วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

-:-Wireless USB-:-


Le Wireless USB ou WUSB est une norme informatique de technologie radio courte distance destinée à simplifier les connexions entre les appareils électroniques. Elle visait à compléter et à remplacer la norme USB par câble. Cependant, les industriels abandonnent les uns après les autres le projet, pour se consacrer à l'USB 3.0.Le WUSB étend la portée maximale des échanges à 10 mètres contre 5 mètres en USB, avec toutefois des débits théoriques offerts décroissant en fonction de la distance : de 480 Mbit/s (60 Mio/s) dans un rayon de 3 mètres, ils chutent à 110 Mbit/s (13,75 Mio/s) dans un rayon de 10 mètres. L'accès aux données est chiffré à l'aide de l'algorithme AES sur 128 bits, considéré comme robuste. La norme WUSB ne perturbe pas les liaisons Wi-Fi ou Bluetooth à 2,4 GHz car elle repose sur la technologie radio à courte portée Ultra Wide Band (UWB). Cette technologie traverse mieux les obstacles et exploite des fréquences de 3,1 à 10,6 GHz.Il reprend les caractéristiques de l'USB comme le nombre maximal de périphériques : 127 .En novembre 2008, WiQuest, principal fabricant de composants pour WUSB, annonce sa fermeture. Dans le même temps, Intel annonce se retirer du programme de développement. Ce dernier explique son abandon par des obstacles à la diffusion de la technologie. Premièrement, la suppression du câble de transfert n'apporte pas toujours l'avantage propre au "sans-fil" escompté, car il faut toujours un câble pour l'alimentation. Ensuite, l'attribution des fréquences est également problématique. De plus, les débits de transfert ne sont pas à la hauteur. Dans un rayon de trois mètres, on annonce 480 Mbit/s et 110 Mbit/s dans un rayon de dix mètres. Or, lors du Computex 2007, des démonstrations stagnaient entre 30 et 50 Mbit/s (contre 5 Gbit/s pour l'USB 3.0).

คำศัพท์
1. destinée [N] ชะตากรรม
2. simplifier [VT] ทำให้ง่ายขึ้น
3. connexion [VI] การเชื่อมกัน / [N] ความสัมพันธ์
4. consacrer [VT] มอบให้
5. stagnaient [VI] ซบเซา
6. algorithme [N] ชุดของคำสั่งที่สร้างไว้ตามขั้นตอน
7. fabricant [N] ผู้ผลิต
8. diffusion [N] การกระจัดกระจาย
9. obstacle [N] อุปสรรค
10. également [ADV] เช่นกัน, ยิ่งกว่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

♣ คำคม จากบุคคลสำคัญของโลก ♣


ขงจื้อ ===> ถ้ามีคนสองคนเดินผ่านมาทุกเรื่องราวสามารถสอนข้าพเจ้าได้ สำหรับคนดีข้าพเจ้าจะเอาอย่างเขา สำหรับคนเลวข้าพเจ้าจะไม่เอาอย่างเขา
มหาตมะ คานธี ===> จงเป็นคนที่ผลักดันให้โลกเปลี่ยน ในแบบที่คุณอยากเห็นมันเปลี่ยน
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล ===> ถ้าเรามัวทะเลาะด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ เราจะสูญเสียวันพรุ่งนี้
ลีโอนาโด ดาวินชี ===> ทำไมในยามฝัน เราจึงเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อนึกจินตนาการในยามตื่น
กาลิเลโอ กาลิเลอี ===> ปรัชญาที่เขียนในหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา ข้าพเจ้าหมายถึงจักรวาล ทว่า เราไม่สามารถเข้าใจมันถ้าเราไม่เรียนภาษาเสียก่อนและจับความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้เขียน
ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน ===> สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา
เบนจามิน แฟรงคลิน ===> เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต
อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ===> ระหว่างผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามากที่สุด กับ ผู้ที่มีความรู้มีการศึกษาน้อยที่สุด มีความแตกต่างในระดับเล็กน้อยที่ไม่อาจเอ่ยอ้างถึงได้ เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆที่เรายังไม่รู้

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

26 มิถุนายน วันสุนทรภู่

สุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกันฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จ.ระยอง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงาน มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คนเป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่มเกิดรักใคร่ชอบพอกับนาง ข้าหลวงในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึงกรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณที่จะมีการปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศ ส่วนพระ ราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เมื่อเสด็จสวรรคตหรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภ ู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัด ระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วง ถึง เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙ หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ ์ พระโอรสองค์เล็กของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยาสุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นานก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภ ู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนักในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว ้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไปเพชรบุรี ทำไร่ ทำนา อยู่กับหม่อมบุญนาค ในพระราชวังหลัง นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ ด้วยเลือดนัก กลอนทำให้ท่านกลับมากรุงเทพฯ หากินทางรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอก บทละคร นอก บางทีนิทานเรื่องแรกของ ท่านคงจะแต่งขึ้นในช่วงนี้ การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้เป็นที่สนใจมาก เพราะ สมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่าน คนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว นิทานของ ท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละครนอกชื่อดัง ในสมัยนั้นมาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละคร เป็นทั้งคนแต่งบทและบอกบทเดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว รับราชการครั้งแรก ก็สมัยพระ พุทธเลิศ หล้านนภาลัย ที่ได้อาจจะมาจากมูลเหตูที่รัชกาลที่ 2 ชอบบทกลอนเหมือนกัน แต่หลังจากรัชกาลที่ 2 เสด็จ สวรรคต นอกจาก แผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุด ในชีวิตได้เป็นถึง กวีที่ ปรึกษา ในราชสำนัก ก็หมดวาสนาไปด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึง เหตุที่สุนทรภู่ ไม่กล้า รับราชการต่อใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ดังนี้ "เล่ากันว่า เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ บทละคร เรื่องอิเหนา ทรงแต่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าว ดาหาไปใช้บน พระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่ง "เมื่อทรงแต่งแล้ว ถึงวันจะอ่านถวายตัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งวานสุนทรภู่ ตรวจดูเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่านต่อหน้ากวีที่ทรง ปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งว่า " 'น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว' "สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี ขอแก้เป็น " 'น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว' "โปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กริ้ว ดำรัสว่า เมื่อ ขอให้ตรวจทำไมจึงไม่แก้ไข แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้ง หนึ่ง "อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอน ท้าว สามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่ ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้ว สมมาด ปรารถนา' " ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามขึ้นว่า 'ลูกปรารถนาอะไร' พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องแก้ว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา' "ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... " จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอ พระราชหฤทัย ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อกลับจากกรุงเก่า พระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ท ี่วัดอรุณ ราชวรารามหรือวัดแจ้ง ปี พ.ศ.๒๓๗๒เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้า ปิ๋ว พระโอรสองค์กลางและองค์น้อยให้เป็นศิษย์สุนทรภู่ การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้พระสุนทรภ ู่สุข สบาย ขึ้นพระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณฯ ราว ๒ ปี จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ท ี่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมา ก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชัก ชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์หนึ่ง เชื่อว่าคงจะทรงคุ้นเคย กับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ชีพจรลงเท้า สุนทรภู่อีกครั้งเมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหา ทำให้เกิดนิราศ วัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

L'Arche de la Défense


La Grande Arche de la Fraternité, connue sous le nom d'usage de l'Arche de la Défense ou Grande Arche, est un monument situé dans le quartier d'affaires de La Défense à l'ouest de Paris, sur le territoire de la commune de Puteaux.
Elle a été construite dans l'axe est-ouest parisien. L'Arche est ainsi visible à travers l'
arc de triomphe, depuis les jardins des Tuileries. C'est le projet novateur de l'architecte danois Johann Otto von Spreckelsen qui fut sélectionné.

