วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประเทศฝรั่งเศส

ประเทศฝรั่งเศส หรือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (République Française) เป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่นๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรน์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone) เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง
ประเทศฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับ
ประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์ราและสเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิลและซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนา) และหมู่เกาะอินดีสเนเธอร์แลนด์ตะวันตก (ติดกับแซงต์-มาร์แตง) อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วย
ประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่
คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยมที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลก แผ่อาณาเขตตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกจนถึงเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้นๆ ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82 ล้านคนต่อปี ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอีกด้วย ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกประชาคมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลก จีแปด นาโต้และสหภาพละติน ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่อง "การขอพร"

ว่าด้วยเรื่อง "การขอพร"ปีใหม่เราก็มีความหวัง หวังว่าชีวิตจะดีขึ้น จะมีความสุขใครๆ ก็หวังนะ ให้มีกำลังใจ อย่าหวังเลย เดี๋ยวมันคงไม่ดีขึ้นเราชาวพุทธเราไม่ได้ขอพร แบบเรื่องรามเกียรติ์พวกยักษ์จะขอพรต้องไปนั่งอดข้าว บำเพ็ญตบะ ท่องคาถาบังคับให้พระพรหมบ้าง พระอิศวรบ้าง มาให้พรอันนั้นพรแบบขอคนอื่นเขา พอเขาให้พรตัวเองมานะเขาก็ต้องรีบไปให้พรคนอื่น ไว้ข่มกัน ไว้แก้กันนั้นในโลกเป็นของคู่ๆให้คนนี้มีฤทธิ์เยอะ ก็ให้คนนี้มีไว้คอยปราบคนนี้ ไม่ได้ให้ฟรีพวกเราชาวพุทธ เราไม่เชื่อเรื่องการขออย่ามาขอเลยพร เป็นไปไม่ได้เราเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ตัวนี้สำคัญมากถ้าเราอยากมีความสุข อยากให้ชีวิตดีขึ้นเราต้องทำกรรมที่สมควรแก่ผล ทำเหตุให้สมควรแก่ผลถ้าทำเหตุที่จะมีความสุข เราก็มีความสุขทำเหตุให้มีความทุกข์ มันก็มีความทุกข์ทำกรรมชั่วนะแล้วมาขอพร ขอหลวงพ่อบ้าง พระพุทธรูปบ้างขอคนโน้น คนนี้ ขอกระทั่งต้นไม้ อะไรอย่างเนี่ย ขอภูเขา ขอไปหมดปั้นรูปเทวดาขึ้นมา แล้วก็ไปขอ โธ่ เทวดานั้น เรายังปั้นขึ้นมาเองเลยเราต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมอยากมีความสุขก็ไม่ต้องไปขอใคร แต่ต้องทำเอาเองการทำคุณงามความดีทั้งหลายนั้นกุศลนะ ทำดี สิ่งที่ตามคือความสุขอกุศลนั้น สิ่งที่ตามมาคือความทุกข์ถ้าทำอกุศล ยังไงก็ต้องมีความทุกข์รออยู่ข้างหน้าง่ายๆ นะแค่เมื่อคืนกินเหล้ามากไปหน่อยเช้าขึ้นมาก็ปวดหัว อย่างไรก็รับวิบากใครเคยกินเหล้า มีไหม ไหน เคยกินจนเมามีไหมไม่ว่าทำอกุศลใดใด เล็กๆน้อยๆ มันก็มีผลในทางไม่ดีเกิดขึ้นเสมอแหละอย่างน้อยก็สะสมสันดานที่ไม่ดีอย่างเด็กๆ มีหนังสติ๊ก ใครเคยเล่นหนังสติ๊ก มีไหมทีแรกก็ยิงสัตว์ตัวเล็กๆ ก่อน ต่อไปก็ยิงตัวใหญ่ๆ ขึ้นทำอกุศลก็สะสมความเคยชิน อย่างน้อยก็มีผลเป็นความเคยชินถ้าเดินหัวชนกำแพง ยังไงก็เจ็บเมื่อทำเหตุก็ต้องมีผลเราอยากได้ความสุข ก็ทำเหตุให้ได้รับความสุข ทำกุศลไว้ถ้ากุศลถึงพร้อม เราจะมีความสุขเยอะมากเลย มีความสุขกุศล แปลว่า ฉลาดไม่ใช่แค่ทำดีเฉยๆ นะ ต้องทำด้วยความฉลาดทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ถึงจะเป็นกุศลอันใหญ่ถ้าทำบุญไม่ประกอบด้วยสติปัญญา ก็เป็นบุญเล็กน้อยถ้าประกอบด้วยสติปัญญาขึ้นมา เป็นบุญใหญ่อย่างตื่นเช้าเราไปใส่บาตร ใจอยากทำบุญถ้าไม่ประกอบด้วยสติปัญญาไม่เห็นว่าเราต้องต่อสู้กับกิเลสหลายตัว กว่าจะใส่บาตรได้อันแรกเลย ขี้เกียจตื่นใส่บาตรไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนกรุงเทพฯคนกรุงเทพฯ นอนดึกขึ้นทุกทีแล้วกลางคืนไม่นอน เอาเวลากลางคืนไปทำชั่วบ้าง กลุ้มใจบ้างเช้าตื่นไม่ไหว คนไหนใส่บาตรได้โอ๋ แทบจะเป็นวีรสตรี ไม่พูดถึงวีรบุรุษหรอก ผู้ชายไม่ค่อยใส่หรอกส่วนมากคนใส่บาตรผู้หญิง ตื่นเช้าขึ้นมาคิดจะใส่บาตรถ้ามีปัญญาขึ้นมา เห็นความขี้เกียจของตัวเองนะนี่เจริญปัญญาตั้งแต่เช้า

พระธรรมเทศนา ณ สวนสันติธรรม๑ มกราคม ๒๕๕๓

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดื่มเติมออกซิเจนหลังหมดสติ


เกี่ยวเนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจ ที่อาจทำให้ผู้หมดสติขาดออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จึงนำสูตรเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการหมดสติแล้วได้รับการช่วยเหลือจากการทำ CPR เพื่อดื่มฟอกโลหิต เพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ และเนื้อเยื่อ โดยต้องอาศัยคุณค่าของสารอาหารที่มีอยู่ใน มะนาว ส้ม บีตรูต แครอต ผักโขม และรากขิง มะนาว เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี และกรดซิตริก เป็นอาหารชนิดเดียวในโลกที่มีประจุลบ สามารถปรับสภาพร่างกายให้มีความเป็นด่าง ทั้งยังช่วยให้ตับผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดี ส่วน ส้ม ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะคุณค่าจากเบตาแคโรทีน วิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์ สังกะสี โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส สำหรับ บีทรูต มีวิตามินบี1 บี2 และบี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี ช่วยบำรุงรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง เสริมประสิทธิภาพการรับออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง และเพิ่มออกซิเจนให้แก่เซลล์ได้สงถึง 400 เปอร์เซ็นต์ ใน แครอท แหล่งรวมเบตาแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และคลอรีน ดีต่อระบบโลหิต และจำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ขณะที่ ผักโขม เปี่ยมคุณค่าที่ดีต่อตับ เลือด ถุงน้ำดี เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ คลอโรฟีลล์ เบตาแคโรทีน วิตามินบี6 วิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และโซเดียม แต่ก็ไม่ควรดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของผักโขมเกินกว่า 1 แก้วต่อสัปดาห์ เนื่องจากกรดอ็อกซาลิกที่มีอยู่ในผักโขมจะไปสกัดการดูดซึมแคลเซียม ส่วน ขิง นั้น มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น สำหรับส่วนที่นำมาใช้ในเครื่องดื่ม คือ ราก ออกรสหวานเผ็ด ร้อนขม ขับเสมหะได้ดีส่วนผสมข้างต้นต้องเตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้...
ส้ม 2 ผล
ผักโขม 1 ถ้วย
บีตรูต 1 ถ้วย
มะนาว 2 ผล
แครอต 1 ถ้วย
รากขิง 1 ชิ้น
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
ขั้นตอนการปรุง เริ่มที่การนำผักและผลไม้ทั้งหมดไปล้างให้สะอาด จากนั้นนำส้มและมะนาวไปคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนแครอตให้ขูดเป็นเส้นเล็ก ๆ รากขิงทุบพอแตก บีตรูตหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก แล้วจึงนำส่วนผสมทั้งหมดมาสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ สามารถเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความสดชื่น หรือจะฝานมะนาวเป็นแว่นบาง ๆ เพื่อตกแต่งขอบแก้วเครื่องดื่มให้ดูมีสีสันเพิ่มขึ้น.

