์ ทำงานให้เสร็จเป็นอย่างๆ หรือตามลมหายใจขณะรอรถเมล์ หรือจะเริ่มต้นด้วยการทำใจสงบขณะที่โทรศัพท์ดัง ต่อเมื่อสิ้นเสียงสัญญาณครั้งที่ ๓ จึงค่อยรับก็เข้าทีดี

ปัจจัยสร้างสุข


ธรรม บรรยายโดย ภิกษุณี Gioi Nghiem (หลวงพี่ศีลกัลยา) แห่งหมู่บ้านพลัม

นับว่าเป็นสิ่งดีที่เราตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เรา ต้องปล่อยวาง เพื่อที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข

แต่ ก็มีสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อน ไปกว่ากัน คือ การตระหนักรู้ถึงปัจจัยที่สร้างให้เกิดความสุข ปัจจัยเหล่านั้นดำรงอยู่ในตัวเราและรอบๆ ตัวของเรานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้า เราพบว่าเรายังมีชีวิตอยู่ และมีอีก 24 ชั่วโมงแห่งความเบิกบานรอเราอยู่ หลวงพี่มักจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยชาหอมๆ ซักหนึ่งถ้วย ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที กับการหายใจอย่างอ่อนโยนกับชา ของหลวงพี่ และหลวงพี่ก็ยิ้มต้อนรับวันใหม่ที่เปิดรอหลวงพี่อยู่ และเมื่อหลวงพี่รับประทานอาหารเช้า หัวใจของหลวงพี่ ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของอาหาร เพราะมีหลายต่อหลายคนในประเทศที่ยังไม่พัฒนา พวกเขาไม่มีอาหาร พอจะรับประทาน หลวงพี่มองเห็นความรัก การทำงานอย่างหนักของชาวนา ชาวสวน ของผู้คน และสรรพชีวิต ที่ร่วมกัน อุทิศตนให้การเกิดขึ้นของขนมปัง และผลไม้บนจานของหลวงพี่ และนั่นก็สามารถทำให้หลวงพี่มีความสุขได้แล้ว

ถ้า หากเธอลองใช้เวลา นั่งลง และเขียนถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุขขึ้นในปัจุบันขณะนั่นเอง เธอจะสามารถ ปล่อยวางสิ่งที่เธอเห็นว่า เป็นอุปสรรคต่อความสุขของเธอ และบางทีก็น่าจะดี ถ้าหากเรามีเพื่อนที่เป็นกำลังใจ และสนับสนุนเราในทางแห่งการปล่อยวางนี้ ขอให้เราค่อยเป็นค่อยไป ให้เวลากับตัวเราเอง เราไม่จำเป็นต้อง เร่งรีบเพื่อไปสู่นิพพาน ขอเพียงแค่เราเบิกบานกับทุกๆ ขณะของชีวิต


ที่มา
thaiplumvillage

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โภชนบำบัดสำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่


โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรค ที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้เปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตผิดปกติจนไม่ สามารถควบคุมได้ ผู้สูงอายุและผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งจะมีอัตราเสี่ยง มากกว่าคนปกติหรือผู้ที่มีภาวะโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง และผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น อาการโดยส่วนใหญ่ของมะเร็งลำไส้จะมีท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีเลือดสด อุจจาระมีขนาดเล็กลง มีอาการจุกเสียดแน่นบ่อยครั้ง อ่อนเพลียและน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากลำไส้เป็นอวัยวะสำคัญในระบบทางเดินอาหาร


ดัง นั้น ต้องดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ การรักษาที่ถูกต้องร่วมกับโภชนบำบัดที่ถูกหลัก สามารถลดการแพร่กระจายและอาการทรมานจากมะเร็งได้

เนื้อสัตว์

ผู้ป่วยควรได้รับโปรตีนวันละ 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไข่และเนื้อสัตว์ต่างๆเป็นแหล่งของโปรตีนที่ให้กรดอะมิโนครบถ้วน หากผู้ป่วยไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลยควรรับประทานถั่วเหลืองผลิตภัณฑ์จาก ถั่วเหลืองแทน

แต่หากยังรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ ควรเลือกชนิดที่ไม่ติดมันเป็นหลัก หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง แหนม เพราะอาหารแปรรูปมักใส่สารไนไตรท์ ไนเตรต มีไขมันมาก ทำให้กระตุ้นการเกิดมะเร็งมากขึ้น