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเพลงสรรเสริญฯ ในโรงหนัง



มีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งสำหรับการแสดงมหรสพทุกชนิดนั่นคือ จะต้องพร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการยืนตรงต่อบทเพลงสรรเสริญพระบารมี เฉกเช่นเดียวกับในโรงภาพยนตร์ ก่อนที่หนังจะฉายหลายคนอาจจะยังไม่ทราบมาก่อนว่า ช่วงระยะเวลาของการยืนสงบนิ่งต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เพียงแค่นาทีกว่า ๆ นี้ มีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมายคุณโดม สุขวงศ์ จาก หอภาพยนตร์แห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ธรรมเนียมการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย น่าจะมีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 เมื่อเริ่มมีการตั้งโรงภาพยนตร์แล้ว โดยเฉพาะโรงหนังญี่ปุ่นหลวง ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ถาวรแห่งแรกในสยาม และเป็นโรงแรกที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ประดับตราแผ่นดินธรรมเนียมนี้อาจได้แบบอย่างมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมืองสิงคโปร์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในปกครองของอังกฤษ มีการฉายพระบรมรูปพระราชินีอังกฤษและบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี คือเพลง “God Save the Queen ; ก็อด เซฟ เดอะ ควีน” เมื่อจบรายการฉายภาพยนตร์ ให้ผู้ชมยืนถวายความเคารพเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสชวา เมื่อ พ.ศ. 2439 มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์บรรจบกัน 2 ประการ คือ ได้ทอดพระเนตรประดิษฐกรรมผลิตภาพยนตร์ที่พระตำหนักเฮอริเคนเฮาส์ เมืองสิงคโปร์ และการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญจักรพรรดิมาลาแก่ผู้แต่งทำนองเพลงสรรเสริญพระบารมีถวาย ชื่อ มิสเตอร์ ยี.เอช. แวนสัชเตเลน ที่เมืองดยกชาการ (อ่านว่า ดะ-ยก-ชา-การตา) หรือจาร์การตาในปัจจุบันเมื่อเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว พระองค์โปรดเกล้า ฯ ให้ มิสเตอร์ เฮวุดเซน ครูแตรทหารมหาดเล็ก แต่งทำนองเพลงคำนับรับเสด็จอย่างเพลง God Save the Queen โดยพระราชทานทำนองเพลงที่นายแวนสัชเตเลนแต่งให้ นายเฮวุดเซนได้นำทำนองเพลงนั้นมาปรับปรุงเรียบเรียงขึ้นใหม่จนเป็นต้นเค้าของทำนองเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ใช้อยู่ โดยบทที่บรรเลงในปัจจุบัน สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์คำร้อง ส่วนทำนองประพันธ์โดย นายปโยตร์ สซูโรฟสกี้ ชาวรัสเซียต่อมา ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแก้คำในวรรคสุดท้าย จาก “ดุจจะถวายชัย ฉะนี้” เป็น “ดุจจะถวายชัย ไชโย” และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2456เพลงสรรเสริญพระบารมีนี้เอง ที่ภายหลังเมื่อมีภาพยนตร์เข้ามาฉายในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนังเงียบ ซึ่งจะต้องมีแตรวงหรือวงเครื่องสายผสมทำการบรรเลงดนตรีประกอบการฉาย วงดนตรีดังกล่าวจึงได้บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อถวายความเคารพเมื่อภาพยนตร์ฉายจบ โดยในช่วงแรก ๆ เป็นการบรรเลงแต่เพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงมีผู้ผลิตกระจกที่เป็นพระบรมรูปของพระเจ้าแผ่นดิน หรือ แลนเทิร์น สไลด์ (Lantern Slide) โดยทำการฉายกระจกพระบรมรูปพระเจ้าแผ่นดินขึ้นบนจอด้วย และถือปฏิบัติเป็นธรรมเนียมทั่วทุกโรงภาพยนตร์ในสยาม โดยมิได้มีกฎหมายบังคับแต่อย่างใด แต่ในที่สุดก็มีระเบียบออกมาบังคับใช้ เมื่อ พ.ศ. 2478 พอเข้าสู่ยุคภาพยนตร์เสียงในฟิล์มแล้ว โรงภาพยนตร์ทุกโรงก็ยังคงฉายสไลด์พระบรมรูปและเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีต่อมาก็ได้เปลี่ยนเป็นการฉายสไลด์พระบรมฉายาลักษณ์และเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนการฉายภาพยนตร์ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นการจัดทำเป็นภาพยนตร์พระราชกรณียกิจฉายประกอบเพลง และกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงรูปแบบการนำเสนอก็มีความแตกต่างกันไปอีกด้วยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการฉายสไลด์พระบรมรูปพร้อมกับเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีในขณะนั้นว่า มีเจ้าของโรงภาพยนตร์บางแห่งไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ โดยนำสไลด์กระจกรูปของบุคคลอื่น เช่น ผู้นำชาติอื่น ๆ หรือผู้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ มาฉายพร้อมกับเปิดเพลงและมีถ้อยคำปลุกใจให้ผู้ชม ซึ่งผิดธรรมเนียมปฏิบัติและไม่สมควรอย่างยิ่ง จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาตรวจสอบโรงภาพยนตร์อยู่เนือง ๆนอกจากนี้ ยังเคยมีบุคคลบางคนได้เสนอแนะให้ยกเลิกการฉายภาพยนตร์ประกอบเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ โดยให้เหตุผลว่า มีโรงภาพยนตร์บางแห่งได้ฉายภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะหนังที่มีเนื้อหาลามกอนาจาร หรือเนื้อหาที่มีความรุนแรง ซึ่งดูแล้วไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่เรื่องดังกล่าวก็หายไปเพราะไม่มีใครเห็นด้วย ปัจจุบันถือว่า การฉายภาพยนตร์ประกอบเพลงสรรเสริญพระบารมี ถือเป็นระเบียบที่ทางโรงภาพยนตร์จะต้องถือปฏิบัติ และได้กลายเป็น “จารีต” ที่ผู้ประกอบการล้วนแล้วแต่ทำด้วยความจงรักภักดีกันทั้งสิ้นสำหรับการผลิตฟิล์มภาพยนตร์ประกอบเพลงสรรเสริญพระบารมี จะต้องทำหนังสือส่งไปที่สำนักพระราชวังเพื่อขอใช้พระบรมฉายาลักษณ์ต่าง ๆ หรืออาจจะขอคัดพระบรมฉายาลักษณ์เท่านั้น และเมื่อดำเนินการผลิตเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ต้องนำมาผ่านตรวจจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจภาพยนตร์แต่อย่างใด