วาสโก ดา กามา


วาสโก ดา กามา (โปรตุเกส: วาชกู ดา กามา - Vasco da Gama ประมาณ พ.ศ. 2003-2068) นักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองซีนิช แคว้นอาเลงเตชู ประเทศโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียหว่างปี พ.ศ. 2040-42 โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2031
วาสโก ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์
มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก
ต่อมา อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วาสโก ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่
กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย แต่ต่อมาไม่นาน วาสโก ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
วาสโก ดา กามา มีชีวิตอยู่ใน
สมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)th:ยุคแห่งการสำรวจ

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เฟอร์ดินันท์ แมคเจลแลนด์


ผู้ค้นพบหมู่เกาะฟิลิปปินส์เป็นคนแรก และ ผู้ที่เดินเรือรอบโลกสำเร็จเป็นคนแรก
คือ เฟอร์ดินันท์ แมคเจลแลนด์ เป็นชาวโปรตุเกส

Y2K

ในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญในการนำมาใช้งานเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงานในทุกๆด้านของโลกปัจจุบันทั้งงานของรัฐบาลบริษัทเอกชน องค์กรต่างๆ ทั่วโลก หน่วยงานต่างๆเหล่านี้กำลังเผชิญกับปัญหาจากระบบคอมพิวเตอร์ อันสืบเนื่องมาจากการมาถึงของปี ค.ศ. 2000 หรือที่ เรียกกันว่า " ปัญหาY2K " หรือ " ปัญหา MilleniumBug "ซึ่งทุกวินาที่ที่ผ่านไปในปี ค.ศ.1999นี้ล้วนมีความ หมายต่อความอยู่รอดของทุกองค์กรเป็นปัญหาทางธุรกิจและอุสาหกรรมจึงมีสื่อหลายแขนงที่ คอยให้ข้อมูลในการแก้ปัญหาY2Kสำหรับภาคอุตสาหกรรมซึ่งสำคัญมาในแต่ละประเทศก็ได้รับ ความสนใจไม่น้อยเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางไมโครโพรเซสเซอร์(Microprosseser) ได้เข้าไป อยู่ในทุกโรงงานอาทิเช่น ในอุปกรณ์ควบคุมอย่าง PLC และระบบอัตโนมัติทั้งหลาย ,ระบบรักษา ความปลอดภัย ,ระบบควบคุมลิฟต์ ,ระบบควบคุมคลังสินค้า ,ระบบป้องกันเพลิงไหม้ และระบบ อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆอีกมากที่ต้องได้มีการประเมินและสำรวจ ปัญหาY2K จึงน่าเป็นห่วงมากถ้าขาดความสนใจจากผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเพราะความเสียหายที่ จะเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1999 อาจร้ายแรงเกินกว่าจะรับมือได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจ กล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ตั้งไว้ตั้งแต่มีระบบคอมพิวเตอร์เกิดขึ้น บทความนี้จึงต้องการให้ ผู้ดำเนินธุรกิจและองค์กรต่างๆเริ่มต้นแก้ปัญหาได้ถูกต้องและรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปัญหา Y2K แสดง ผลในปี ค.ศ. 2000
ย้อนหลังไปเมื่อคอมพิวเตอร์ได้รับการออกแบบขึ้นนั้น การเขียนโปรแกรม หรือsoftware จะมีการเก็บข้อมูลเวลาในรูปแบบ DD/MM/YY โดยที่ YY แทนปี ค.ศ. 19YY เช่น 84 แทนปี ค.ศ. 1984 เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจมองว่าประหยัดแค่ 2 หลัก แต่หากมองเป็นระบบใหญ่ๆ ก็จะประหยัดได้มากเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน เนื่องจากในสมัยนั้นราคาของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหลายมีราคาสูงกว่าปัจจุบันมาก ผลที่กำลังจะเกิดขึ้นจากเหตุผลดังกล่าวของการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเลขปี 2 ตำแหน่งนี้เกิดความสับสน และไม่รู้ของระบบหรือแอพพลิเคชั่นโปรแกรมที่ต้องใช้วันที่ในการคำนวณ เปรียบเทียบ จัดเรียงลำดับเมื่อการก้าวข้ามของเวลาจาก 1999 ไปสู่ 2000 แต่ระบบจะรับรู้ในรูปเลข 2 หลักคือ 99 ไปสู่ 00 โดย 00 นี้ระบบไม่รู้ว่าเป็นปี 2000 ตรงนี้เองทำให้เกิดผลลัพธ์ในการทำงานที่ผิดพลาดได้
ปัญหาเทคนิคง่าย ๆ ดังกล่าวนั้นแทรกตัวอยู่อย่างซับซ้อนในการทำงานต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแผนในการรับมือต่างๆ ซึ่งตัวอย่างของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายชี้ว่ามีโอกาสสูงที่จะมีปัญหาการทำงานเมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 เช่น
1. แหล่งผลิตภัณฑ์งานต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า , โรงงานกลั่นน้ำมัน ซึ่งที่สวีเดนมีข่าวว่าได้ประกาศจะปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าปรมาณู ชั่วคราวระหว่างปลายปี ค.ศ. 1999 ถึงต้นปี ค.ศ. 2000 เพราะได้จำลองสถานการณ์ปี ค.ศ.2000 แล้วพบว่าระบบการส่งน้ำซึ่งเป็นระบบที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเตาปรมาณู จนมีปัญหา Y2K แล้วถ้าไม่แน่ใจว่าจะแก้ได้เต็มที่ก็ควรจะเปิดเตาดังกล่าวแล้ว
2. ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ได้แก่ ระบบสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบสื่อสารข้อมูลผ่านเคเบิ้ลใต้น้ำ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ต
3. ระบบคมนาคม ได้แก่ ระบบควบคุมการเดินเรือ , ระบบควบคุมทางจราจรทางอากาศ , ระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจร รวมไปถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งเพื่อโปรแกรมการทำงานในยานพาหนะต่าง ๆ ทั้งในรถยนต์ เครื่องบิน เรือเดินทะเล
4. ระบบการสาธารณสุข ได้แก่ อุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ , เครื่องฉายรังสี , เครื่องผลิตไฟฟ้าฉุกเฉินในโรงพยาบาล , อุปกรณ์และระบบในการผลิตยา
5. ระบบการเงินทางธนาคาร ได้แก่ ระบบบัญชีต่าง ๆ , ตู้ ATM
6. ระบบการประปาและระบบระบายน้ำทิ้ง มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบระบายน้ำรวมไปถึงเครื่องมือวิเคราะห์น้ำ
7. ระบบการผลิตจัดเก็บและการจำหน่าย ได้แก่ โรงงาน , ร้านค้า , ซูเปอร์มาร์เก็ตยุคใหม่ที่มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิต ,ควบคุมรายการวัสดุและสินค้าในสต๊อก ,การชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
8. ระบบควบคุมอาคาร ได้แก่ ระบบลิฟต์ , ระบบไฟฟ้า , ระบบควบคุมกระแสไฟฟ้า , ระบบปรับอากาศ , ระบบเตือนภัย และรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย , ระบบสัญญาณกันขโมย
9. ระบบการทำงานในโรงงาน ทั้งระบบการผลิต การจัดเก็บวัสดุสินค้า , ระบบควบคุมอาคาร รวมถึงระบบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องมือ เครื่องจักร หรือโรงงานที่เรียกกันว่าระบบแบบฝังตัว (Embedded System)

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เกร็ดน่ารู้ วิธีผ่อนคลาย แบบง่ายๆ


1. การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า จะทำให้ผิวหน้าดูสดใส : ให้เอาปลายนิ้วมือแตะที่ปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น จะส่งผลทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะและใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นด้วย
2. ฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าไม่ให้แก่ก่อนวัย : หายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวไม่ไห้แก่ก่อนวัยและลดรอยหมองคล้ำ
3. กินส้มช่วยแก้อาการเซ็ง : สาเหตุก็เพราะ การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
4. กินช็อคโกแลต ช่วยลดอาการแก้ไอ : สาเหตุก็เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแลตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท ชื่อเวกัสเนอร์ที่ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
5. กินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลัง : สาเหตุก็เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียก็เพราะ กรดในเลือดสูงร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา การกินบ๊วยจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้
6. กินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น : สาเหตุก็เพราะ ในเนยมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพันซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รู้ไหมว่า สมองแมลงสาบ กับคนเรา ไม่ต่างกันเล้ยย