มีงานวิจัยการเสริมโฟเลทสามารถ ช่วยลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ซึ่งสาร อาหารนี้พบมากในนม ดังนั้นการดื่มนมช่วยเสริมสร้าง สารโฟเลทแต่ควรเลือกชนิดพร่องมันเนย

น้ำ มันแและไขมัน
โดยทั่วไปแล้วอาหารประเภท ไขมันควรระวังไม่รับประทานมากแม้ในคนปกติ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ยิ่งจำเป็นต้องดูแลเรื่องของไขมัน ควรเลือกใช้ไขมันที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว เนื้อปลาทะเลจะมีไขมันไม่อิ่มตัว

ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรับประทาน วิตามินเสริม เพราะหากรับประทานน้ำมันสกัดยิ่งทำให้ร่างกายได้รับน้ำมันเกินความจำเป็นอาจ เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

งดไขมันที่เกิดจากการปิ้งย่างหรือการทอด น้ำมันซ้ำ ล้วนแต่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ และเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสัมผัสกับลำไส้โดยตรงเสี่ยงต่อการทำให้โรคเป็นมาก ขึ้น


ผักและผลไม้
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรค มากในระยะนี้ ควรลดปริมาณที่รับประทาน เนื่องจากระบบย่อยอาหารของผู้ป่วยเริ่มแปรปรวน การได้รับใยอาหารมากอาจส่งผลให้เกิดอาการแน่นท้องและท้องอืดได้ อาจรับประทานที่ละน้อย ผักบางชนิดยิ่งทำให้ท้องอืด โดยเฉพาะผักที่มีกลิ่นฉุนเพราะมีสารพวกกำมะถันอยู่มาก เช่น ต้นหอม หัวหอมใหญ่ ดังนั้น หากมีอาการท้องอืดอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง

นอกจาก นี้ ยังมีรายงานการวิจัยหลายงานวิจัยที่พบอาหารมีผลดีต่อการป้องกันและต่อต้าน มะเร็งลำไส้ โดยเฉพาะพืชตระกูลกะหล่ำ เพราะมีสาร Isothiocyanate ซึ่งให้ผลดีในการควบคุมมะเร็ง การรับประทานควรล้างให้สะอาด เพราะแม้ผักชนิดนี้จะมีสารพฤษเคมีที่เป็นประโยชน์มากก็จริง แต่ก็เป็นแหล่งตกค้างของสารฆ่าแมลงมากเช่นกัน วิธีการล้างผักที่ได้ผลค่อนข้างดีอาจในน้ำส้มสายชู หรือการลวกผักก็จะเป็นการช่วยลดสารเคมีตกค้างลงไปมาก

กรณีผู้ป่วยผ่า ตัดลำไส้ออกบางส่วน ทำให้ระบบย่อยอาหารได้รับความเสียหายบ้างในช่วงแรก ควรรับประทานอาหารเหลวที่มีพลังงานสูง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น ไม่ควรรับประทานผักและผลไม้มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดลมในช่องท้องได้

ผล ไม้สามารถรับประทานได้ทุกชนิด ยกเว้นกรณีเพิ่งได้รับการผ่าตัดควรเลือกชนิดที่ย่อยง่าย เช่น มะละกอสุก กล้วยน้ำว้า เป็นต้น และเพิ่มการดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อป้องกันการอุดตันของลำไส้จากเส้นใยอาหาร

การกราบไหว้พระพุทธรูป


พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ)
วัด บวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

  • ปุ จ ฉ า

พุทธศาสนิกชน โง่ หรือ ฉลาด ที่ไปกราบไหว้ อิฐปูน ต้นไม้ และการกราบไหว้พระพุทธรูปจะจัดเข้าไปในประเภทบูชารูปเคารพหรือไม่ ?

ถ้า ไม่...ต่างกันอย่างไร ?

  • วิ สั ช น า

ความ โง่หรือฉลาดของคนนั้น ไม่วัดกันด้วยด้วยการกระทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องมองกันในหลายๆ ด้านด้วย คนเรานั้นอาจฉลาดในเรื่องหนึ่ง แต่กลับโง่อย่างหนักในอีกเรื่องหนึ่งก็ได้

ปัญหาไม่ได้บอกว่า อิฐ ปูน ต้นไม้นั้นเป็นอะไร เป็นทรากของสถานที่สำคัญเช่น สังเวชนียสถาน ก็แสดงว่า เขาไม่ได้ไหว้อิฐ ปูน แต่ไหว้เพราะอาศัยอิฐ ปูน นั้นเป็นสื่อให้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับการไหว้พระ พุทธรูป เจดีย์อื่นๆ

หากเป็นการไหว้ อิฐ ปูน ธรรมดา นึกไม่ออกว่าใครจะไปไหว้ทำไม ?!?!