จากการสำรวจ พบว่า ฟิล์มภาพยนตร์ประกอบเพลงสรรเสริญพระบารมี มีผู้ผลิตอยู่ 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสำหรับโรงภาพยนตร์และภาพยนตร์กลางแปลงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่จัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฉายภาพยนตร์ ทั้งในโรงและภาพยนตร์กลางแปลง โดยว่าจ้างให้ทางแล็บดำเนินการจัดทำขึ้นมา โดยมีรูปแบบการนำเสนอให้เป็นไปตามที่ผู้จ้างต้องการ โดยจะดำเนินการแบบครบวงจร ทั้งในการล้างและพิมพ์ฟิล์มเป็นชุดสำเร็จตามจำนวนที่ต้องการ ผู้ประกอบการที่จัดจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการฉายภาพยนตร์ ส่วนใหญ่อยู่ที่ด้านหลังโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง มาตั้งแต่อดีต จวบจนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2536 บริเวณดังกล่าวได้มีการปรับปรุงเพื่อสร้าง ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า ทำให้ผู้ประกอบการได้ย้ายไปอยู่อาคารบำเพ็ญบุญ ซึ่งอยู่ถนนเจริญกรุง ซอย 3 ด้านข้างของโรงภาพยนตร์นั่นเอง หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อโรงภาพยนตร์แบบซีนีเพล็กซ์เข้ามามีบทบาท ทำให้ระบบการจัดจำหน่ายที่เรียกว่า “สายหนัง” เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนต่างพากันแยกย้ายหรือยุติกิจการเพื่อไปประกอบอาชีพอย่างอื่น ที่ยังเหลืออยู่ก็ยังคงดำเนินกิจการเหมือนเดิม แต่ไม่เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อนแล้วจากการสอบถามข้อมูล รวมไปถึงผลงานที่เป็นฟิล์มภาพยนตร์ในกลุ่มดังกล่าว ข้อมูลที่ได้มานั้นล้วนกระจัดกระจาย เนื่องจากผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฉายภาพยนตร์ได้ยุติกิจการไปโดยปริยาย บางส่วนก็บริจาคอุปกรณ์ให้กับหอภาพยนตร์แห่งชาติไปแล้ว ส่วนฟิล์มต้นฉบับนั้นก็ยังอยู่ที่แล็บ และไม่ได้จัดพิมพ์ออกมาอีกเลยสำหรับผู้ผลิตฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุดแรกนั้น เป็นของร้านเป็ดทอง ครับ ผลิตขึ้นประมาณ ปี พ.ศ. 2523 คาดว่าน่าจะเป็นช่วงที่โรง "ภาพยนต์ทหานบก" จ. ลพบุรี ได้เปลี่ยนแปลงจากการเล่นเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมฉายสไลด์กระจกในตอนจบของภาพยนตร์ มาเป็นก่อนฉายภาพยนตร์เรื่องยาว โดยจะฉายในตอนท้ายของหนังตัวอย่าง ซึ่งเริ่มเป็นแห่งแรก ก่อนที่โรงอื่นทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัดจะนำไปเป็นแบบอย่าง ในตอนนั้นเป็นการนำเสนอภาพแบบสองภาพ พร้อมเทคนิคการเปลี่ยนภาพแบบซ้อนภาพหรือดิสโซลฟ์ (Dissolve) ซึ่งฉากหลังเป็นสีออกโทนน้ำตาลหรือที่เรียกว่า “ซีเปีย” โดยเป็นภาพที่มีทั่วไปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่สมัยทรงพระเยาว์จนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ของพระองค์ สำหรับขั้นตอนการผลิตในชุดนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคซับซ้อนมาก เนื่องจากเทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้ หลังจากนั้นก็มีผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ต่างก็ว่าจ้างให้ทางแล็บดำเนินการ ซึ่งการวางจำหน่ายนั้นไม่ได้เป็นการผูกขาดแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของเจ้าของโรงภาพยนตร์ หรือภาพยนตร์กลางแปลง กล่าวคือ ชอบแบบไหนก็เลือกซื้อตามที่ต้องการ และนี่เองที่ทำให้ฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมี ได้มีการผลิตออกมาหลายแบบ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2523 - พ.ศ. 2537 และนี่คือส่วนหนึ่งที่มีข้อมูล
2. กลุ่มผู้ผลิตสื่อโฆษณากลุ่มเหล่านี้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นยุคแรกของการนำเอาระบบเสียงดอลบี้ สเตอริโอ ดิจิตอล (DOLBY STEREO DIGITAL) เข้ามาในโรงภาพยนตร์ รวมทั้งการถือกำเนิดของโรงภาพยนตร์แบบซีนีเพล็กซ์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2537 ทำให้ผู้ผลิตโฆษณา (Commercial Agency) ทางสื่อต่าง ๆ ได้มีการว่าจ้างจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับโรงภาพยนตร์และภาพยนตร์กลางแปลงในยุคแรก ๆ รวมไปถึงโรงภาพยนตร์ หรือจากหน่วยงานอื่น ๆ ให้ผลิตฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมีขึ้นมาเพื่อจำหน่ายทั่วไปทั้งในโรงภาพยนตร์หรือภาพยนตร์กลางแปลง หรือจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อใช้ในโรงภาพยนตร์ในเครือของตน โดยผู้สร้างสรรค์ได้นำรูปแบบวิธีการนำเสนอผ่านคอมพิวเตอร์กราฟฟิคมาใช้ ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ แม้แต่ตัวเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการขับร้อง รวมทั้งดนตรี โดยไม่ทำให้เสียรูปแบบไปจากเดิมฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่มีการนำเสนออย่างสร้างสรรค์ ก็คือ ชุด “ใบโพธิ์” ซึ่ง คุณณัฐวัชร อุดมพาณิชย์ แห่งบริษัท โกลเด้น ดั๊ก ฟิล์ม จำกัด และ หม่อมยุพเยาว์ คันธาภัสระ จาก บริษัท แมสโค จำกัด ร่วมกัน โดยมีแนวคิดว่า ในหลวงเปรียบเสมือนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนชาวไทย รูปแบบการนำเสนอเป็นรูปต้นโพธิ์แล้วก็เจาะไปในใบโพธิ์แต่ละใบพร้อมกับนำเสนอพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านว่า ทรงเหนื่อยเพื่อพสกนิกรอย่างไรในช่วงนั้นวงดนตรี บางกอก ซิมโฟนี ออร์เคสตร้า ได้จัดทำอัลบั้ม “เพลงแห่งชาติ” ออกมา (ประมาณปี พ.ศ. 2536) ทำให้ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับโรงภาพยนตร์เจ้าอื่น ได้จ้างให้บริษัทที่ผลิตโฆษณาจัดทำขึ้นมา อีกบริษัทหนึ่ง ได้จัดทำฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุด จิ๊กซอว์ ขึ้นมา ราว ๆ ปี พ.ศ. 2540 เป็นการนำเสนอเพลงสรรเสริญพระบารมี แบบขับร้องประสานเสียงพร้อมด้วยวงออร์เคสตรา พร้อมภาพในหลวงขณะเสด็จไปสถานที่ต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นภาพจิ๊กซอว์มาต่อกัน จนกระทั่งเมื่อใกล้จะจบเพลงแล้วภาพจะค่อย ๆ เลื่อนมาเป็นจิ๊กซอว์รูปพระพักตร์ของในหลวง ซึ่งเรียบเรียงดนตรีโดย อาจารย์บรูซ แกสตัน ซึ่งโรงภาพยนตร์ที่ฉายได้แก่ สยาม , ลิโด้ , สกาล่า , เฮาส์ รวมทั้งโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัด และหนังกลางแปลง