แปลกใจแมลงสาบกับคนไม่ต่างกัน พากันสมองทึบ ในตอนเช้าทั้งคู่
นักวิจัยมหาวิทยาลัยแวนเดอบิลท์แห่งอเมริกา พบในการศึกษาด้วยความประหลาดใจว่า แมลงสาบก็สมองทึบในช่วงเวลาเช้าเหมือนกับคนเราเหมือนกัน
นักชีววิทยาได้พบว่า พวกมันจะมีสติปัญญาเฉียบแหลมในตอนเย็น แต่ตอนเช้ากลับกลายเป็นไอ้งั่ง พวกเขาได้พบในการทดลองฝึกมันเรียนบทเรียน ใหม่ๆ โดยดูว่ามันจะเรียนรู้ได้ดีในช่วงเวลาใด ปรากฏว่ามันจะจำได้ดีหากว่าเรียนรู้ในตอนเย็น สามารถจำได้นานหลายวัน และยิ่งเรียนตอนกลางคืนยิ่งจำได้ แม่น แต่จะไม่ได้เรื่องเมื่อเรียนตอนเช้า มันแทบจะ จำของใหม่ไม่ได้เลย
รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “สมาคม วิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ศาสตราจารย์เทอรี แอล. เพจวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “นับว่าเป็นที่น่าประหลาดใจมาก ที่ผลการเรียนในตอนเช้าตกต่ำมาก มันน่าคิดว่าเหตุใดสัตว์ถึงไม่อยากเรียนในเวลาหนึ่งเวลาใด เราก็ยังคิดไม่ออก” แต่เขาเชื่อว่าการศึกษาอาจจะทำให้ล่วงรู้ถึงความเกี่ยวพันของความจำและการเรียนรู้ ที่เกี่ยวข้องกับนาฬิกาชีวภาพ ทั้งของสัตว์และของมนุษย์ได้

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

♣ ก่อนที่มัน .. จะสายเกินไป ♣


เคยไหม...เวลาที่จะบอกรักใครสักคน
ต้องรวบรวมทั้งแรงใจและแรงกาย
กว่าจะได้มาซึ่ง "ความรัก" "ความสุข" และ "กำลังใจ" ที่ยิ่งใหญ่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
ความรู้สึกต่างๆ ก็ค่อยๆ จืดจางลง
ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมันเกิดขึ้นจากอะไร
อยากถามนะอยากถาม แต่ใจมันไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก
อาจเพราะกลัวคำตอบ กลัวความจริงที่กำลังจะเผชิญ
การยื้อคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
จนปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ
ไม่มีการเอ่ยปาก ไม่มีการติดต่อทวงถาม
มีแต่การรอคอย คอยให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมา
แต่การรอจากใครบางคนนี่แหละ
ที่มันเหนื่อย มันทรมาน และท้อแท้ยิ่งกว่าสิ่งใด
ทำไม...ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป
ไม่ลองหันหน้ามาคุยกันสักครั้ง
เพื่ออะไรๆ ที่ค้างคาใจ จะพบกับแสงสว่าง
เพราะเวลาไม่เคยย้อนกลับมาให้เราแก้ไขอดีต

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หมู่เกาะพีพี


อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี
ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองทะเล ตำบลไสไทย ตำบลอ่าวนาง และตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีพื้นที่ 242,437 ไร่ เป็นพื้นน้ำประมาณ 200,849 ไร่ มีป่าไม้ 3 ประเภท คือ ป่าดงดิบชื้น พบเห็นได้บริเวณเขาสูงชันบริเวณเขาหางนาค เขาอ่าวนาง ป่าชายเลน จะพบบริเวณคลองแห้ง ใกล้ที่ทำการอุทยานฯ คลองย่านสะบ้า และด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณสุสานหอย 40 ล้านปี และป่าพรุ ที่พบต้นเสม็ดขึ้นอยู่อย่างสมบูรณ์ มีสัตว์ต่าง ๆ ที่พบในอุทยานฯ ได้แก่ นกโจรสลัด เหยี่ยวแดง นกออก นกนางแอ่นกินรัง หมูป่า ลิง และค่าง สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวคือเดือนพฤษภาคม - เดือนเมษายน
อุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ คือ
หาดนพรัตน์ธารา อยู่ห่างจากตัวเมือง 17 กิโลเมตร ชายหาดมีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เดิมชาวบ้านเรียกว่า “หาดคลองแห้ง” ทั้งนี้เพราะเมื่อน้ำลง น้ำคลองที่ไหลมาจากภูเขาทางด้านเหนือจะแห้งขอดกลายเป็นหาดทรายยาวเหยียดทอดลงไปในทะเล บรรจบกับเกาะเขาปากคลอง บริเวณหาดเป็นทรายละเอียดปะปนด้วยเปลือกหอยเล็ก ๆ ประดับด้วยทิวสนเรียงรายตามชายทะเลยาวเหยียด เมื่อน้ำลงจนแห้งสามารถเดินไปยังเกาะเล็ก ๆ บริเวณหน้าชายหาดได้ นอกจากนั้นบริเวณชายหาดมีที่พักของอุทยานฯ บริการแก่นักท่องเที่ยว โทร. 0 7563 7200 จากที่ทำการอุทยานฯ เดินเท้าไปตามชายหาดด้านทิศตะวันตก มีบังกะโลหลายแห่งให้บริการนักท่องเที่ยว ชายหาดบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่ชาวกระบี่นิยมไปเที่ยวพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์ ยังไม่มีถนนตัดเลียบชายหาด
สุสานหอย อยู่บริเวณชายทะเลบ้านแหลมโพธิ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 17 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปหาดนพรัตน์ธารา เมื่อถึงบ้านไสไทย จะมีป้ายบอกทางไปสุสานหอย บริเวณที่เป็นสุสานหอยแห่งนี้ เดิมเป็นหนองน้ำจืดขนาดใหญ่ มีหอยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหอยขม มีขนาดราว 2 เซนติเมตร ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณพื้นผิวโลก น้ำทะเลไหลเข้ามาท่วมบริเวณหนองน้ำจนหมด ทำให้ธาตุหินปูนในน้ำทะเลหล่อเปลือกหอยใต้น้ำจนเป็นเนื้อเดียวกัน กลายเป็นแผ่นหินแข็งที่เรียกว่า Shelly Limestone หนาประมาณ 40 เซนติเมตร เมื่อแผ่นดินบริเวณนี้ถูกยกตัวขึ้นสูง ซากฟอสซิลเหล่านี้จึงปรากฏให้เห็นเป็นลานหินกว้างใหญ่ยื่นลงไปในทะเล จากการคำนวณหาอายุทางธรณีวิทยาพบว่า ฟอสซิลนี้มีอายุราว 40 ล้านปี
อ่าวนาง อยู่ห่างจากหาดนพรัตน์ธารา ตามถนนเลียบชายทะเลระยะทาง 6 กิโลเมตร เป็นชายหาดยาว มีที่พักร้านค้า บริษัทนำเที่ยว บริการหลายแห่ง ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามแปลกตาด้วยภูเขาหินปูนตระหง่าน จากอ่าวนางสามารถเช่าเรือไปเที่ยวชายหาดด้านทิศตะวันออกได้แก่ หาดไร่เล ซึ่งเป็นหาดทรายสีขาวละเอียด และ หาดถ้ำพระนาง ซึ่งมีถ้ำหินงอกหินย้อยและกิจกรรมปีนหน้าผาที่น่าตื่นเต้น ท้องทะเลในบริเวณอ่าวนางมีเกาะใหญ่น้อยกว่า 83 เกาะ บางเกาะมีรูปร่างประหลาดคล้ายรองเท้าบู๊ท เรือสำเภา หัวนก เกาะที่มีหาดทรายสวยงามและคนนิยมไปเที่ยวเล่นน้ำชมปะการังได้แก่ เกาะปอดะ เกาะหม้อ และเกาะทัพ
สำหรับค่าโดยสารเรือจากอ่าวนางไปยังหาดและเกาะต่าง ๆ เช่น อ่าวนาง-ไร่เล ใช้เวลา 10 นาที ค่าโดยสารคนละ 50 บาท อ่าวนาง-ถ้ำพระนาง ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสารคนละ 50 บาท อ่าวนาง-เกาะปอดะ ใช้เวลา 25 นาที ไป-กลับ ค่าโดยสารคนละ 200 บาท อ่าวนาง-เกาะไก่ ไป-กลับ ใช้เวลา 25 นาที ค่าโดยสารคนละ 250 บาท อ่าวนาง-หมู่เกาะห้อง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ราคาค่าเรือลำละ 1,500 บาท สำหรับเวลากลางคืน อ่าวนาง-ไร่เล ค่าโดยสารคนละ 80 บาท สามารถเช่าเรือได้ตั้งแต่เวลา 07.00–19.00 น.
การเดินทางไปอ่าวนางจากตัวเมืองกระบี่ นักท่องเที่ยวสามารถโดยสารรถสองแถว ค่าโดยสาร 20 บาท ใช้เวลาประมาณ 45 นาที หรือหากต้องการเดินทางจากตัวเมืองกระบี่ไปยังหาดไร่เลโดยตรง สามารถโดยสารเรือได้ที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสารคนละ 70 บาท
*** หมายเหตุ: ราคาค่าโดยสารอาจมีการเปลี่ยนแปลง
หมู่เกาะปอดะ อยู่ทางทิศใต้ของอ่าวนาง ห่างจากฝั่งประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นเกาะที่มีหาดทรายขาว น้ำทะเลใส บริเวณชายฝั่งของเกาะจะมองเห็นแนวปะการังหลากชนิดที่ยังสมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งดึงดูดของนักท่องเที่ยวให้เที่ยวชมได้เกือบตลอดปี และเป็นจุดที่ตกปลาได้ดีเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากลมมรสุมมากนัก สามารถเช่าเรือได้จากบริเวณอ่าวนาง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที ใกล้ ๆ กับเกาะปอดะเป็นที่ตั้งของเกาะทัพ เกาะหม้อ เกาะหัวขวาน เกาะไก่ ซึ่งมีสันทรายเชื่อมต่อกันสวยงามมองเห็นได้เวลาที่น้ำลง
หมู่เกาะพีพี เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 42 กิโลเมตร เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า “ปูเลาปิอาปิ” คำว่า “ปูเลา” แปลว่าเกาะ คำว่า “ปิอาปิ” แปลว่าต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม และโกงกาง ต่อมาเรียกว่า “ต้นปีปี” ซึ่งภายหลังกลายเสียงเป็น “พีพี” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งบุปผาใต้สมุทรนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อดำน้ำดูปะการังดอกไม้ทะเล และปลาหลากสีสันที่สวยงาม นอกจากนั้นยังมีเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือ กระบี่-ภูเก็ต-หมู่เกาะพีพี ประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะบิดะนอก และเกาะบิดะใน ซึ่งแต่ละเกาะมีหาดทรายสวย น้ำทะเลใส