ถ้าว่าเป็นกรณีของพุทธปฏิมา ที่สร้างด้วยอิฐ ปูน ในขณะไหว้ใครคิดว่าตนเองไหว้อิฐ ปูน ก็ต้องจัดว่าบรมโง่ทีเดียว !!!

พระพุทธรูป ไม่ว่าจะสร้างขึ้นด้วยอะไรก็ตาม รวมถึงพระเจดีย์ ไม่ว่าจะเป็นธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ หรืออุเทสิกเจดีย์ก็ตาม ล้วนแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาไหว้ ใจคนจะน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้ระลึกถึง

o ทำไมจึงต้องสร้างเป็นรูปวัตถุเช่นนั้น ?

เพราะพระพุทธคุณ เป็นนามธรรม โดยหลักทั่วไปแล้ว การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมล้วนๆ สำหรับคนทั่วไปแล้ว ทำได้ยาก

เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ

แต่เมื่อว่า ตามความจริงแล้ว คนหาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่ รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

เรื่องการกราบ ไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์ ที่สร้างด้วยอะไรก็ตาม ผู้ไหว้หาได้ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้นไม่ รูปเหล่านั้น จึงทำหน้าที่เป็นสื่อทางจิตใจเพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระพุทธคุณ

ด้วยเหตุนี้ การกราบไหว้พระพุทธรูป จึงไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน

o ทำไมจึงไม่เหมือนกัน?

เพราะพวกสร้างรูปเคารพนั้น ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูป ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์ จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ เพราะ

"ความไม่รู้ จึงเกิดความกลัว"

การไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ

๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ
๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน พร้อมบุคคลที่ตนต้องการให้รักษา

แม้ว่า บุคคลบางคนจะไหว้พระพุทธรูป เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน พระพุทธรูปจึงไม่เหมือนกับรูปเคารพอย่างที่คนบางคนเข้าใจ



(ที่ มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา - ๒ โดย พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร,
พิมพ์เผยแพร่เพื่อ เป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒, หน้า ๒๓๐-๒๓๑)



หมายเหตุ :

บทความ เรื่องนี้เขียนไว้เมื่อครั้งที่พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโสภณคณาภรณ์

มหากุศลจิต

อ. สำรวม สุทธิสาคร
มูลนิธิ พุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม

มหา กุศลจิต หรือ กามาวจรกุศลจิต

เป็นชื่อของกุศลประเภท หนึ่ง ที่ยังเกี่ยวข้องกับกามคุณอารมณ์ เป็นกุศลจิตที่เป็นโลกียกุศล ซึ่งทำให้ต้องกลับมาเวียนว่าย ตายเกิดอีก

แต่ ก็มิใช่เป็นสิ่งไม่ดี

เพียงแต่ไม่ได้ทำพ้นจากความ ทุกข์ คือการเวียนว่าย ตายเกิดเท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งที่ช่วยขัดเกลากิเลสต่างๆ ให้เบาบางลงและเป็นปัจจัยให้ปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานได้

จิตที่ชื่อว่ามหากุศล หรือกามาวจรกุศลนั้น มีการแบ่งด้วยลักษณะ ๓ คือ

๑. ปั ญ ญ า

การมีปัญญาเข้าประกอบหรือไม่มีปัญญาเข้าประกอบ

มหา กุศลที่มีปัญญาเข้าประกอบ

จะมีความเข้าใจในหตุผลในการกระทำ มีความเข้าใจในเรื่องกรรม การเวียนว่ายตายเกิด มีความใจสภาวธรรมเรื่องนาม รูป มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

มหากุศลที่ไม่ประกอบ ด้วยปัญญา

ก็จะไม่มีลักษณะเหล่านี้ เช่น กุศลที่ทำตามคำบอกเล่ากันมา ทำตามความเชื่อ

การที่จะมีปัญญาในการทำ กุศลได้นั้นต้องอาศัยการฟังเรียกว่า "สุตมยปัญญา"
อาศัยการพิจารณาใคร่ ครวญ เรียกว่า "จินตมยปัญญา"
และอาศัยการปฏิบัติเรียกว่า "ภาวนามยปัญญา"

ปัญญานั้นมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อมีความรู้ ความเข้าใจแล้วก็จะทำให้กุศลที่ทำมีกำลังมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดผลที่มีกำลังมากขึ้นด้วย