ส่วนบริษัท โกลเด้น ดั๊ก ฟิล์ม จำกัด หลังจากที่ผลิตฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุด “ใบโพธิ์” แล้ว ก็ได้มีการผลิตฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมีออกมาในภายหลัง ซึ่งมี 3 ชุด ได้แก่ ชุด “จิตรกรไทย” ซึ่งใช้เทคนิคจากภาพวาดของจิตรกรเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานำเสนอ ขณะที่ตัวเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้นได้มีการเรียบเรียงเสียงประสาน ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับที่ใช้ในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ และอีจีวี ในตอนนี้ ส่วนชุดต่อมา เป็นภาพกราฟฟิค ซึ่งมีเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมเนื้อเพลง อย่างไรก็ตาม ฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมีทั้ง 2 ชุดดังกล่าว ได้ใช้ฉายในโรงภาพยนตร์ไม่นานนักก็มีการเปลี่ยนใหม่อีกครั้งสำหรับภาพประกอบนี้ คือชุด "จิตรกรไทย" เป็นการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคในการสร้างภาพขึ้นมาให้คล้ายกับภาพวาด โดยมีเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่เป็นเวอร์ชั่นเดียวกันกับที่ได้ชมในโรงภาพยนตร๋ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ในตอนนี้ แต่ตัวเพลงที่อยู่ในฟิล์มประกอบเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุด "จิตรกรไทย" นี้ จะยาวกว่าที่ได้ยินในปัจจุบันสำหรับชุดล่าสุดที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็คือ ชุด “สายฝน” (สำหรับคนที่เคยชม เข้าใจว่าเป็นชื่อ “หยาดฝน” แต่ที่กล่องฟิล์มได้ระบุชื่อว่า “สายฝน” ครับ) ซึ่งนำเสนอภาพเริ่มจากพื้นดินแห้ง ๆ แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นรูปเล็ก ๆ ในหยาดฝนแต่ละเม็ดที่ตกลงมาก็คือภาพพระราชกรณียกิจของในหลวงที่ท่านไปดูแลในเรื่องชลประทาน เรื่องของการทำยังไงให้ป่าอุดมสมบูรณ์ให้มีน้ำมีฝน โดยมีมุมมองว่าในหลวงท่านทำงานเน้นในเรื่องการเกษตรกรรม พระองค์ท่านช่วยดูแลและพัฒนาจากความแห้งแล้งจนทำให้ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ ในส่วนของเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้น บรรเลงด้วยเสียงดนตรีไทยจากหลากหลายอุปกรณ์มารวมเข้าด้วยกัน จากการสร้างสรรค์ของ อาจารย์บรูซ แกสตัน สำหรับฟิล์มชุดนี้ยังมีการฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ต่างจังหวัด รวมทั้งหนังกลางแปลง
เมื่อโรงภาพยนตร์แบบซีนีเพล็กซ์ได้ขยายสาขาไปสู่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น ฟิล์มเพลงสรรเสริญ ฯ ที่เคยใช้ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของตนเองในช่วงทศวรรษของปี พ.ศ. 2540* โรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ เคยใช้ชุด “ใบโพธิ์” ของ บริษัท โกลเด้น ดั๊ก ฟิล์ม จำกัด มาก่อน พร้อม ๆ โรงภาพยนตร์และหนังกลางแปลงทั่วไป ก่อนที่จะมีรูปแบบที่เป็นของตัวเองในภายหลัง ปัจจุบันได้นำเสนอไปแล้วประมาณ 4 ชุด* โรงภาพยนตร์อีจีวี ก็เคยมีรูปแบบเป็นของตนเองเช่นกัน กระทั่งเมื่อเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ได้รวมกิจการเข้าด้วยกัน ฟิล์มเพลงสรรเสริญพระบารมี จึงได้ใช้แบบเดียวกัน* โรงภาพยนตร์เอสเอฟ เคยใช้ชุด “สายฝน” มานาน ก็เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของตนเองเช่นกัน ผลิตโดย ด็อกเตอร์ เฮด* โรงภาพยนตร์เซ็นจูรี่ มูฟวี่ พลาซ่า มีรูปแบบเฉพาะเป็นของตนเอง ในชุด "ดนตรีแจ๊ส" ทางโรงภาพยนตร์ได้มองเห็นพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีของในหลวงในการเป่าแซ็กโซโฟน ดังนั้นเพลงสรรเสริญ ฯ ชุดที่ใช้อยู่จึงเป็นชุดที่มีเสียงแจ๊สเป็นดนตรีหลัก และไม่มีเสียงร้อง การนำเสนอจะเป็นกรอบรูปที่เป็นพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนถึงปัจจุบันขึ้นมาทีละภาพ และหนึ่งในรูปภาพเหล่านั้นมีภาพพระฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงเป่าแซ็กโซโฟนอยู่ด้วย สำหรับเสียงเป่าแซ็กโซโฟนเป็นเสียงของเศกพล อุ่นสำราญ หรือโก้ มิสเตอร์แซ็กแมน เรียบเรียงดนตรีโดย ปราชญ์ มิวสิคเนื่องจากฟิล์มเพลงสรรเสริญ ฯ เป็นฟิล์มที่ใช้งานบ่อยที่สุด โดยจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อ เกิดความเสียหายเกินกว่าที่จะฉายได้อีกต่อไป ส่วนที่เป็นรูปแบบเฉพาะของโรงซีนีเพล็กซ์ จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเกิดความเสียหายบนแทรคที่เป็นดอลบี้ ดิจิตอล (Dolby Digital Soundtrack) ซึ่งจะได้ยินออกมาอย่างชัดเจนเวลาฉาย เพราะฉะนั้น จึงได้มีการสั่งพิมพ์จากแล็บเพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ก็แล้วแต่นโยบายของทางโรงภาพยนตร์เองข้อมูลทั้งหมดถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่นำมารวบรวมได้ในปัจจุบัน ขณะที่การติดตามค้นหาข้อมูล รวมทั้งตัวฟิล์มเดิม (ถ้ายังหลงเหลืออยู่) เป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับว่า “ยาก และเหนื่อย” เพราะเท่าที่รู้มาคร่าว ๆ ฟิล์มเหล่านี้จึงมักถูกเก็บงำไว้เฉย ๆ ซึ่งจะอยู่กับโรงภาพยนตร์หรือเจ้าของหนังกลางแปลง บางทีก็ตกทอดไปยังลูกหลาน ซึ่งบางแห่งอาจจะสานต่อหรือเลิกกิจการไปแล้ว บางทีก็เก็บลืม ถูกปล่อยปละละเลย สุดท้ายก็กลายเป็นขยะ แต่ถึงอย่างไรก็พยายามกันต่อไปช่วงระหว่างที่ผมติดตามอยู่นั้น ทำให้ได้พบฟิล์มเหล่านี้ที่ยังเหลืออยู่ บางชุดเป็นการจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ บางชุดเป็นฟิล์มที่เคยใช้งานมาแล้ว หลายครั้งก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในราคาสูง และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจอในม้วนหนังตัวอย่างโดยบังเอิญ ซึ่งผมก็นำมาทำความสะอาด ซ่อมแซม ลองฉาย และเก็บอนุรักษ์ไว้ เพื่อนำมาถ่ายทอดกันต่อไปครับที่มา:
1. ฟิล์มภาพยนตร์ของตนเอง
2. ภาพจากเว็บthaicine และ lovecinema.pantown
3. ข้อมูลประวัติเพลงสรรเสริญพระบารมี thaifilm
ขอบคุณบทความจาก pantown