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของหมู่เกาะพีพี เกาะพีพีดอน มีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร จุดเด่นของเกาะคือเวิ้งอ่าวคู่ที่มีความสวยงามติดอันดับโลกของอ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัม อ่าวต้นไทรเป็นที่ตั้งของท่าเรือเกาะพีพี และมีสถานที่พักและร้านค้าจำนวนมาก จากอ่าวต้นไทรสามารถเดินขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวคู่ได้ เกาะพีพีดอนยังมีหาดทรายและอ่าวที่สวยงามกระจายอยู่รอบเกาะ บางแห่งมีที่พักบริการ เช่น หาดแหลมหิน หาดยาว อ่าวโละบาเทา ทางเหนือของเกาะคือ แหลมตง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวเลประมาณ 15-20 ครอบครัว ส่วนใหญ่อพยพมาจากเกาะลิเป๊ะ ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่จังหวัดสตูล บริเวณแหลมตงมีธรรมชาติใต้ทะเลที่สวยงามและบนหาดมีที่พักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือเที่ยวหรือดำน้ำดูปะการังรอบเกาะพีพีดอนและเกาะพีพีเลได้ ราคาประมาณ 1,500 บาทต่อลำต่อวัน
เกาะพีพีเล มีพื้นที่เพียง 6.6 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน มีหน้าผาสูงชันตั้งฉากกับผิวทะเลโดยรอบเกือบทั้งเกาะ มีพื้นน้ำลึกเฉลี่ยประมาณ 20 เมตร มีบริเวณน้ำลึกที่สุดประมาณ 34 เมตรอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ เกาะแห่งนี้มีเวิ้งอ่าวสวยงาม อาทิ อ่าวปิเละ อ่าวมาหยา อ่าวโละซามะ นอกจากนี้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังมีถ้ำไวกิ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้ และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “ถ้ำพญานาค” ตามรูปร่างหินก้อนหนึ่งที่คล้ายเศียรพญานาค อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านที่มาเก็บรังนกนางแอ่นบนเกาะแห่งนี้ ภายในถ้ำทางทิศตะวันออกและทิศใต้พบภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ เป็นรูปช้างและรูปเรือชนิดต่างๆ เช่น เรือใบยุโรป เรือใบอาหรับ เรือสำเภา เรือกำปั่น เรือใบใช้กังหัน และเรือกลไฟ เป็นต้น สันนิษฐานว่าภาพเขียนเหล่านี้เป็นฝีมือของนักเดินเรือหรือพวกโจรสลัด เพราะจากการศึกษาเส้นทางเดินเรือจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก บริเวณนี้อาจเป็นจุดที่เรือสามารถแวะพักหลบลมมรสุมขนถ่ายสินค้าหรือซ่อมแซมเรือได้
เกาะยูง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน มีชายหาดเป็นหาดหินอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และมีหาดทรายเล็กน้อยตามหลืบเขา นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังสวยงามชนิดต่าง ๆ
เกาะไม้ไผ่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน ไม่ไกลจากเกาะยูงเท่าใดนัก ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกมีหาดทรายสวยงาม และแนวปะการังซึ่งส่วนมากเป็นแนวปะการังเขากวางทอดยาวไปถึงทางทิศใต้ของเกาะ บนเกาะมีสถานที่กางเต็นท์ สอบถามข้อมูลจากอุทยานฯ