๒. เ ว ท น า

คือความรู้สึกเป็นสุข เรียกว่า "โสมนัสเวทนา"
หรือ รู้สึกเฉยๆ เรียกว่า "อุเบกขาเวทนา"

ในการเกิดขึ้นของมหากุศลนั้น บางครั้งก็รู้สึกว่ามีปีติ มีความสุขปลาบปลื้ม จัดเป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งก็รู้สึกเฉย จัดเป็นอุเบกขาเวทนา

การทำกุศลที่มีความรู้ความ เข้าใจ และทำอย่างเต็มกำลัง จะมีส่วนช่วยทำให้จิตเกิดโสมนัสเวทนาได้ง่ายขึ้น

๓. ก า ร ชั ก ช ว น หรือ มี กำ ลั ง

กุศล ประเภทหนึ่ง มีกำลังมาก ปรารภในการทำเอง ไม่ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน เรียกว่า "อสังขาริก"

ส่วนอีกประเภทหนึ่ง มีกำลังอ่อน ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน เรียกว่า"สสังขาริก"

จากกระแสของการพัฒนา ทำให้คนมีความโลภ มีความต้องการเสพอารมณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวมากขึ้น เมื่อมีความต้องการ ต้องมีการแสวงหา เพื่อให้ได้เสพอารมณ์ตามที่ต้องการ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย พร้อมกับการขาดการศึกษา สดับตรับฟังธรรมะ จึงทำให้ความต้องการที่จะทำบุญ ความดีต่างๆ น้อยลง

ทำ ให้บุญประเภทที่มีกำลังแก่กล้า (อสังขาริก) เกิดขึ้นน้อยลง ส่วนใหญ่จะเป็นบุญประเภทที่มีกำลังอ่อน ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน หรือมีเครื่องล่อ เครื่องจูงใจจึงจะทำ

เมื่อ จำแนกด้วย ๓ ลักษณะนี้ จะทำให้มหากุศลจิตแบ่งออกได้เป็น ๘ ประเภท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

๑. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)

๒. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)

๓. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)

๔. เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)

๕. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)

๖. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)

๗. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริก (ไม่ต้องมีการชักชวน)

๘. เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา สสังขาริก (ต้องมีการชักชวน)


เมื่อพิจารณามหากุศลทั้ง ๘ ประเภทแล้ว มหากุศลประเภทที่ ๑ จะดีที่สุด ในการทำกุศลครั้งนั้น มีทั้งความโสมนัส ยินดี มีปัญญา และมีกำลังแก่กล้าไม่ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน และมหากุศลประเภทที่ ๘ ดีน้อยที่สุด คือมีความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีปัญญา และต้องอาศัยผู้อื่นชักชวน

ดัง นั้นการทำกุศล ควรทำให้มีลักษณะประเภทที่ ๑ อยู่เสมอๆ

กุศลที่ทำ เช่นไร ผลของกุศลก็มีลักษณะเช่นนั้น เราเรียกผลของมหากุศลว่า "มหาวิบาก" ซึ่งจะมีความสำคัญมากในการให้ผลนำเกิด

ถ้า เรามีมหาวิบากประเภทที่ ๑ นำเกิด ก็ถือว่ามีต้นทุนคือทรัพย์ภายในที่สูงมาก จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำกุศล มีปัญญาในการกุศลรู้เหตุผล เห็นประโยชน์ในการทำและปรารภในการทำกุศลเองได้ง่าย

วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ

ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจาก การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า

นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้น บ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้

1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที

ใน ช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม

วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา

จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏ อยู่ต่อหน้าเรา

คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิด ขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และ ในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป

2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย

บุคคลที่มีความคิดประเภท นี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา

วิธี แก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง

3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ

ทุกอย่าง มีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความ ผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธี แก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ

กำลัง พูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่ แล้ว)

4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา

ความ คิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง

วิธี แก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้าง ขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา

ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ

วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ ของตนเอง ว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู

6. คิดเอาชนะผู้อื่น

การ โต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว

วิธีแก้พูดเท่าที่จำ เป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น

การทวง บุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน

วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้อง คำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน

8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

การ คิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน

วิธี แก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมา ทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมาก ขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น

9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง

การ คิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลัก ไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ

วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับ ปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว

การ คิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้คิดถึง ประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง

11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที

การ คิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของ เราเองเสียอีก

วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะ เกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น

ความ คิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว

วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น

13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์

เป็น อกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย

วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง

บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง
Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย Richard Carlson