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาบน้ำด้วยสบู่เหลว ตายเร็ว!!


ถ้าคุณชอบอาบน้ำด้วยสบู่เหลวละก้อ ควรอ่านบทความนี้... เดี๋ยวนี้สบู่เหลวได้รับ ความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบาย เป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่ แต่ เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์ อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น ผล กระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะ ภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วน ผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและ อเมริกามีกฏหมายห้ามใช้ แล้ว และบางประเทศก็จำกัด ให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับ สารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็ จะดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือ จางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


ข้อมูลจากวารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ

กินเผ็ดละลายลิ่มเลือด

ผลวิจัยล่าสุดพบว่า การทานอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรรสเผ็ด จะช่วยลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด และการจับตัวเป็นลิ่มเลือดมากกว่าแอสไพรินถึง 29 เท่า โดยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ ไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์จากอินเดียได้ทำการทดลองเพื่อประเมินผลทางสุขภาพว่า สมุนไพรรสเผ็ดๆ ที่เราชอบทานกันนั้น มีประโยชน์อะไรอีกบ้างหนอ เพราะสมุนไพรเหล่านี้มักเป็นส่วนผสมในอาหารชาวอินเดียทั้งหลาย (รวมทั้งอาหารในเอเชียเราทั่วไปด้วย) โดยทีมงานหลักก็คือ The Central Food Technological Research Institute ที่เอาสารสกัดในสมุนไพรอย่าง ขมิ้นชัน, น้ำมันจากกานพลู, อบเชย, พริกแดง, พริกไทยดำ ฯลฯ มาทดลองกับร่างกายมนุษย์ ว่าแต่ละตัวทำงานกับระบบเลือดอย่างไร แล้วจึงพบว่าสามารถละลายลิ่มเลือดและลดการจับตัวเป็นก้อนได้ การทดลองนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับแอสไพรินที่เรามักทานเพื่อลดปวด และนำไปทานร่วมกับยาบางชนิดเพื่อละลายลิ่มเลือด โดยที่เป้นอันตรายอย่างแน่นอน หากเราทานอย่างต่อเนื่องและสะสม ในขณะที่การทานเผ็ดจากสมุนไพรรสจัดจ้านที่ กล่าวข้างต้นนั้น ก็ให้ผลลัพธ์เดียวกัน แต่น่าทึ่งตรงที่ว่า หากได้รับในปริมาณที่เท่ากัน กลับให้ประสิทธิภาพที่มากกว่าถึง 29 เท่าทีเดียว เอาเป็นว่าเราโชคดีมากทีเดียว ที่มีพืชสมุนไพรดีๆ ให้เลือกทานตลอดปี และยังเสริมสร้างสุขภาพเราได้อย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่เรารู้จักเลือกอาหารที่มีสมุนไพรเหล่านี้เป็นส่วนผสมทานในแต่วัน และเสริมคุณภาพด้วยการออกกำลังกายประกอบกันด้วย นี่ล่ะธรรมชาติบำบัดที่เรียบง่ายและได้ผลกว่าสารเคมีตั้งหลายเท่า


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากSabai-Arom.com

La banane


Description et caractéristiques techniquesLa banane est un produit de base essentiel pour les pays en développement. Elle présente une très nette dualité qui rend difficile toute analyse car elle est à la fois à la base de l'alimentation humaine à l'instar du riz, du blé et du maïs et constitue également un important produit d'exportation. Environ un cinquième des bananes produites à travers le monde est exporté des pays en développement vers les pays développés. A ce titre, ce produit est un bon exemple de commerce sud/nord unidirectionnel. Le caractère dualiste de ce produit est également notoire au niveau des systèmes de production où les plantations bananières de grande échelle, principalement orientées vers les marchés d'exportation, coexistent avec celles des petits planteurs. Beaucoup de questions tant économiques qu'environnementales, sociales ou politiques s'entremêlent pour faire de la banane un produit très sensible au plan international. Au cours des dernières décennies du XXème siècle, le secteur bananier d'exportation a fait preuve d'un grand dynamisme et a subi des changements structurels très importants en relevant des défis tels que ceux posés par les réformes successives du Régime européen de la banane, par les différends très controversés lui faisant suite devant l'Organisation mondiale du commerce (OMC) ou par l'évolution des habitudes d'achat des consommateurs et des circuits de la distribution alimentaire. La banane demeure le fruit le plus populaire au monde. Issue du gêne Musa (membre de la famille des Musaceae), elle est considérée comme descendant des espèces sauvages : Musa acuminata (AA) et Musa balbisiana (BB). Il est généralement admis qu'il existe plus de mille variétés de bananes à travers le monde réparties en cinquante catégories. La variété de banane la plus connue est la Cavendish, qui est une des formes les plus produites pour l'exportation.Les bananes possèdent des propriétés nutritionnelles très larges. Elles constituent une bonne source de vitamines C, B6 et A, sont riches en hydrate de carbone et en potassium et possèdent une teneur en fibres élevée. Dans le même temps, leur niveau de protéines est faible et elles ne contiennent pas de matières grasses

Origine et histoire
Il existe un large éventail de références historiques concernant la banane. Elles apparaissent dans d'anciens textes hindous, chinois, grecs et romains. La première trace écrite serait en Sanscrist. Elle pourrait remonter à environ 500 ans avant Jésus-Christ. Certains horticulteurs affirment même que la banane serait le premier fruit à être apparu à la surface de la terre.L'origine géographique de la banane est généralement située en Asie du Sud-est, dans les jungles de Malaisie, d'Indonésie et des Philippines où plusieurs variétés sauvages existent encore aujourd'hui. Les bananes se sont déplacées en même temps que les grandes migrations humaines. Les premiers citoyens européens à la découvrir ont été les membres de l'armée d'Alexandre Le Grand au cours de leur campagne d'Inde en 327 avant Jésus-Christ. Au Moyen-Âge, la banane était considérée comme le fruit interdit du paradis, à la fois par les populations musulmanes et chrétiennes. Les arabes l'ont importée en Afrique et c'est de ce continent dont proviendrait son nom actuel qui signifierait "le doigt arabe". Ce sont finalement les portugais qui l'introduisirent aux Îles Canaries. Les bananes ont subi de nombreuses mutations au fur et à mesure de leur histoire. Elles ont successivement perdu leurs graines, se sont remplies de chair et se sont diversifiées.Quand les explorateurs espagnols et portugais se sont rendus dans le Nouveau monde, la banane les a suivis dans leur périple. En 1516, lorsque Fiar Tomas de Berlanga a accosté à Saint-Domingue, il avait emporté avec lui des racines de bananiers. Il est généralement admis que c'est à partir de ces plants que la banane se serait propagée dans toutes les Caraïbes et vers les États d'Amérique Latine.Les bananes ont commencé à faire l'objet d'échanges internationaux dès la fin du XIXème siècle. Avant cette date, les européens et les nord-américains ne pouvaient pas les apprécier du fait du manque de moyens appropriés à leur transport. Le développement des lignes de chemin de fer ainsi que les innovations technologiques dans le domaine du transport maritime réfrigéré ont permis aux bananes de devenir le fruit le plus largement échangé à travers le monde.

Les conditions de culture


Culture
Les conditions de cultureLe bananier n'est pas un arbre mais une herbe pérenne de grande taille (elle peut mesurer jusqu'à quinze mètres). Les bananes se développent à partir d'un bulbe ou rhizome et non d'une graine. La période entre le semis et la récolte peut varier entre neuf et douze mois. Les fleurs apparaissent à compter du sixième ou du septième mois. La banane est un fruit disponible tout au long de l'année.
Les bananes poussent dans les régions tropicales où la température moyenne avoisine les 27° C (ou 80° F) et la pluviométrie annuelle : 2000 à 2500 millimètres (de 78 à 98 pouces). Les bananiers ont besoin d'un sol moite et bien drainé pour se développer. La plupart des bananes exportées poussent à l'intérieur d'une zone de 30 degrés environ autour de l'équateur.La production bananière est caractérisée par une dualité propre, avec de petits planteurs produisant à côté des grandes plantations. Les systèmes de production sont différents selon les zones de production. Les plantations sont prédominantes en Amérique Latine. Elles nécessitent d'importants investissements en infrastructure et en technologies importants, en particulier en ce qui concerne le transport, l'irrigation, le drainage et le conditionnement. Ces investissements permettent des économies d'échelle à terme. Les plantations bananières peuvent représenter une superficie supérieure à 5000 hectares. Elles sont en principe contrôlées et gérées par de grandes entreprises transnationales. D'autre part, la production à petite échelle requiert moins d'investissements en capital mais davantage en main d'oeuvre. On trouve ce système de production principalement dans les Caraïbes du fait de la topographie des lieux de production qui ne permettent pas la mise en place d'un système de plantation. Ces conditions conduisent ainsi à des rendements moindres et à des coûts unitaires plus élevés.