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เกาะล้าน


เกาะล้าน เป็นเกาะในอ่าวไทย อยู่ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี อยู่ห่างชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร นั่งเรือโดยสาร 45 นาที หากเดินทางโดยเรือเร็วใช้เวลาเพียง 15 นาที มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ ดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ เช่น เรือลากร่มชูชีพ เรือสกี สกู๊ดเตอร์ โดยเฉพาะที่หาดตาแหวน หาดทองหลาง หาดนวล และหาดเทียน ส่วนหาดแสมบรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดอื่น บริเวณเกาะล้าน และเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เช่น เกาะครก และเกาะสาก เป็นแหล่งตกปลาดำน้ำดูปะการัง ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ
สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะล้าน
หาดตาแหวน
อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ เป็นหาดทรายยาวประมาณ 750 เมตร มีความงามทางธรรมชาติมาก เพราะมีหาดทรายที่ขาวสะอาดและน้ำทะเลใสสีคราม ปลายหาดทั้งสองด้านยังมีแนวปะการังในระดับน้ำตื้นที่มีสีสันสวยงาม อีกทั้งมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกตั้งเรียงรายตลอดแนวชายหาด
หาดสังวาลย์
เป็นหาดอีกหาดหนึ่งที่อยู่ติดกับหาดตาแหวนมีความยาว 150 เมตร มีความสงบ จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่ชอบนอนอาบแดด หาดสังวาลย์จะสวยงามมากที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม - เมษายน
หาดทองหลาง
เป็นชายหาดขนาดเล็กที่เงียบสงบเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนแบบส่วนตัว กิจกรรมหลักของหาดทองหลางคือการดำน้ำดูปะการัง บริเวณปลายหาดที่เชื่อมต่อกับหาดตาแหวน ทั้ง 2 ด้านนี้ยังมีแนวปะการังน้ำตื้นที่สวยงามและมีบริการเดินชมปะการังใต้น้ำแบบ Sea Walker ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้บริการ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบปะการังแต่ไม่ชอบการดำน้ำที่หาดนี้ยังมีบริการเรือท้องกระจก ให้สามารถลงไปชมปะการังได้อย่างใกล้ชิด
หาดแสม
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ เป็นหาดทรายยาวประมาณ 700 เมตร มีโขดหินและพื้นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์มีความสวยงาม เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและการเล่นน้ำ มีน้ำทะเลสีครามและหาดทรายที่ขาวสะอาด ปัจจุบันมีการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรวมทั้งปลูกต้นไม้ สร้างลานอเนกประสงค์ อาคารร้านค้าร้านขายอาหารที่ได้มาตรฐาน รวมถึงเส้นทางสัญจรที่สามารถเดินทางไปมาได้อย่างสะดวกจึงเป็นชายหาดอีกแห่งหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติแถบยุโรป อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของอาคารปลากระเบนสำหรับควบคุมการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมและโซล่าเซลล์ ทำให้มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเข้ามาศึกษาดูงานการใช้พลังงานทดแทนในสถานที่ดังกล่าวอยู่เป็นประจำ
หาดเทียน
เป็นหาดที่สวยงามแห่งที่สองมีความยาวของหาดประมาณ 500 เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ หาดทรายแห่งนี้มีความสวยงามไม่แพ้หาดตาแหวนแต่มีขนาดเล็กและเงียบสงบจึงเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
หาดนวล
อยู่ทางตอนใต้ของเกาะล้าน เป็นหาดขนาดเล็กยาวประมาณ 250 เมตร เป็นพื้นที่ที่มีกรรมสิทธิ์เป็นของเอกชน สภาพสิ่งแวดล้อมชายหาดเป็นปะการังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เนื่องจากไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากนัก
จุดชมวิวเขานม
เป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเกาะล้านตั้งอยู่บริเวณเขานมใกล้ ๆ กับหาดแสมที่นักท่องเที่ยวสามารถเดิน หรือใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นไปชมความสวยงามของท้องทะเลสีครามกับตัวเมืองพัทยา ที่ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ได้งดงามกลมกลืนดุจภาพวาด ที่ทุกคนต้องประทับใจ และบริเวณนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับนักปั่นจักรยานเสือภูเขาที่ชื่นชอบธรรมชาติ
การเดินทาง มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือแหลมบาลีฮาย
พัทยาใต้ไปเกาะล้านทุกวัน พัทยา-เกาะล้าน (ท่าหน้าบ้าน) เที่ยวไปเวลา 07.00, 10.00, 12.00, 14.00, 15.30, 17.00, 18.30 น. เที่ยวกลับเวลา 06.30, 07.30, 09.30, 12.00, 14.00, 17.00, 18.00 น. อัตราค่าเรือโดยสาร คนละ 30 บาท เรือจอดที่ท่าหน้าบ้าน เรือพัทยา-เกาะล้าน (หาดตาแหวน) เที่ยวไปเวลา 08.00, 09.00, 11.00, 13.00 น. เที่ยวกลับเวลา 13.00, 14.00, 15.00, 16.00 น. หากจะเดินทางต่อไปชายหาดอื่นสามารถเช่าเรือหางยาว หรือรถรับจ้าง
นอกจากนี้ยังมีบริการเรือเร็วให้เช่าอยู่ทั่วไปตามชายหาดพัทยา อัตราค่าเช่าประมาณ 3,000 บาท สามารถแวะเที่ยวได้หลายหาดแล้วแต่จะตกลงกัน

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมมีจุดแดงบนหน้าผากสตรีอินเดีย


จุดแดงที่แต้มกลางหน้าผากเรียกว่า "ติกะ" (Tika) แต่ในบางครั้งอาจเรียกว่า "บินดิ" (Bindi) ซึ่งหมายถึงจุดที่เจิมบริเวณแสกผม โดยใช้นิ้วป้ายขึ้นไปตามรอยแสกผมปัจจุบันจุดบนหน้าผากสตรีอินเดีย อาจเรียกปนกันทั้ง ติกะ และ บินดี สตรีในศาสนาพราหมณ์ฮินดูแต่โบราณนานมา เมื่อแต่งงานแล้วจะแต้มจุดแดงที่กลางหน้าผาก เป็นสัญลักษณ์ของการมีพันธะด้านการครองเรือน ในฐานะผู้เป็นภรรยา ผู้เป็นแม่ สตรีอินเดียถือสามีเสมือนเทพ จะให้ความรักความเคารพอย่างสูงการเจิมหน้าผากจะทำในวันแต่งงาน เมื่อคู่บ่าวสาวเดินรอบกองไฟแล้วพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีวิวาห์ หรือผู้เป็นเจ้าบ่าวจะเจิมหน้าผากให้เจ้าสาวเป็นการประกาศว่าหญิงผู้นั้นเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณีสตรีชาวอินเดียจะต้องมีจุดนี้อยู่ตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ และจะต้องลบออกเมื่อสามีเสียชีวิต ในกรณีที่เลิกร้างกัน สตรีผู้นั้นจะลบจุดออกได้ต่อเมื่อเป็นการเลิกร้างโดยคำสั่งของศาล หากสตรีผู้นั้นลบจุดติกะออกโดยที่สามียังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ได้เลิกกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จะถือว่าเป็นการกระทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ โดยทั่วไปจุดสีแดงนี้จะทำจากมูลวัวที่นำมาเผาและบดจนละเอียดแล้วผสมกับสีแดงชาดที่ได้จากรากไม้ มูลวัวไม่ถือว่าเป็นของสกปรกเพราะวัวเป็นพาหนะของพระเจ้า และกินพืชเป็นอาหารผงสีนี้เรียกว่า "ผงวิภูติ" มีจำหน่ายตามร้านค้า ผงนี้อาจมีการนำไปทำพิธีก่อนนำมาใช้ก็ได้ ลักษณะของจุดติกะมีหลายแบบ เดิมนิยมจุดกลม คนที่ยังสาวจะนิยมจุดเล็กเพราะสวยงามกว่าแต่พออายุมากขึ้นอาจแต้มจุดให้ใหญ่ขึ้น ปัจจุบันมีรูปแบบจุดอื่น ๆ เช่น รูปคล้ายหยดน้ำ หรือเป็นวงกลมและมีรัศมีโดยรอบเหมือนดวงอาทิตย์ ปัจจุบันติกะพัฒนารูปแบบไปมากทั้งรูปทรงและสีสัน บางทีก็ทำเป็นสติกเกอร์เพื่อสะดวกใช้ มีข้อสังเกตว่า ในบางครั้งจุดติกะอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานเพียงอย่างเดียว ติกะถือว่าเป็นสิ่งมงคล ชาวอินเดียบางกลุ่มจะใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่นเวลาไหว้พระ พราหมณ์จะให้ผงวิภูติ ผู้รับจะนำมาเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ก็เป็นการเจิมเพียงชั่วคราวเท่านั้น คนที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมอินเดียมักเข้าใจว่าจุดแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาวอินเดีย จึงมักแต้มจุดแดงเวลาที่แต่งกายเป็นชาวอินเดีย เช่นนางเอกในละครแม้ยังเป็นสาวเป็นแส้ ก็แต้มจุดแดงกับเขาด้วยนี่เป็นเรื่องของการนำมาใช้โดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดแดงจะเป็นวัฒนธรรมของพวกพราหมณ์ฮินดูแต่สตรีชาวอินเดียที่แต่งงานแล้ว และไม่ใช่ชาวฮินดูแท้ ๆ อาจรับวัฒนธรรมนี้ไปใช้ ในชาวอินเดียบางกลุ่ม สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานแล้วอาจเป็นการห้อยสายสร้อยสังวาลมงคล ซึ่งสามีมอบให้

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันตรุษจีน


"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ"

ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย
ความรู้เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
นับเป็นประเพณีนิยม ในวันตรุษจีน ที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชนชาติจีนแผ่นดินใหญ่และพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน นั่นแสดงว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะมีงานรื่นเริง การสวมใสเสื้อสีแดงสด อันเป็นสีที่เป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวจีน อาจจะบอกดว่าเป็นวันครอบครัว ที่จะได้พบปะสังสรรค์ กินเลี้ยงอย่างมีความสุข ...อันเป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยการให้ทาน การทำบุญทำกุศล หรือแม้กระทั่งที่วัดจีนประชาสโมสร ก็มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทำทานในวันขึ้นปีใหม่ นำมาซึ่งความปิติ-มีความสุขเปี่ยมล้น มีผลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ทำงาน-ค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป...เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ ภายในครอบครัว ทุกบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านเรือน ผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสะอ้านสดใส ร้านค้าห้างสรรพสินค้าต่างก็เติมไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพร ในตลาดก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินไปเดินมากันขวักไขว่ ซื้อปลาบ้าง ซื้อเนื้อสัตว์บ้าง ซื้อเป็ดไก่บ้าง ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุข ช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็กๆต่างมีความสุขมาก ต่างสวมเสื้อใหม่ ทานลูกกวาดขนมหวาน เล่นพลุประทัดอย่างรื่นเริง
คืนก่อนวันปีใหม่ คือวันสุดท้ายของปีนั่นเองเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่

ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน
ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น
วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า"Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน


15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน
วันแรกของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะเป็นการต่ออายุและนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตน
วันที่สอง ชาวจีนจะไหว้บรรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข เลี้ยงดูให้ข้าวอาบ น้ำให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันที่สุนัขเกิด
วันที่สามและสี่ เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่พ่อตาแม่ยายของตน
วันที่ห้า เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถือว่าเป็นการนำโชคร้าย มาแก่ทั้งสองฝ่าย
วันที่หก ถึงสิบชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของ ครอบครัว และไปวัดไปวาสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยและความสุข
วันที่เจ็ด ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานำเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิดเพื่อฉลองวันนี้ วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิด ของมนุษย์ในวันนี้อาหารจะเป็น หมี่ซั่วกินเพื่อชีวิตที่ยาวนานและปลาดิบเพื่อความสำเร็จ
วันที่แปด ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์
วันที่เก้า จะสวดมนต์ไหว้และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้
วันที่สิบถึงวันที่สิบสอง เป็นวันของเพื่อนและญาติๆ ซึ่งควรเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น และหลังจากที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยความมัน วันที่สิบสามถือเป็นวันที่เราควรทานข้าวธรรมดากับผักดองกิมกิ ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย
วันที่สิบสี่ ความเป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟซึ่งจะมีขึ้น ในคืนของวันที่สิบห้าแห่งการฉลองตรุษจีน

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันวาเลนไทน์

.. วันวาเลนไทน์ ..
วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุดภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองท่าน นักบุญ วาเลนไทน์ และนักบุญ มาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
.. ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษทำไมจึงมีชื่อว่า “ วันวาเลนไทน์ ” และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลายครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อยความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น 2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต
ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต


วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของสับปะรด


ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือ ทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย
สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด
การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียว ๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน
การรับประทานที่ถูกวิธี คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน
ทราบถึงประโยชน์ของสับปะรดกันแล้ว ก็อย่าลืมหันมารับประทานสับปะรดกันเยอะ ๆ.

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชมพูภูคา


"ชมพูภูคา" หนึ่งเดียวในโลกที่ดอยภูคาดอกชมพูภูคา ต้นไม้ที่มีรายงานว่าพบเพียงแห่งเดียวในโลก ที่ อุทยานฯดอยภูคา จ. น่านช่วงเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรัก สำหรับคนที่มีความรักหลายๆคนคงจะมีโลกที่สดใสมองเห็นอะไรเป็นสีชมพูไปหมด สำหรับที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน ช่วงนี้ก็มีสีชมพูโดดเด่นเช่นกัน แต่ว่าหาใช่สีชมพูที่เกิดจากความรัก หากแต่เป็นสีชมพูที่เกิดจากการผลิบานของดอก "ชมพูภูคา" (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bretschneidera sinensis Hemsl. ชื่อวงศ์ : BRETSCHNEIDERACEAE) ต้นไม้พันธุ์หายากที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีรายงานการค้นพบในโลกเพียงที่เดียวคือที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเคยมีรายงานการสำรวจพบต้นชมพูภูคาทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปแล้ว จนในปี พ.ศ. 2532 ดร.ธวัชชัย สันติสุข นักพฤกษศาสตร์ ได้ค้นพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคาชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-25 เมตร จะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณป่าดงดิบ ตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และมีความชื้นของอากาศสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีค่อนต่ำ สำหรับลักษณะทั่วไปของ "ต้นชมพูภูคา" จะมีเปลือกเรียบสีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวมีใบย่อยรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว แผ่นใบด้านล่างมีนวลสีขาว ส่วนดอกเมื่อบานจะมีลักษณะคล้ายรูประฆัง กลีบดอกด้านนอกมีสีชมพูจางขาว และกลีบดอกด้านในมีสีชมพูลายเส้นสีม่วง ชูช่อเป็นพวงใหญ่ โดยปัจจุบันได้มีการทดลองเพาะกล้าไม้ชมพูภูคาเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็จะช่วยให้ต้นไม้ชนิดนี้ไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกของเรา สำหรับ "ดอกชมพูภูคา" จะออกดอกเบ่งบานระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งผู้ที่สนใจก็สามารถไปชมดอกชมพูภูคา ได้ที่ "อุทยานแห่งชาติดอยภูคา" ซึ่งอุทยานแห่งนี้นอกจากจะมีดอกชมพูภูคาเป็นไฮไลท์แล้วก็ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกอย่างเช่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นบริเวณที่ทำการอุทยานฯ โดยในเส้นทางศึกษาธรรมชาตินี้มีต้นชมพูภูคาเป็นพระเอก ส่วนพระรองก็มี ต้นเต่าร้างยักษ์ ซึ่งเป็นปาล์มที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ มีลำต้นสูงใหญ่กว่าต้นเต่าร้างทั่วไป เมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 8-12 เมตร ดอยภูแว เป็นดอยสูงที่พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้า โดยในช่วงฤดูหนาวมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินขึ้นสู่ยอดดอยภูแวเพื่อชมทิวทัศน์และชมพระอาทิตย์ขึ้น รวมถึงทะเลหมอกที่สวยงามซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งดอย ทั้งนี้ผู้ที่สนใจขึ้นดอยภูแวต้องติดต่อให้เจ้าหน้าที่นำทางป่าปาล์มดึกดำบรรพ์ บริเวณรอบๆ ดอยภูแว มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ไร่ เป็นป่าปาล์มธรรมชาติดงดิบ แทบจะไม่มีพันธุ์ไม้อื่นใดปะปน ซึ่งชาวเขาเผ่าม้งเรียกว่า

คำขวัญของจังหวัดต่าง ๆ ในแต่ละภาค

ภาคเหนือ
ภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออก
ภาคตะวันตก
ภาคใต้

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หินตาหินยาย



เป็นหินขนาดมหึมาตั้งอยู่ชายทะเล มีรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชายและหญิง นับเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะสมุยที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต้องแวะเวียนไปชม ระหว่างทางเดินไปหินตาหินยายยังมีร้านค้าของฝากนานาชนิดให้ซื้อติดมือเป็นที่ระลึก เช่น ผ้าบาติก งานหัตถกรรมจากมะพร้าว กะละแม เป็นต้น
หากเดินจากลานจอดรถผ่านร้านค้าของที่ระลึกไปจะพบลานหินกว้าง มองไปทางขวามือจะเห็นหินตา ซึ่งเกิดจากหินแกรนิตที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำทะเลและความร้อน คล้ายอวัยวะเพศชายขนาดใหญ่ตั้งชี้ฟ้าอยู่ใกล้ชายทะเล นักท่องเที่ยวจะหยุดยืนชมหินตาจากลานหินนี้ ยามเย็นบริเวณลานหินยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์
ตกที่สวยงามมองเห็นพระอาทิตย์ลับไปหลังเนินหิน
ส่วนหินยายอยู่ทางซ้ายมือ เป็นหินแกรนิตขนาดใหญ่มหึมาตั้งอยู่ชายทะเล ลักษณะเหมือนร่างผู้หญิงช่วงตั้งแต่เหนือหัวเข่าไปถึงเอวดดยนอนหันหน้ารับคลื่นลมที่ซัดสาดอยู่เป็นระยะ
มีตำนานเล่าว่า นานมาแล้วมีตายายคู่หนึ่งชื่อตาเครงกับยายเรียม เป็นชาวปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เดินทางโดยเรือใบเพื่อไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่ายที่ จ. ประจวบคีรีขันธ์ ให้แก่ลูกชาย ครั้นเรือแล่นมาถึงแหลมละไม เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือล่ม ทั้งตาและยายได้อธิษฐานว่าขอให้เกิดเป็นสัญลักษณ์ให้ตาม่องล่ายได้ทราบว่าตามาหาแล้ว มิได้ผิดคำสัญญาแต่ประการใด ดังนั้นเมื่อตาและยายเสียชีวิต คลื่นได้ซัดร่างมาเกยชายหาด กลายมาเป็นหินตาและหินยายจนถึงปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)


ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรีย เชื้อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2399 ในจักรวรรดิออสเตรียซึ่งปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเช็ก และเสียชีวิตวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2482 รวมอายุ 83 ปี ครอบครัวมีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ แล้วเรียนต่อสาขาแพทยศาสตร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบว่าความจริงแล้วคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากอัมพาต
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ศึกษาวิเคราะห์จิตใจของมนุษย์ และอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ
1. จิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ ได้แก่ การแสดพฤติกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง
2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ แต่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรมในขณะนั้น เป็นส่วนที่รู้ตัวสามารถดึงออกมใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
3. จิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ แต่มีอิทธิพลจูงใจพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด
เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และ ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) โดย อิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ ซุปเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซุปเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน

ปลาพลวง

ปลาพลวง (พลวงหิน หรือ ปลามุง)
Soro Brook Carp
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Tor soro

ลักษณะทั่วไป : มีขนาดลำตัวยาวด้านข้างแบน มีเกล็ดขนาดใหญ่ หัวเล็ก กระโดงหลังค่อนข้างสูง ครีบหูมีขนาดเล็ก ครีบท้องและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ลำตัวมีสีน้ำตาลปนเขียว ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ๆ ละ 10 - 20 ตัว มีขนาดความยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร

ถิ่นอาศัย : ชอบอยู่บริเวณน้ำตก และลำธารบนภูเขา พบทั่วไปทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อาหาร : แมลง พืช และผลไม้
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ : รักสงบ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง
สถานที่ชม : สวนสัตว์เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โอเอซิส ซีเวิลด์



โอเอซิส ซีเวิลด์ ได้เปิดดำเนินการและจดทะเบียนในนาม บริษัท โอเอซีส ซีเวิลด์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2533 โดยมีจุดกำเนิดและความเป็นมาเริ่มต้นจากความสงสารและต้องการอนุรักษ์โลมา ของคุณวิชัย วัฒนพงศ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท โอเอซิส ซีเวิลด์ จำกัดจากการที่ได้พบว่ามีโลมาติดอวนของชาวประมง ในบางครั้ง แล้วนำมาชำแหละเนื้อขายในราคากิโลกรัมละ 20-30 บาท คุณวิชัยเกิดการรู้สึกสงสารและคิดที่จะช่วยอนุรักษ์โลมาไทยเหล่านี้จึงได้เริ่มศึกษาและทดลองช่วงปลายปี 2531 โดยขอซื้อโลมาที่ติดอวนของชาวประมงแต่ยังไม่ขายนำมา เลี้ยงในบ่อเลี้ยงกุ้งที่อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นการชั่วคราว ช่วยรักษาบาดแผลที่เกิดจากอวนและการขนส่งจนหายดี
จากการสัมผัสและดูแลอย่างใกล้ชิด พบว่า โลมาเป็นสัตว์ที่น่ารัก เลี้ยงดูง่าย เรียนรู้ได้รวดเร็วและโลมาสามารถกินอาหารจากมือผู้เลี้ยงได้ภายในระยะเวลาเพียง 20 วัน จึงได้ขยายแนวความคิดไปในรูปแบบของการขยายพันธุ์ การแสดงโชว์ ดังเช่นในต่างประเทศ
หลังจากได้ทดลองเลี้ยงโลมารุ่นแรกจำนวน 4 ตัว และได้ผลดีสามารถรักษาบาดแผลต่างๆ ที่โลมาได้รับจากทะเล และการติดอวน ควบคุมโรคและรักษาการเจ็บป่วย รวมถึงการดูแลให้อาหารที่เหมาะสมได้ จึงได้มีการรับโลมาที่บาดเจ็บและติดอวนมาเพื่อนำมารักษาและเลี้ยงดูมากขึ้น ปัจจุบันมีโลมาที่มีความสมบูรณ์เป็นพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ จำนวนมากทั้งสองสายพันธุ์ คือพันธุ์ปากขวดสีชมพู ( Indo-Pacific Humpback Dolphin ) และพันธุ์หัวบาตร ( Irrawaddy Dolphin )
จากการเลี้ยงดูที่ดีในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม โอเอซีสฯ มีลูกโลมาเกิดขึ้นหลายตัว ซึ่งลูกโลมาทุกตัวอยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงเป็นปกติ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการเลี้ยงดู และการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ปัจจุบันมีลูกโลมาหลายตัวที่เติบโตขึ้นและสามารถแสดงโชว์ เป็นดาราเอกของโอเอซีส ซีเวิลด์ เช่น สิงห์สมุทรและพุดซ้อนในชุดสกีโลมา, น้องเอ กับการกระโดดลอดห่วงกว่า 5 ห่วง
ปัจจุบัน โอเอซีส ซีเวิลด์ เปิดการแสดงโชว์ทุกวัน ซึ่งโลมาสามารถแสดงกิจกรรมเด่นๆในการโชว์กว่า 30 รายการ นอกจากนี้ ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสกับโลมาอย่างใกล้ชิด โดยการเล่นน้ำกับโลมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้มาเยือนซึ่งเป็นคนไทย และชาวต่างชาติเป็นอย่างมากและบริษัทฯ ยังคงดำเนินการและพัฒนาต่อไป เพื่อให้โอเอซีส ซีเวิลด์ เป็นโลกของโลมา นำชื่อเสียงสู่คนไทย ด้วยความภาคภูมิใจใน "การฝึกโลมาพันธุ์ไทย โดยคนไทย รูปแบบไทย"
นอกจากนี้ โอเอซีส ซีเวิลด์ ได้ขยายโครงการในการเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ด้วยการเปิดเพื่อเป็นแหล่งความรู้ของเยาวชนโดยผ่าน Dolphin Camp ทั้งการเข้าค่ายลูกเสือ การลงฐานผจญภัย และการเข้าค่ายแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจหรือการจัดสถานที่สำหรับประชุม รวมถึงการให้บริการแบบครบวงจรทั้งที่พัก และร้านอาหารท่องนที
ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ : บริษัทโอเอซีส ซีเวิลด์ จำกัด 48/2 หมู่ 5 ต.ปากน้ำ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี 22130โทรศัพท์ (039) 399-015, 363-238-9 โทรสาร (039) 399-015

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมนกเพนกวินถึงบินไม่ได้?

นกเพนกวินเป็นนกที่บินไม่ได้ เพราะมีการดัดแปลงอวัยวะสำหรับใช้ในการบินเป็นใช้เพื่อการว่ายน้ำ และยังสามารถเดิน วิ่ง กระโดดและปีนป่ายได้เป็นอย่างดีบนก้อนน้ำแข็ง
อันเนื่องมาจากเพนกวิมีนิ้วเท้าที่มีพังพืดและมีเล็บที่แข็งแรงใช้สำหรับว่ายน้ำมีหางไว้ใช้เป็นหางเสือ และใช้ทำให้ก้อนน้ำแข็งแตกได้ง่าย
นกเพนกวินมีขนสั้น ๆ ปกคลุมตัว ปลายขนจะคลุมทับกันแน่นคล้ายกระเบื้องมุงหลังคา
ทำให้ป้องกันน้ำเข้าถึงผิวหนังและทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งเราสามารถพบเจอนกเพนกวินตามธรรมชาติได้ที่ทะเล มหาสมุทร เฉพาะทางซีกโลกใต้เท่านั้น
นกเพนกวินเป็นสัตว์สังคม พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นฝูง ส่งเสียงดังเพื่อช่วยในการติดต่อสื่อสาร และมีความสามารถในการว่ายน้ำได้เร็วถึง 8-16 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทีเดียว 0.0
อาหารของนกเพนกวิน ได้แก่ ปลา ปลาหมึกขนาดเล็ก หอยและกุ้ง นั้นเอง >"< คงหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมหละ? ถึงเพนกวินจะบินไม่ได้แต่ก็สามารถทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย >"<