Le corps ravi de l’héroïne


Marc Tourret
Il semble que l’énumération des grandes figures héroïques occidentales consiste à dresser la liste de membres d’un club essentiellement masculin s’autorisant à accomplir des "exploits" pour réaffirmer, par la maîtrise de la violence, un ordre sexuel inégal et androcratique. L’accès des femmes à l’héroïsme est d’autant plus problématique que les activités du héros étaient traditionnellement masculines (la guerre, l’exploration du monde) et que la célébrité qui y était associée était plutôt réservée aux hommes. Les mutations contemporaines des figures de l’excellence ont-elles ménagé une place au corps de l’héroïne ou les femmes doivent-elles se contenter d’assister à la remise en cause actuelle des héros ? Quelles représentations de la féminité et de la masculinité l’héroïsme véhicule-t-il ? Certains héros célèbres du XXIe siècle se comportent encore comme Thésée qui abandonne Ariane à Naxos, ou Héraclès qui démontre sa puissance virile avec les cinquante filles du roi Thespios. Mais le héros antique sortait d’un âge mythique où nature et culture étaient difficiles à distinguer. Son émergence nous fait entrer dans l’histoire sociale et donc le clivage des sexes. L’Amazone, cette guerrière mythique est, aux yeux des Grecs, l’anti-femme puisque ni épouse ni mère, elle perturbe famille et procréation.Refusant l’autorité des hommes, les Amazones tuent ou estropient leurs enfants mâles et entraînent leurs filles au maniement de l’arc et du javelot. Elles incarnent le comble de la barbarie, un négatif de la civilisation telle que se la représentent les Anciens. Achille tombe amoureux de Penthésilée au moment même où il la tue, Héraclès dépouille la reine des Amazones Hippolyté de sa ceinture d’or quand Thésée ravit Antiopé, sa soeur. Ainsi, seuls les grands héros sont assez forts pour frôler ou s’unir sans lendemain avec ces fascinantes guerrières.Le développement du christianisme propose des figures exemplaires aux femmes qui, bien qu’interdites de fonctions liturgiques, font partie de la communauté des fidèles. La Vierge et les saintes incarnent ces modèles vertueux. Au XVe siècle l’épopée de Jeanne d’Arc est d’autant plus étonnante que nous sommes encore au "mâle Moyen Âge" selon l’expression de Georges Duby. En 1431, la Pucelle d’Orléans est d’ailleurs condamnée à mort pour avoir, entre autres chefs d’accusation, porté des habits d’homme, transgression inacceptable de l’ordre sexuel en place.

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Hacker-Craft


Hacker-Craft is the name given to boats built by The Hacker Boat Co., the oldest builder of wooden motorboats in the world today. It is an American company, founded in Watervliet, New York on 12 August 1908 by John Ludwig Hacker (known as John L. Hacker or just "John L."). Hacker-Craft has been called the 'Bentley' of motorboats and the company continues to produce hand-built boats in Silver Bay, on the shores of Lake George (New York), the scene of many of John Hacker's water speed records and racing triumphs.
John L. Hacker (1877–1961) is considered to have been one of the world's pre-eminent
naval architects and the greatest American motorboat designer of the 20th century. His major design and engineering accomplishments include the invention of the 'v-hull' design and the floating bi-plane (for the Wright brothers). Over his impressive six-decade career, John Hacker enjoyed the distinction of having designed and built more successes in speed craft than all the other builders combined.


John L. Hacker, The Early Years

Hacker Craft's logo, hand-painted in gold leaf onto the side of a mahogany runabout
John L. Hacker was born on May 24, 1877. For four years, while working at his fathers business as a book-keeper, he attended night school and took a correspondence course in order to become an accredited marine designer. Once qualified (at the age of 22) he set about solving a number of problems which inhibited speed and performance in motor boats of the time. Pleasure boats of the 1900 era were all narrow, round bottomed launches which ploughed through the water instead of planing over it as boats do nowadays. Hacker’s first major task in boat design was to try and solve the problem of “squatting,” which occurred with all the canoe-stern shaped powerboats of the 1900s. His theory was that if his boats were going to go fast, they would have to “plane” rather than plough through the water, but the tendency to plane was considered a highly dangerous mode which was to be avoided at all costs. Nonetheless, he built a test craft to prove his new theories - a 30’ runabout - which incorporated a significant number of innovations: the boat had its prop mounted under the transom as well as its rudder and a strut was used to position the shaft into place. The boat also featured Hacker’s revolutionary ‘V’-hull design which produced stunning speed and efficiency at low horsepower. In 1904, he designed ‘Au Revoir’, the fastest boat in the world at the time and on August 12, 1908, building on this success, he founded the Hacker Boat Company in Watervliet, New York. Coincidentally, this was the same day on which the first ever
'Model T' Ford automobile was produced by his great friend, Henry Ford.
His designs led to many advances which today’s boat owners take for granted, but John Hackers’ unique combination of design flair and engineering brilliance led him to create the shape and style which was to become the signature look of American speedboats.The list of his successes would easily make a who's who list of the greatest wooden boats ever built: Pardon Me, the Minute Man, Thunderbird, El Lagarto, Bootlegger, Peerless, Dolphin, Kitty Hawk, Tempo VI, the Belle Isle Bear Cats, My Sweetie.

มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หากคุณคิดได้อย่างนี้ คุณจะมีความสุข ตลอดปี?


๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ
แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย คุณเป็นคนโชคดี
จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์ ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม คนเด่นต้องมีคนด่า
คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอดจ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด
คุณได้บาป แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
บางส่วนจาก หนังสือ "มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี"

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณ... งดอาหารมื้อเช้า?



เอียน มาร์เบอร์ ที่ปรึกษาด้านโภชนาการจะมาตอบคำถามของคุณ
Q เราต้องกินอาหารเช้าเป็นสิ่งแรกรึเปล่า?

A ใช่ การกินตอนเช้ากระตุ้นระบบย่อยอาหารเพื่อให้สามารถดูดซึมอาหารและปล่อยของเสียและกระตุ้นพลังงานด้วย จัดเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน

Q แล้วถ้าพลาดอาหารเช้าจะส่งผลลบกับร่างกายฉันยังไง?

A ก็นำไปสู่ระดับน้ำตาลขึ้นๆ ลงๆไม่คงที่ ทำให้คุณขาดพลังงานและพึ่งพาของว่างและคาเฟอีนเพื่อให้อยู่ได้ทั้งวันในระยะยาว อีกทั้งทำให้น้ำหนักขึ้น-เมื่อร่างกายรู้สึกถึงความหิวโหยก็เก็บอาหารเป็นไขมันแทนที่จะใช้เป็นพลังงาน

Q อาหารเช้าที่ดีสุดพึงเลือกคืออะไร?