ที่มา : student

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดอกไม้ประจําวันเกิด

เกิดวันอาทิตย์
ต้นไม้ประจำวันเกิดเป็น ต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิดเป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือลัน เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย
เกิดวันจันทร์
ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน
เกิดวันอังคาร
ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุขดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้
เกิดวันพุธ
ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพดอกไม้ประจำวันเกิดคือ คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน
เกิดวันพฤหัสบดี
เธอที่เกิดวันนี้ มีต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ
เกิดวันศุกร์
ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน ส่วนดอกไม้ที่ถูกแลกโชคดีของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือหรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง
เกิดวันเสาร์
จะมีต้นไม้พวก ตันกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด และดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมฝนจึงตกเป็นเม็ด

ฝน (rain) เป็นรูปแบบหนึ่งของการตกลงมาจากฟ้าของน้ำ นอกจากฝนแล้วยังมีการตกลงมาในรูป หิมะ เกล็ดน้ำแข็ง ลูกเห็บ น้ำค้าง. ฝนนั้นอยู่ในรูปหยดน้ำซึ่งตกลงมายังพื้นผิวโลกจากเมฆ. ฝนบางส่วนนั้นระเหยกลายเป็นไอก่อนตกลงมาถึงผิวโลก ฝนชนิดนี้เรียกว่า "virga"ฝนที่ตกลงมานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฏจักรของอุทกวิทยา ซึ่งน้ำจากผิวน้ำในมหาสมุทรระเหยกลายเป็นไอ ควบแน่นเป็นละอองน้ำในอากาศ ซึ่งรวมตัวกันเป็นเมฆ และในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง ไปสู่ทะเล มหาสมุทร และวนเวียนเช่นนี้เป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุดปริมาณน้ำฝนนั้นวัดโดยใช้ มาตรวัดน้ำฝน โดยเป็นการวัดความลึกของน้ำที่ตกลงมาสะสมบนพื้นผิวเรียบ สามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.25 มิลลิเมตร หรือ 0.01 นิ้ว บางครั้งใช้หน่วย ลิตรต่อตารางเมตร (1 L/m² = 1 mm)หยาดน้ำฝนนั้น ในการ์ตูนมักจะถูกวาดเป็นรูปหยาดน้ำตา คือ ก้นกลมและปลายบนแหลม ซึ่งไม่ถูกต้องในความเป็นจริง หยาดฝนเม็ดเล็กนั้นจะมีรูปเกือบเป็นทรงกลม ส่วนเม็ดฝนที่ใหญ่ขึ้นก็จะมีรูปร่างที่ค่อนข้างแบนคล้ายขนมปังแฮมเบอเกอร์ ส่วนเม็ดที่ใหญ่มากๆนั้นจะมีรูปร่างคล้ายร่มชูชีพ โดยเฉลี่ยแล้วเม็ดฝนนั้นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ถึง 2 มิลลิเมตร เม็ดฝนที่ใหญ๋ที่สุดที่ตกลงถึงผิวโลกนั้น ตกที่ ประเทศบราซิล และ เกาะมาร์แชล ในปี ค.ศ. 2004 โดยมีขนาดใหญ่ถึง 10 มิลลิเมตร ขนาดใหญ่ของเม็ดฝนนี้เนื่องมาจากละอองน้ำในอากาศที่มีขนาดใหญ่ หรือ จากการรวมตัวกันของเม็ดฝนหลายเม็ด เนื่องมาจากความหนาแน่นฝนที่ตกลงมาโดยปกติแล้ว ฝนจะมีค่า pH ต่ำกว่า 6 เล็กน้อย เนื่องมาจากการรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเข้ามาซึ่งทำให้ส่งผลเป็นกรดคาร์บอนิก ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายนั้นฝุ่นในอากาศจะมีปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ซึ่งส่งผลต่อต้านความเป็นกรด ทำให้ฝนนั้นมีค่าเป็นกลาง หรือ แม้กระทั่งเป็นเบส ฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 นั้นถึอว่าเป็น ฝนกรด (acid rain)

จาก wikipedia

สงสัยมั้ย...ทำไมใบไม้ร่วงจึงเป็นสีแดง...

ความรู้จากหนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและเพิ่มเติมชีววิทยา เล่ม 4 กลุ่มสาระ ว่าด้วย สรีรวิทยาของพืช อธิบายเรื่องการเปลี่ยนสีของใบไม้ สรุปความดังนี้ เมื่อลมหนาวมาเยือน ต้นไม้ที่เจริญในเขตอบอุ่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนคือใบ โดยใบไม้ที่มีสีเขียวจะเปลี่ยนสีแตกต่างกันไป บ้างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งใบไม้ที่เปลี่ยนสีต่างๆ เหล่านี้จะกลายเป็นใบไม้แห้งร่วงหล่นสู่พื้นดิน เป็นปุ๋ยธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศต่อไปสีเขียวของใบไม้เกิดขึ้นเนื่องมาจากสารสีคลอโรฟิลล์ พบอยู่ในคลอโรพลาสต์ (chloroplast) ซึ่งมีโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายถุงแบนๆ มีเยื่อหุ้ม เรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylacoid) และบนไทลาคอยด์นี้เองที่มีคลอโรฟิลล์ที่ทำหน้าที่รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการสร้างอาหารของพืชด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ซึ่งกระบวนการสร้างอาหารของพืชจะเกิดขึ้นบริเวณส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช เช่น ใบ

แล้วทำไมใบไม้เปลี่ยนสี เนื่องจากในเซลล์พืชนอกจากสารสีคลอโรฟิลล์ที่ทำให้พืชมีสีเขียวแล้ว ยังมีสารสีแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งเป็นสารประกอบประเภทไขมัน มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ในพืชชั้นสูงสารสีแคโรทีนอยด์อยู่ในคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วย สารสี 2 ชนิด 1.แคโรทีน (carotene) เป็นสารสีแดงหรือสีส้ม หากมีสารสีคลอโรฟิลล์และสารสีแคโรทีนอยู่ในใบเดียวกัน จะสะท้อนแสงสีแดง เขียวแกมน้ำเงิน และแสงสีน้ำเงิน ทำให้ใบมีสีเขียว 2.แซนโทรฟิลล์ (xantrophyll) เป็นสารสีเหลืองหรือสีน้ำตาล ในเซลล์พืชโดยปกติมีสารสีทั้ง 3 ชนิด แต่ถ้ามีสารสีชนิดใดมากกว่า พืชชนิดนั้นก็จะปรากฏให้เห็นสีของสารสีชนิดนั้นๆ เช่น ใบมะม่วงสีเขียว เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์อยู่มาก พืชต้องการแสงและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการผลิตคลอโรฟิลล์เพื่อใช้ในการสร้างอาหาร โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งปกติพืชจะสร้างคลอโรฟิลล์อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ใบไม้มีสีเขียว แต่ใบไม้เหล่านี้จะเปลี่ยนสีได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของช่วงความยาวของวัน กล่าวคือ ในช่วงฤดูหนาวจะมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าในช่วงฤดูร้อน และมีช่วงเวลากลางคืนที่นานกว่าฤดูร้อน และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อปริมาณแสงที่พืชได้รับ

คือ ในช่วงฤดูหนาว พืชได้รับแสงในปริมาณน้อยลงและอุณหภูมิก็มีค่าต่ำลง พืชจึงตอบสนองโดยการสร้างคลอโรฟิลล์ในปริมาณที่น้อยลง และขณะเดียวกันคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่เดิมจะสลายตัวอยู่ตัวตลอดเวลา ใบไม้ที่มีสีเขียวจึงเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง หรือส้ม แดง จนที่สุดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงลงสู่พื้นดินถ้าพืชไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียวสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้หรือไม่? คลอโรฟิลล์ไม่เพียงทำให้พืชมีสีเขียวเท่านั้น โดยคลอโรฟิลล์ เอ ให้สีเขียวเข้ม คลอโรฟิลล์ บี ให้สีเขียวอ่อน คลอโรฟิลล์ ซี ให้สีส้ม คลอโรฟิลล์ ดี ให้สีน้ำตาล ดังนั้น พืชที่ไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียวก็ไม่ได้หมายถึงไม่มีคลอโรฟิลล์ แต่อย่างไรก็ตาม