A เลือกอาหารเช้าที่ปรุงง่าย ย่อยง่ายและให้โปรตีนกับคาร์โบไฮเดรต รวมถึงโยเกิร์ตใส่
เบอร์รี ถั่วและเครื่องดื่มไร้คาเฟอีน

slimmingthai

"คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา"


ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี
คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา
แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่
คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี
แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย
คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้
แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป
คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข
แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ
คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา
แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"
…………………………………………………………….
คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน
แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก
แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย
แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา
คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข
แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง
แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา"

"Hab Dich gern" 1


De reflexions en sourires en demi-teinte, de soirées en repas ensemble , il était évident pour moi que cet homme là et cette femme là n'avaient rien d'un couple amoureux mais bon qui n'a pas traversé de mauvaises passes...De reflexions en repas ensemble , il y avait eu quelques reflexions qui m'avaient surprises "ah , tu ne dois pas tout savoir, ça te décevrait...", j' avais cerné cet homme-là, je suis forte à ce petit jeu , ça peut être déstabilisant parfois mais cet homme-là , je le sentais vulnérable , très sensible , malheureux ...cet humour , cette causticité cachaient autre chose. Certes , cet homme-là avait parfois un côté "Caliméro" pas dans le "personne ne m'aime" mais un petit côté "je suis un pauvre Docteur surmené , débordé , ma compagne (important le mot ) ne comprend pas, j'ai trop de travail , parfois que les merdes..." mais qui n'a pas de défaut ?Son SMS dans la nuit du nouvel an "hab Dich gern" (j'taime bien) m'a surprise, je ne l'imaginais pas en train de taper cela sur son clavier, qu'il m'aime bien , oui je m'en doutais et c'est réciproque : bouquins , ciné , façon de voir les soins et la médecine, en un an , beaucoup de choses nous ont rapprochés mais que ce soit dit simplement , comme cela m'a étonnée , j'attendais de l'humour , de l'ironie.J étais contente mais perplexe , d'autant plus que le 2 au matin, il m'appelait pour savoir si je travaillais le lendemain , "je suis en France , pas de boulot que du bonheur" , ai-je répondu toute joyeuse ,, me moquant de lui qui allait être dès 7 heures le lendemain matin au cabinet...Mercredi dernier, sa compagne ( oui , j'insiste) est venue à la maison avec leurs filles récupéré quelques affaires et boire un café et il a débarqué avec elle, visage fermé..Elle m'a dit " oui , il ne va pas bien , ça lui arrive , pourtant il pourrait être content , il a passé le nouvel an à New-York, invité par un labo! , il ne te l'a pas dit ..? "Ben , non !Le lendemain , au boulot , même visage fermé , les larmes au bord des yeux et et cette réflexion " tu ne peux pas tout savoir !"." Très bien ,ai-je répondu, c'est de la provoc , il n'y a pas deconsult cet ap-midi , on va manger quelques part....et on verra ce que je ne dois pas savoir !" Un instant d'hésitation et à 13h , nous étions assis dans un petit restaurant italien , un peu chic , ce qui au moins l'a fait sourire et j'ai attendu....pas longtemps, je savais qu'il voulait parler....et là je suis restée bouche bée ...

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Historigue de Google

Lancement du moteur de recherche : Google est né
En 1996, Google, alors baptisé BackRub, est le nom d'un projet de recherche sur lequel travaillent deux étudiants de l'université Stanford : Larry Page et Sergey Brin. Leur projet concerne les moteurs de recherche. Ils imaginent qu'un moteur de recherche qui analyserait les relations entre les sites web pourrait donner de meilleurs résultats que ceux donnés par les moteurs de recherche de l'époque, Altavista notamment. Le nom de domaine « google.com » est enregistré le 15 septembre 1997. Les deux étudiants recherchent des fonds pour créer leur entreprise. Ils renomment le projet Google, en référence au mot Gogol (voir ci dessous Origine du nom). Andy Bechtolsheim, un des fondateurs de Sun Microsystems, leur offre 100 000 $ après avoir vu ce dont était capable leur moteur de recherche. Grâce notamment à leurs familles et amis, ils arriveront à réunir 1 million de dollars et pourront lancer la société Google Inc. le 7 septembre 1998. Leur premier bureau sera un garage à Menlo Park, comme c'est souvent la tradition dans la Silicon Valley. En février 1999, c'est 500 000 requêtes par jour que Google doit gérer, puis en août 3 millions. En mars, la société déménage à Palo Alto. Le moteur de recherche qui était jusque-là en version bêta, achève sa phase de test le 9 septembre.
Le moteur assied sa renommée

Dès janvier 1999, la presse commence à se faire l'écho des performances dece nouveau moteur de recherche. Le journal Le Monde écrit ainsi que le choix technologique de Google « s'avère très efficace à l'usage. Ainsi, une recherche avec les mots “Bill Clinton” sur Google renvoie d'abord au site de la Maison Blanche, alors qu'AltaVista ne fait apparaitre le site qu'après des dizaines d'autres références. »[3]. Autre avantage : Google affiche les mots-clés en gras dans le contexte d'une phrase pour chaque lien alors que l'Altavista de l'époque ne fournissait que les liens eux-mêmes. En juin 2000, Google est le premier moteur de recherche à avoir référencé un demi-milliard de pages web. Google signe cette année-là un partenariat avec Yahoo!, commence à proposer la publicité ciblée en fonction des mots-clés. À la fin de l'année, la Google Toolbar est proposée en téléchargement. Larry Page et Sergey Brin font appel en mars 2001, à Eric Schmidt, le président de Novell, pour prendre la direction de l'entreprise. Le 4 septembre 2001, Google obtient la validation de son brevet concernant PageRank. Aujourd'hui Google est le premier moteur de recherche sur Internet, 80 % des internautes américains utilisent le moteur de recherche Google mais seulement 35 % des Chinois l'utilisent, préférant le moteur de recherche chinois : Baidu.




Les Fraises...

La fraise est un fruit très répandu dans le monde. En Europe et en Asie, les fruits de l’espèce Fragaria vesca, le fraisier des bois, sont de petite taille. Connues depuis l'Antiquité, les Romains les utilisaient dans leurs produits cosmétiques en raison de leur odeur agréable : la « fragrance ». Mais les fraises poussent également le long des côtes américaines donnant sur l'Océan Pacifique, d'Alaska au Chili.
La fraise actuelle, telle que nous la connaissons est le résultat de croisements de fraises sauvages des Amériques. En 1714, l’officier du Génie maritime Amédée-François Frézier revient d’une mission d’espionnage des ports espagnols au Chili et au Pérou pour le Roi soleil. Botaniste à ses heures, il a repéré des fraisiers à gros fruits que l’on cultive au Chili, dits Blanches du Chili (Fragaria chiloensis). Frézier réussit à en rapporter quelques plants qu’il confie à Antoine de Jussieu pour le Jardin royal.
Quelques plants sont envoyés en Bretagne au jardin botanique de Brest et trouvent dans ce climat océanique, proche de celui de leur biotope d’origine, un milieu favorable à leur culture. Les plants de Blanches du Chili seront croisés avec des plants de fraisier de Virginie (Fragaria virginiana). C'est de l’hybride issu de ce croisement (Fragaria ananassae), que proviennent l’essentiel des variétés de fraises à gros « fruits » que l’on cultive désormais. En 1740, la ville de Plougastel (limitrophe de Brest), déjà productrice de fraisier des bois, devient le premier lieu de production de cette nouvelle espèce dite « fraise de Plougastel. » La culture de la fraise devient la spécialité de la commune, qui produira près du quart de la production française de fraises au début du XXe siècle. Plougastel héberge depuis 1997, le « Musée de la Fraise et du Patrimoine. »
Une autre variété légèrement plus petite sera développée dans le Sud de la France à partir de croisement avec des fraisiers nains méditerranéens, moins exigeants en eau, la « gariguette. » Cette dernière, dont le fruit est de forme plus allongée (et davantage coloré à maturité), a cependant le défaut d’une moins bonne conservation. Mais sa saveur, plus proche de la fraise des bois, et connue des Provençaux, est souvent considérée comme plus "authentique" que celle de la fraise commune. Hors du sud de la France, cette variété de fraise pose problème, car du fait du transport elle arrive aux étalages soit très chère, soit abimée, soit enfin elle est récoltée avant sa pleine maturité pour en faciliter le transport, ce qui ne laisse pas le temps au fruit de développer sur pied ses saveurs spécifiques. Vers 1940, la Californie devient premier producteur mondial de fraises.En Belgique, la région de Wépion connait un essor semblable dès la moitié du XXe siècle. L’activité se développera surtout dans l’entre-deux-guerres et atteindra son apogée dans les années 1950-1960. Leur réputation est telle que les fraises de Wépion sont commercialisées aux Halles de Paris et ensuite sur le marché de Rungis qui leur succédera. Au début des années 1970, l’activité décline et ce n'est qu’à la fin des années 1990 qu’elle gagne en regain.

Barack Obama


Barack Hussein Obama II[1], né le 4 août 1961 à Honolulu, Hawaii[2], est le président des États-Unis d'Amérique.Diplômé de l'Université Columbia et de la Faculté de droit de Harvard, il est en 1990 le premier afro-américain à présider la prestigieuse Harvard Law Review. Après avoir été travailleur social dans les quartiers sud de Chicago durant les années 1980, puis avocat en droit civil à sa sortie d'Harvard, Barack Obama effectue trois mandats au Sénat de l'Illinois de 1997 à 2004. Il enseigne aussi le droit constitutionnel à l’Université de Chicago de 1992 à 2004. Il connait l’échec lors de sa candidature à la chambre des représentants en 2000 puis obtient l’investiture du parti démocrate en mars 2004 pour devenir sénateur des États-Unis.Barack Obama se distingue notamment par son opposition précoce à la guerre lancée par George W. Bush en Irak et par le discours qu’il prononce en juillet 2004 lors de la convention démocrate qui désigne John Kerry comme candidat à la présidence, obtenant là une audience nationale.Il est élu sénateur en novembre 2004. Il déclare sa candidature à l’investiture démocrate pour la présidence des États-Unis le 10 février 2007 à Springfield, remporte les primaires face à Hillary Clinton et est officiellement désigné candidat lors de la convention de son parti à Denver, le 27 août 2008.Ayant largement remporté, le 4 novembre 2008, les élections devant le républicain John McCain, Barack Obama entre en fonction le 20 janvier 2009, devenant alors le 44e président des États-Unis et le premier afro-américain à accéder à la Maison Blanche.Sa présidence intervient dans un contexte de guerre en Irak, de guerre en Afghanistan, de crise au Moyen-Orient, d'une importante récession de l'économie américaine et de crise financière et économique mondiale.

บารัค โอบามา (อังกฤษ: Barack Obama) มีชื่อเต็มว่า บารัค ฮุสเซน โอบามา ที่ 2 (Barack Hussein Obama II) เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 และเป็นคนแอฟริกันอเมริกันคนแรก ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โอบามาเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐอิลลินอยส์ ในปี 2005 จนกระทั่งถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2008 หลังจากที่เขาประกาศลงสมัครการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 โอบามาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009โอบามาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เขาได้เป็นประธานของ Harvard Law Review โดยเป็นคนผิวสีคนแรก เคยทำงานเป็นผู้จัดการชุมชน, อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก จากปี ค.ศ. 1992 - 2004 และทนายสิทธิพลเมืองมาก่อนที่จะหันมาสนใจการเมือง เคยสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาในการเลือกตั้งปี 2000 แต่ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงเริ่มหาเสียงในการสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2003 เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ ในปี ค.ศ. 1997 ถึง ค.ศ. 2004ในระหว่างการทำหน้าที่ในสภาคองเกรสที่ 109 นั้น โอบามาได้เรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้อาวุธ และเรียกร้องให้มีการแถลงการณ์เรื่องการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลให้สาธารณชนได้ทราบด้วย นอกจากนั้นในช่วงนี้ เขายังเคยไปเยือนยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาอย่างเป็นทางการด้วย ในสภาคองเกรสที่ 110 เขาก็ได้เรียกร้องให้มีการดูแลปัญหาอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงหรือภาวะโลกร้อน การก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และให้การดูแลทหารผ่านศึกสงครามอิรัก และสงครามอัฟกานิสถาน

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กรุงเทพฯ Vs บางกอก



กรุงเทพมหานคร มาจากนามพระราชทาน "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" มีความหมาย "เมืองของเทวดา มหานครอันเป็นอมตะ สง่างามด้วยแก้ว 9 ประการ และเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เมืองที่มีพระราชวังหลายแห่ง ดุจเป็นวิมานของเทวดา ซึ่งพระวิษณุกรรมสร้างขึ้นตามบัญชาของพระอินทร์" ปัจจุบันภาษาราชการเรียก กรุงเทพมหานคร และอย่างย่อว่า กรุงเทพฯแต่เมื่อแรกสถาปนาราชธานีนั้น ตรงสร้อย "อมรรัตนโกสินทร์" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานว่า "บวรรัตนโกสินทร์" จวบจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็น อมรรัตนโกสินทร์ และต่อมามักเรียกกันว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ชื่อกรุงเทพมหานคร เมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krung Thep Maha Nakhon แต่ต่างชาติส่วนใหญ่เรียกเมืองนี้ว่า Bangkok อันมาจากอดีตของเมืองซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "บางกอก" มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีความสำคัญในฐานะเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่างๆ ทั้งเป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีจากเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก ส่วนบริเวณปากน้ำตรงอ่าวไทย เรียกกันว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" (ฝรั่งเทียกับกรุงอัมสเตอร์ดัมของฮอลแลนด์ที่เมืองท่าสำคัญของยุโรป) มีชุมชนใหญ่และโกดังของชาวต่างประเทศไว้สำหรับพักสินค้า ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการสำหรับที่มาของคำว่า "บางกอก" มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า "บางเกาะ" หรือ "บางโคก" แล้วเพี้ยนเป็นบางกอก บ้างก็ว่าเนื่องเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า "บางมะกอก" คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นมะกออก ข้อสันนิษฐานนี้อ้างอิงมาจากชื่อเดิมของวัดอรุณราชวราราม คือ วัดมะกอก (ก่อนจะเป็น วัดมะกอกนอก และวัดแจ้ง ตามลำดับ) และต่อมา บางมะกอกกร่อนคำเหลือแค่ บางกอก เมื่อครั้งกอบกู้อิสรภาพจากพม่าหลังเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ คือ กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2313 แต่ด้วยกรุงธนบุรีมีสภาพเป็นเมืองอกแตก ตรงกลางมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ขึ้นเสวยราชสมบัติ เฉลิมพระนาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีชัยภูมิดีกว่า เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกนั้นเป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที ปีขาล จ.ศ.1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 6.54 น. พระราชทานนาม ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงสร้อยในรัชกาลที่ 4 ดังกล่าววันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 รัฐบาลได้รวม จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2515 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร