วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ใน แก้วมังกร


ผลไม้รูปร่างกลมรีขนาดใหญ่ เปลือกสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวมีเม็ดคล้ายเม็ดแมงลักฝังตัวอยู่ทั่วผล เนื้อสดหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ เมื่อทานแล้วช่วยทำให้สดชื่นผ่อนคลายได้ดีทีเดียว
แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ สีขาวกับสีแดง สีแดงจะมีรสหวานกว่า ส่วนรสหวานของแก้วมังกรสีขาวเป็นหวานอ่อนๆ ที่ไม่มีพิษภัย จะมีก็แต่คนติดรสหวานที่อาจติว่าจืดชืดไปหน่อย ถ้าใครไม่ชอบก็ขอบอกว่า คุณได้พลาดผลไม้ที่มีประโยชน์สุดๆ ต่อสุขภาพและความงามไปอย่างน่าเสียดาย
ความโดดเด่นที่ทำให้สาวๆ หลายคนชอบกินผลไม้ชนิดนี้ก็เนื่องจากเป็นผลไม้ที่สามารถกินกันได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องไขมันและความหวานที่กลายไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง แถมยังกินอิ่มท้องจนทดแทนอาหารเย็น เป็นผลไม้ที่ใช้ช่วยลดน้ำหนักได้สบายๆ ทีเดียว
คุณค่าอาหารที่ซุกซ่อนอยู่ในแก้วมังกรก็มีทั้งแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 แต่ที่เยอะมากสุดก็คือวิตามินซี จึงช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง รวมทั้งช่วยในเรื่องของสายตาได้ด้วย
วิธีทาน ก็ง่ายๆ แค่ผ่าครึ่งลอกเปลือก หรือใช้ช้อนตักเข้าปากเลยก็ได้ หรือจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แก้วมังกรก็สามารถแทรกรสชาติไปกับทุกอย่างได้กลมกลืนและกลมกล่อม
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

....วิธีตั้งสติ ใช้สตางค์....

ท่านเจ้าคุณ พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทโธ) พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี เนปาล ท่านบอกว่า..."คนเราสมัยนี้มีความรู้กันมาก แต่รู้อะไรไม่เท่ารู้เนื้อ รู้ตัวความรู้เนื้อ รู้ตัวนี้ ก็คือ มีสติ นั่นเอง แล้วถ้ามีสติ ก็จะมีสตางค์เพราะคนมีสติจะตั้งอกตั้งใจทำงานหาสตางค์ พอมีสตางค์แล้ว ก็ตั้งสติในการใช้จ่าย ไม่หลงใช้ฟุ่มเฟือยเกินตัว หรือใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์"
วิธี "ตั้งสติ ใช้สตางค์" ให้ดูจาก ศีล ๕ ที่ชาวพุทธจำได้ขึ้นใจอยู่แล้ว แต่นำมาปรับมุมมองใหม่ ดังนี้...
๑. ปาณาติบาตฯ : (งดเว้น)การฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตมองว่าคือ ใช้สตางค์เพื่อชีวิต ใช้เพื่อความอยู่รอด ซื้อหาปัจจัย ๔
๒. อทินนาทานฯ : (ไม่) ลักขโมย เอาทรัพย์ของผู้อื่นมองว่าคือ ใช้สตางค์เพื่อหารายได้ หาสตางค์เพิ่มขึ้น ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า การลงทุนหรือที่ชอบพูดกันว่า "ให้เงินทำงาน"
๓. กาเมสุมิจฉาฯ : ไม่ประพฤติผิดในกามมองว่าคือ ใช้สตางค์เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง ฯลฯ
๔. มุสาฯ : (ไม่) พูดเท็จ หลอกลวงมองว่าคือ ใช้สตางค์เพื่อตอบแทนให้สังคมบ้างตามสมควร
๕. สุรา เมรยฯ : (งด) สุรา เครื่องดองของเมามองว่าคือ ใช้สตางค์เพื่อดูแลสุขภาพ อย่าใช้ไปในทางที่ทำให้เกิดความเสื่อม
ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี บอกว่า แนวพระราชดำริ "เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับหลักทางพระพุทธศาสนาคำว่า "พอเพียง" ไม่ใช่ มีน้อย หรือ ไม่กระตือรือร้น ไม่หาเพิ่มแต่หมายถึง มีให้พอใช้ตามสถานะของตนเพราะฉะนั้น "พอเพียง" จึงมากกว่า "กระตือรือร้น" เสียอีก เพราะต้องมีให้พอเมื่อมีเงินพอแล้ว ก็ใช้เงินให้มีความสุขอย่าให้เงินใช้เรา เพราะจะทำให้มีความทุกข์ มีเงินเท่าไร
ขอบคุณบทความจาก ธรรมจักร

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำเย็น เป็นอันตรายจริงหรือ ?

ดื่มน้ำเย็น สดชื่นดี แต่อันตราย?
ได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่ง จั่วหัวว่า ? ดื่มน้ำเย็น สดชื่นดี แต่อันตราย? พอเปิดอ่านตอนแรกก็ตกใจ เพราะปัจจุบันใครๆ ก็ดื่มน้ำเย็นกันทั้งนั้น โดยข้อความที่ส่งต่อๆ กันมามีใจความว่า ?เวลาได้กินน้ำเย็นๆ สักแก้ว หลังอาหารมันรู้สึกชื่นใจดีใช่มั้ย แต่ว่าน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปจับตัวเป็นไขขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง ถ้าคราบไขมันทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วถูกดูดซึมไปที่ลำไส้ ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไปแล้วจะเคลือบลำไส้เราไว้ ในไม่ช้ามันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด ดังนั้นควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์ อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ความจริงการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร คงไม่เป็นอันตราย ถึงขั้นทำให้ไขมันจับตัวเป็นไข เป็นก้อนขนาดนั้น เพราะปกติอุณหภูมิร่างกายคนเราอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส น้ำที่เราดื่มเข้าไปถึงจะเย็น แต่ร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว ก็จะเปลี่ยนให้เป็นน้ำอุ่นๆ อยู่ดี ไขมันกว่าจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ต้องอาศัยอุณหภูมิเหมือนอยู่ในตู้เย็น 3 – 4 องศาเซลเซียส กรณีนี้จึงเป็นข้อความหลอก
ถ้าถามว่า เราควรจะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดี ก็ต้องขอเรียนว่า น้ำเย็นจะช่วยเติมน้ำให้ร่างกายได้ดีกว่าน้ำอุ่น เพราะว่าน้ำเย็นดูดซึมได้เร็วกว่า ตรงนี้เป็นข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาของสหรัฐ เขาบอกเลยว่า น้ำที่ควรจะดื่มถ้าอยากให้สดชื่น ออกกำลังกายได้อึดขึ้น อุณหภูมิควรอยู่ที่ประมาณ 15 – 22 องศาเซลเซียส หรือง่ายๆ คือ ให้ดื่มน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกาย
ไม่มีงานวิจัยฉบับไหนเลย ที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วจะเป็นมะเร็ง?อีเมล์ในลักษณะนี้มีการส่งต่อกันไป ทั่ว แม้แต่ในต่างประเทศ ดูเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่กลับไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มารับรอง ทำให้คนกลัวกันมาก ดังนั้นคนที่ได้รับอีเมล์จะต้องใช้วิจารณญาณให้ดี
การดื่มน้ำเย็นเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้น โดยน้ำ 1 แก้ว จะช่วยเผาผลาญไขมันประมาณ 9 กิโลแคลอรี? ถ้าเราดื่มน้ำ 8 แก้วก็จะเผาผลาญไขมันได้ถึง 70 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่า ยิ่งดื่มน้ำมาก ก็จะยิ่งช่วยลดความอ้วน แต่ในคนที่กำลังลดความอ้วน ลดปริมาณอาหารแต่ลืมดื่มน้ำ ต้องระวัง เพราะน้ำหนักจะไม่ลง เพราะน้ำคือตัวช่วยทำให้ไขมันสลายเร็วขึ้นนั่นเอง
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า การดื่มน้ำมากๆ ไตจะทำงานหนักไปหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า น้ำจะเป็นพิษต่อร่างกายนั้น ต้องดื่มมากเป็น 10 ลิตร อย่างเช่น กรณีการรับน้องแบบพิเรนทร์ๆ ที่เราเห็นข่าวกัน ส่วนคนทั่วไปดื่มน้ำอย่างเก่งสัก 5 ลิตรก็ไม่เป็นอะไร
ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำเย็น น้ำร้อน หรือน้ำอุณหภูมิปกติ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หลักการง่ายๆ คือ น้ำเย็น ควรดื่มเวลาออกกำลังกาย จะดูดซึมเร็ว แต่มีข้อห้ามในผู้หญิงที่มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะยิ่งทำให้ปวดท้องมากขึ้น ส่วนน้ำอุ่น ควรดื่มเพื่อกระตุ้นลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัวดี เช่น เวลาท้องเสีย เจ็บคอ เป็นหวัด
นพ.กฤษดา บอกว่า ใครที่ไม่อยากแก่ ต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่แก่เกิดจากการขาดน้ำ การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย โดยเฉพาะในผู้ชายอาจทำให้น้ำไปเลี้ยงอสุจิไม่พอ ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง และเซ็กซ์เสื่อมได้
ในคนที่มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง อย่าเพิ่งกินยา ให้ดื่มน้ำมากๆ สักพักจะหายได้ โดยไม่ต้องพึ่งยา ที่เป็นเคล็ดสำหรับคนดื่มเหล้า คือ ถ้ากลัวว่าจะแฮงก์ควรดื่มน้ำตามเข้าไปประมาณ 4 เท่าของเหล้าที่ดื่มก็จะช่วยได้
แต่ละวันเราควรดื่มน้ำมากน้อยแค่ไหน? นพ.กฤษดา บอกว่า ควรดื่มน้ำตามน้ำหนักตัว คือ ดื่มน้ำ 1 ออนซ์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็ต้องดื่มน้ำ 60 ออนซ์? โดยน้ำ 1 ออนซ์ก็ประมาณ 30 ซีซี คนน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ก็ต้องดื่มน้ำประมาณ 1,800 ซีซี

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

7 พฤติกรรมสุด "ยี้" ในที่ทำงาน

พฤติกรรมที่ควรเลี่ยงเพื่อความรุ่ง
1. อย่าใช้อารมณ์กับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเป็นธรรมดาที่จะต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเห็นหัวหน้ากับลูกน้องหรือระหว่างเพื่อนร่วมงาน แต่ "อย่าใช้อารมณ์" มาตัดสินปัญหาเป็นดีที่สุด ทางที่ดีเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นให้สงบใจประมาณ 10 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยจัดการกับปัญหาตรงหน้าจะเป็นการแก้ปัญหาได้ดีกว่า
2. อย่าเกี่ยงว่าไม่ใช่งานของเราโดยเฉพาะงานที่มีลักษณะเป็นทีมเวิร์ก เพราะบางครั้งการได้ลองทำสิ่งใหม่ๆที่อยู่นอกเหนือขอบเขตงานของเราบ้างก็เป็นความท้าทายและโชว์ให้เห็นถึงสปิริตของการทำงานร่วมกันเป็นทีม
3. เลี่ยงการซุบซิบนินทามากเกินไปคงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในการห้ามเสียงซุบซิบนินทาในที่ทำงาน ให้ร่วมวงอย่างหอมปากหอมคอ แต่อย่ากลายเป็นคนเม้าท์ซะเอง เพราะอาจถูกแทงข้างหลังได้ทุกเมื่อ
4. ประจบสอพลอแต่ไม่เคยทำงานอาจจะมีบางคนที่ได้ดีเพราะการประจบสอพลอเจ้านาย แต่เขาอาจไม่ได้ประจบอย่างเดียว หากมีผลงานควบคู่ไปด้วย เพราะเจ้านายฉลาดๆต้องดูออกว่านี่คือการเลียแข้งเลียขา พฤติกรรมแบบนี้นอกจากจะแสดงถึงความไม่นับถือตัวเองแล้ว เพื่อนร่วมงานจะพาลรังเกียจซะเปล่าๆ
5. สูบบุหรี่หรือดื่มของมึนเมาสาวๆสมัยใหม่บางคนเห็นว่าการสูบบุหรี่ในที่ทำงาน แม้จะไปสูบในโซนที่จัดให้ก็เถอะ เป็นเรื่องเก๋ไก๋ หนักกว่านั้นอาจมีการดื่มแม้จะเป็นช่วงการทำงานล่วงเวลาแล้วก็ตาม ถ้ายังอยากก้าวหน้าก็หยุดพฤติกรรมเหล่านี้ดีกว่า เพราะกลายเป็นแฟชั่นเก่าๆที่สาวอินเทรนด์ตัวจริงเขาเลิกไปนานแล้ว
6. ใช้เครื่องใช้สำนักงานในการรับจ๊อบนอกผิดมหันต์ แค่รับงานไซด์ไลน์ในเวลางานก็เป็นเรื่องที่แสนจะคอรัปชั่นบริษัทอยู่แล้ว นี่ยังจะมาใช้คอมพิวเตอร์ของเขาพิมพ์งานอีก แถมใช้โทรศัพท์โทรออกอย่างกระหน่ำแบบไม่เกรงใจ หากใครทำอยู่ขอร้องให้เลิกเสียที ถึงแม้ไม่มีใครรู้แต่คุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเองดี
7. ใส่สายเดี่ยว เกาะอก โนบรา แต่งกายล่อแหลมเสี่ยงสูงคงไม่งามแน่ๆถ้าต้องไปพบผู้ใหญ่เพราะจะดูไม่น่าเชื่อถือ หมดเครดิตกันทันที แต่ถึงจะอ้างว่าอยู่แต่ในออฟฟิศก็เถอะ คุณต้องเตรียมพร้อมรับมือกับงานทุกอย่างอยู่เสมอ และชุดแบบนี้ ถ้าฝนตก เสื้อผ้าแนบเนื้อ หรือเกิดเอ็กซิเด็นท์ เกาะอกลื่นหลุด คงหยุดสายตาชาวบ้านไม่อยู่แน่ๆ
หากรักตัวเองต้องให้เกียรติตัวเองมากๆ แล้วคนอื่นเขาจะต้องทึ่งในความสวย สง่า ทั้งภายนอกและภายในของคุณค่ะ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความรัก กับ หนังสือ

อย่าตัดสินหนังสือว่าดี แค่ปกสวยๆ อย่าบอกว่า....น่ารักเหลือเกิน แค่คุยกันหนเดียว คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย...ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกที่ชอบไม่ได้ คนที่บอกว่าจะไม่แต่งงาน...มักแซงหน้าแจกการ์ดก่อนคนอื่นเสมอ อย่าตกใจเมื่ออ่านหนังสือระดับ Best Seller แล้วไม่ชอบ ถ้ารักคนคนเดียวกับที่คนอื่นรัก...คงแย่งกันน่าดู การชอบหนังสือสักเล่มไม่ได้หมายความว่า.. หนังสือเล่มนั้น..เนื้อหาดีทุกหน้า การรู้สึกดีกับใครสักคน.. ไม่จำเป็นว่า..เขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย ......อย่าเสียดายเวลา ถ้าอ่านหนังสือบางเล่มจบแล้วพบว่า..ไม่ใช่แบบที่ชอบ จงรู้สึกดีกับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่ เพราะอย่างน้อยที่ผ่านมา... ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแน่นอน แม้วันหนึ่งจะรู้ว่า... เขาหรือเธอคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด เพราะอย่างน้อย... เราก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นและพร้อมที่จะตามหาคนของเราต่อไป การอ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา เราไม่สามารถรู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก หนังสือมีสิ่งต่างๆ หลากหลายให้ศึกษา ทดลองอ่านดู...ก่อนที่จะตัดสินว่าน่าเบื่อ บางครั้ง...สิ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์และมองผ่านมันไป.... วันหนึ่งมันอาจจะมีค่าสำหรับเรา... แล้วในตอนจบ...ก็จะรู้ว่าหนังสือประเภทไหนเหมาะกับเราที่สุด เหมือนกับความรัก... ทุกครั้งที่เรามีความรักกับใครสักคนนั้น แม้ทุกอย่างจะเดินมาถึงจุดจบ... แต่คนทั้งคู่ย่อมได้รับอะไรจากสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุด...ก็ได้บทเรียนที่มีค่าเพิ่มอีกบทหนึ่ง บทเรียนที่จะนำไปสร้างความรักครั้งใหม่ให้มีรากฐานที่ดีกว่าที่ผ่านมา สำหรับฉัน "ความรัก" เปรียบเหมือน.. การได้อ่านหนังสือหลายๆ เล่ม (อ่านทีละเล่มนะจ๊ะ) แต่ละเล่มที่ผ่านไป สอนให้ฉันเข้มแข็ง... สอนให้ฉันรู้จักโลกที่เป็นจริง... และสอนให้ฉันรู้จักใจของตัวเอง แม้ว่าตอนจบของแต่ละเล่มจะไม่สมใจ แต่ฉันก็ไม่คิดจะหยุด ท้อ หรือ กลัวที่จะค้นหา ฉันจะอ่านต่อไป... จนกว่าจะเจอ "หนังสือของฉัน" :) คุณล่ะ...เจอรึยัง ถ้าเจอแล้ว...อย่าลังเลที่จะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน อย่ากลัวที่จะเสียเวลาและผิดหวัง ไม่แน่นะ...เล่มที่อยู่ในมือตอนนี้น่ะ อาจจะตรงกับความรู้สึกของคุณที่สุดก็ได้..
ขอบคุณบทความจาก สาระแน

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เซฟตัวไว้ยามเดินทางไกล

เข้าฤดูหนาวแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงมีโปรแกรมเดินทางไกลเพื่อพักผ่อน ไม่ก็ไปเที่ยวกับครอบครัว แต่ถ้าคุณต้องเดินทางคนเดียว ไม่ว่าจะโดยสารรถทัวร์หรือรถไฟอย่าเผลอซะล่าใจปล่อยเนื้อตัวตามสบาย หมั่นสังเกตคนนั่งใกล้ไม่ว่าจะเพศไหนก็อย่าไว้ใจ รวมถึงสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทางเอาไว้บ้าง
เลือกเดินทางในเวลากลางวันจะปลอดภัยกว่ากลางคืน และหากมีใครอาสาพักไปส่งบ้าน โดยบอกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็อย่างไว้ใจ เพราะคุณอาจไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ได้
แต่งตัวให้รัดกุมและเหมาะสม ไม่ควรใส่เสื้อรัดโชว์สัดส่วนคว้านลึกโชว์อก รวมถึงกระโปรงสั้น เพราะจะเป็นเป้าล่อใจพวกฉวยโอกาส เผลอๆ จะถูกเหมาว่าเป็นการเชิญชวนให้ท่าโดยไม่รู้ตัว
ระวังการตีสนิทของคนแปลกหน้า ทำทีเป็นชวนคุยให้ตายใจแล้วซื้อขนมนมเนย เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ผ้าเย็น กระดาษทิชชูมาให้เพราะคุณอาจโดนมอมยาที่เจืออยู่ในของเหล่านี้ ทำให้สะลึมสะลือไม่ได้สติ แล้วถูกล่วงเกินทางเพศได้
เก็บทรัพย์สินมีค่าให้มิดชิด ทางที่ดีอย่าพกของมีค่าเครื่องประดับราคาแพง หรือเงินสดติดตัวไปมากนัก เพราะยามคุณผล็อยหลับอาจโดนปล้อนเงียบชนิดจับมือใครดมก็ไม่ได้
พกนกหวีดหรืออุปกรณ์ที่พอป้องกันตัวได้ หากคุณโดยสารรถไฟบนตู้นอน เพราะเวลากลางคืน หากเกิดเหตุร้ายคุณจะได้ขอความช่วยเหลือด้วยนกหวีด หรือมีอุปกรณ์ไว้ป้องกันตัวบ้าง
ห้องน้ำบนรถถือเป็นจุดเสี่ยงสำหรับสาวๆ เพราะเคยมีคดีข่มขืนเกิดขึ้นแล้ว คุณจึงไม่ควรประมาทเป็นอันขาด ควรจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง
อย่ารับฝากของใดๆ จากคนแปลกหน้า ไม่ว่าหญิงหรือชายเพราะอาจเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากเกิดการตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่คุณอาจต้องกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปกับเขาด้วย
ก่อนขึ้นรถหัดสังเกตพนักงานขับรถ และเด็กรถว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมเดินทางมั้ย ประตูหนีไฟอยู่ช่วงไหนของตัวรถ และระหว่างนั่งรถอย่ามัวชมวิวจนเพลิน หัดสังเกตความเร็วรถ ลักษณะการับ รวมถึงกลิ่นต่างๆ หากเกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้รถ คุณจะได้ตั้งสติ หาทางหนีทีไล่ได้ทัน
ที่สำคัญแนะนำให้คุณพักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อนเดินทาง เพราะอย่างน้อยๆ เมื่ออยู่บนรถไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การมีร่างกายที่พร้อมสติครบถ้วน จะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้ดีเป็นเท่าตัว

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เสียงลือ..เสียงเล่าอ้าง วันสิ้นโลก

รอยต่อคืนวันที่ 17 ไปถึงช่วงย่ำรุ่งวันที่ 18 พ.ย. 2552 นี้ แหงนมองขึ้นไปบนเวิ้งฟ้ายามราตรีจะมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ฝนดาวตก” อีกครั้ง เป็นปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonid Meteor shower) หรือ “ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต” ซึ่งสามารถที่จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า...
นี่เป็นอีกหนึ่ง “ปรากฏการณ์แห่งดาว” ที่น่าสนใจ และเกิดขึ้นในช่วง “เสียงลือวันสิ้นโลก” เซ็งแซ่ ??
ทั้งนี้ กับเสียงลือ “วันสิ้นโลก” ที่มีออกมาอีกครั้งในระยะนี้ โดยสรุปก็คือ... วันที่ 21 ธ.ค. ปี พ.ศ. 2555 จะเป็นวันสิ้นโลก ?? จากการคำนวณไว้ของชนเผ่ามายา ชนเผ่าโบราณที่เชื่อว่าเคยมีอาณา จักรที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล และทรงภูมิปัญญามาก แต่กลับสูญหายไปอย่างลึกลับ
วันสิ้นโลกที่มีเสียงลือโดยอ้างอิงถึงชนเผ่ามายานี้ บ้างก็ว่า... จะเกิดขึ้นเพราะการกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อันเนื่องจากการระเบิดลุกจ้าบนผิวดวงอาทิตย์ จนก่อเกิดภัยธรรมชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในโลก ?, บ้างก็ว่า...จะเกิดขึ้นเพราะดวงอาทิตย์โคจรในแนวเดียวกับดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ จนส่งผลมหาศาลต่อจุดดับของดวงอาทิตย์ ถึงขั้นที่ส่งอิทธิพลมาทำลายล้างโลก ?, บ้างก็ว่า...จะเกิดเพราะการ เรียงตัวในแนวเดียวของดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ และเป็นแนวเดียวกันกับหลุมดำที่มีมวลมหาศาล แล้วจะส่งอิทธิพลให้โลกย่อยยับ ?, บ้างก็ว่า...จะเกิดเพราะดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก ? แถม พ่วงด้วยเสียงลือที่ว่า...สิ่งมีชีวิตนอกโลกเป็นผู้มาบอกไว้ ?
เหล่านี้เป็นเสียงลือ “วันสิ้นโลก” ที่ว่าจะเกิดในอีก 3 ปีเศษ
ขณะที่บางคนก็ว่าที่ลือ ๆ กันนี้เกี่ยวโยงถึงหนังบางเรื่อง ??
อย่างไรก็ตาม เสียงลือ “วันสิ้นโลก” นี้ ใช่ว่าจะเพิ่งมีในระยะนี้ แต่เคยมีมาก่อนแล้ว และว่ากันถึงเสียงลือในช่วงปี 2552 นี้ ที่ไม่ได้โยงถึงเผ่ามายา แต่เป็นช่วงปีเดียวกัน ก็เช่น... ปี พ.ศ. 2555 จะเกิดมหาอุทกภัยน้ำท่วมโลก ?? โดยมีการลือต่อ ๆ กัน รวมถึงลือในอินเทอร์เน็ต ว่าเรื่องนี้ผู้ที่เปิดเผยเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ทำงานในองค์การนาซาของสหรัฐอเมริกา มากไปกว่านั้น...ลือกันว่าทางนาซา มีการสร้างยานอวกาศเพื่ออพยพผู้คนหนีภัยน้ำท่วมโลกแล้ว ? มากไปกว่านั้นอีก...ลือกันว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาช่วยงานนาซาโดยสื่อสารด้วยโทรจิต มาถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากน้ำท่วมโลก และมนุษย์ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะรอด ?
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาอดีตกาล ก็มีความเชื่อเรื่อง “วันสิ้นโลก” แฝงอยู่ในส่วนต่าง ๆ ไม่น้อย รวมถึงกับความเชื่อทางลัทธิ-ทางศาสนา และกับโลกยุคปัจจุบันก็มีเสียงลือเรื่อง “วันสิ้นโลก” เป็นระยะ ๆ
ปี พ.ศ. 2371 มีนักดาราศาสตร์เยอรมันคำนวณว่าจะมีดาว หางดวงหนึ่งโคจรผ่านโลกในระยะใกล้มากจนอากาศบนโลกจะเป็นพิษเพราะฝุ่นละอองดาวหาง ผู้คนจำนวนหนึ่งก็แตกตื่น-ร่ำลือว่าจะเป็น “วันสิ้นโลก” เป็นจุดจบมนุษยชาติ ?, ปี พ.ศ. 2405 นักดาราศาสตร์อเมริกันสองคนคำนวณว่า วันที่ 14 ส.ค. ปี พ.ศ. 2669 หรืออีก 117 ปีจากนี้ จะมีดาวหางดวงหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลางราว 10 กิโลเมตรโคจรมาใกล้โลก ซึ่งดาวหางเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดนี้ถ้าชนโลกจะร้ายแรงเท่าระเบิดนิวเคลียร์ 1 ล้านลูก และแม้นักดาราศาสตร์จะชี้ว่าโอกาสชนโลกมีเพียง 0.01% แต่ก็ไม่วายเกิดเสียงลือในคนจำนวนหนึ่ง...เรื่อง “วันสิ้นโลก”
อีกกรณี... กรณีนี้เป็นดาราศาสตร์ยุคใหม่ คือ วันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2572 วันสงกรานต์ของไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า ดาวเคราะห์น้อยชื่ออะโพฟิสจะโคจรผ่านมาใกล้โลกมาก ๆ เมื่อเทียบ กับดาวเคราะห์น้อยดวงอื่น ๆ ที่มีวงโคจรใกล้โลก ที่มีการค้นพบไปก่อนหน้า ซึ่งอัตราส่วนของโอกาสที่จะชนโลกคือ 1 ใน 38 หรือ 2.6% ซึ่งแม้นักดาราศาสตร์จะคำนวณได้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะไม่ชนโลกหรือดวงจันทร์แน่นอน โดยจะแค่เฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่างราว 64,400 กิโลเมตร แต่ข่าวนี้ก็จุดกระแส “วันสิ้นโลก” เช่นกัน
ทั้งนี้ เรื่อง “วันสิ้นโลก” วันนั้นวันนี้ จนถึงปัจจุบันก็ต้องเน้นว่า “เป็นแค่เสียงลือ” กับโอกาสเป็นไปได้แน่ ๆ นั้นในทาง ดาราศาสตร์-วิทยาศาสตร์ยังไม่มีการระบุชัด อย่างไรก็ตาม ถ้าจะว่ากันถึงเรื่อง “หายนะของโลก” แล้วละก็...ในทางโหราศาสตร์ก็มีคำพยากรณ์ และจะว่าไปแล้ว “โอกาสเป็นไปได้” ก็ใช่ว่าจะเป็น 0%
“ดูจากการโคจรของดาว เทียบกับที่เคยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แล้ว มีโอกาสเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในอีก 6 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558) และสถานการณ์ก็ชวนให้เกิดได้ด้วย ชนวนสงครามน่าจะมาจากการที่ประชากรทั่วโลกอดอยาก ภัยธรรมชาติคุกคามหนัก น้ำท่วมใหญ่ในหลายประเทศ และกลุ่มก่อการร้ายขยาย พื้นที่ก่อการไปทั่วโลก จนประเทศมหาอำนาจต้องประกาศสงครามที่ เป็นสงครามนิวเคลียร์ จะเป็นการล้างเผ่าพันธุ์เพื่อสร้างอาณาจักรโลก ใหม่” ...นี่เป็นการทายทักของ อ.เก่งกาจ จงใจพระ ประธานสถาบัน โหราศาสตร์เก่งกาจพยากรณ์ ซึ่งใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อก็คงสุดแท้แต่ ?!?
ประเด็นคือ...ก็ “มนุษย์” นี่แหละที่ทำร้ายโลกอยู่ทุกวัน
ถ้าจะมี “วันสิ้นโลก...เพราะมนุษย์” ก็ย่อมเป็นไปได้ !!.

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

6 Tips จิบกาแฟเพื่อสุขภาพ

อัพเดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาบอก
1. ไม่จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย
2. ไม่รู้ใช่ไหม...กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน
3. ต้องดื่มบ่อยๆ..สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย
4. กาแฟดีกว่าไวนและชาสมุนไพร ...เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ
5. ระวังไว้นิดก็ดี...องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล
6. ดีแคฟ...ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย
อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทำไมคนเราถึงฝัน

ทราบหรือไม่ว่า ทำไมคนเราเวลานอนหลับถึงฝันได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
นักจิตวิทยาในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือ 80-90 ปีที่ผ่านมา
ได้ศึกษาเรื่องความฝันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต ไม่ใช่ลางบอกเหตุในอนาคต กลับจะเป็นตัวบ่งชี้ความนึกคิดก่อนฝันเสียด้วยซ้ำ อย่างทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาชาวยิวที่ไปอยู่เยอรมัน แล้วเสียชีวิตที่ออสเตรเลีย ถือเป็นนักจิตวิทยาที่โด่งดังคนหนึ่งของโลก กล่าวไว้ว่า ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึกของคนเรา ซึ่งเป็นแรงผลักดันจาก Id หรือ อิด ซึ่งหมายถึงสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่วนจิตใต้สำนึกคือความคิด ความรู้สึกที่เราไม่รู้ พูดง่าย ๆ อีกได้ว่าความคิดความรู้สึกที่ไม่รู้คือจิตใต้สำนึก ส่วนที่รู้ก็ไม่เรียกจิตใต้สำนึก ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เราตื่นอยู่เราไม่ได้คิดถึงฐานะความเป็นอยู่ แต่กลับฝันว่ามีเงินทองร่ำรวยและมีความสุขมาก นั่นแสดงว่าความรู้สึกลึก ๆ ของเราอยากรวยนั่นเอง

ฟรอยด์ กล่าวด้วยว่า
นอกจากนี้ความฝันอาจเกิดจากความต้องการที่ไม่ได้รับการสนองตอบ ทำให้เกิดความคับข้องใจหรือเก็บกด จึงระบายออกมาเป็นความฝัน เช่น ตั้งใจว่าอยากไปดูฟุตบอลยุโรปทัวร์นาเม้นต์ต่าง ๆ ในสนามจริง ๆ ถึงช่วงฮอต ๆ เช่น บอลโลก บอลยูโร ก็เกิดความอยากอยู่เรื่อย เลยเก็บเอาไปฝัน กรณีนี้รวมไปถึงการหลงไหลได้ปลื้มใครสักคน โดยอาจจะนำไปฝันถึงสาวที่ปิ๊งอยู่ก็ได้ ส่วนการทำนายฝันตามตำราน่าจะเป็นศาสตร์คล้าย ๆ กับการทำนายดวงหรือหมอดู
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณเนื้อหาประกอบจาก ชุมชนการเรียนรู้

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมื่อมีน้ำตา ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ

คนเรา..
อย่าพยายามกักเก็บน้ำตา ถ้ารู้ว่ามันเกินจะกั้นไว้ได้ ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยร้องไห้ แม้กระทั้ง วันแรกที่ลืมตาดูโลก ก็ต่างร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น...จริงม่ะ?
เมื่อมี...
น้ำตา...นั่นไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ แต่ บางทีอะไรที่มันมากเกินไป เกินกว่าที่จะรับไว้ ก็จำเป็นที่ต้องระบายออกมาบ้าง
ดีใจมาก...เสียใจมาก...ตื้นตันมาก
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เราเสียน้ำตาได้ทั้งนั้น เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อย่าปิดกั้นความอ่อนแอ....ของตัวเอง
ถ้าอยากร้องไห้...ก็ร้อง ซะให้หายอึดอัดร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
เรากล้าที่จะร้องไห้ คือ คนที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น..
เพราะ คนที่เสียใจแล้วไม่ร้องไห้ ไม่ระบายออกมา
นานๆ ไปอาจจะทำให้มีความเศร้าอยู่ลึกๆ แล้วเลือกที่จะระบายออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ
อย่าพยายาม อดกลั้น ที่จะร้องไห้
ปล่อยให้น้ำตามันไหลออก จนกว่าจะสบายใจ และ เมื่อน้ำตาเหือดแห้งไป เราจะได้ความเข้มแข็งกลับมาให้ตัวเรา..ขอบคุณบทความจาก
http://www.tamdee.net

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

14 ปรัชญาความรัก

1. A man overtime falls in love with woman he is attracted to,
and a woman overtime become more attracted to the man she loves.
ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก

2. Friendship is love minus sex and plus reason LOVE is friendship plus sex and minus reason. มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซ็กซ์ และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออก

3. To love is nothing. To be loved is something.
To love and be loved is everything!!!!
การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น "บางอย่าง" ทีเดียว ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)

4. You may only be one person to the world but you may also be the world to one person
คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้

5. You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you"re not of it.
คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายถึง การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

6. Love looks not with eyes, but with the mind.
ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ

7. Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind.
ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียกๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง

8. Don''t marry a person you can live with, marry somebody you can''t live without.
จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้" จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"

9. If you love someone tell them don''t wait or also you will lose the chance.
ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ..

10. It only takes a second to say " I love you" but it will take a lifetime to show you how much.
ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า" ฉันรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่ารักมากเพียงไร

11. The essential sadness is to go through life without loving.
But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them.
ความเศร้าที่สำคัญคือการใช้ชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าพอๆ กัน ที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า "คุณรักพวกเค้า"

12. A man falls in love through his eyes, a woman through her ears.
ผู้ชายตกหลุมรักทางตา แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู

13. To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain.
To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รัก คือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวัง คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย

14. When loving someone.. never regret what you do.. only regret what you didn''t do.
เวลารักใคร..อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แคนนอนลุยกล้องระบบเน็ตเวิร์ก

แคนนอนเปิดตัว Network Camera หลังซุ่มทำตลาดแบบโปรเจกต์มาระยะหนึ่ง ประกาศพร้อมลุยตลาดแมส หลังเห็นตลาดเริ่มตื่นตัวเรื่องระบบความปลอดภัย จับกลุ่มผู้ประกอบการ นักธุรกิจรวมถึงผู้บริหารที่ต้องแข่งกับเวลา
นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานคอนซูมเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) กล่าวว่า แคนนอนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประเภท Network Camera อย่างเป็นทางการ หลังได้ทำตลาดประเภทโปรเจกต์มาแล้วระยะหนึ่ง และได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
กล้องระบบเน็ตเวิร์กภายใต้แคมเปญ “It Works ความสำเร็จพิสูจน์ได้” นี้สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการวางตำแหน่งให้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับการบริหารธุรกิจทุกขนาด เพราะนอกจากเรื่องการรักษาความปลอดภัยที่ถือเป็นหัวใจหลักของกล้องแล้ว ยังผสมผสานเข้ากับความก้าวหน้าด้านเน็ตเวิร์ก
เพื่อประสิทธิภาพในการถ่ายทอด สัญญาณภาพผ่านระบบ อินทราเน็ตและอินเทอร์เน็ต จึงทำให้มั่นใจได้ว่ากล้องระบบเน็ตเวิร์ก จากแคนนอนจะสามารถดูแลธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นักธุรกิจรวมถึงผู้บริหารที่ต้องแข่งกับเวลา หรือต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆ ตลอดเวลา
เพราะกล้องดังกล่าวได้รวบรวมความสามารถในการบริหารไว้ในกล้องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเช็กสถานการณ์ การสื่อสารกับพนักงานไปยังที่ต่างๆและการตั้งเวลาในการบันทึกภาพ หรือการดูแลความปลอดภัยของสถานที่นั้นๆ โดยตลาดกล้องระบบเน็ตเวิร์กในปัจจุบันมีศักยภาพมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญของสินค้าระบบรักษาความปลอดภัยกันมากขึ้น จึงทำให้ตลาดเติบโตสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจในยุคขาลงได้
"ยอดขายเรายังไม่ได้คาดหวังมากเพราะเพิ่งทดลองทำตลาดไปในรูปแบบของโปรเจกต์ แต่ขณะนี้ตลาดเริ่มโตขึ้น เราจึงจะทำตลาดเชิงรุกโดยบุกเข้าถึงแมสมาร์เกต"
สำหรับกิจกรรมทางการตลาดกล้องระบบเน็ตเวิร์กของแคนนอน จะเริ่มแผนการโปรโมตผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 พร้อมงบการตลาด 10 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ ที่ได้ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ดาราและเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ Ice Monster ที่ได้พิสูจน์กล้องระบบเน็ตเวิร์กจากแคนนอนแล้วมาบอกเล่าประสบการณ์ และจะมีการเปิดตัวแคมเปญออกมาอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ด้วย

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

AIS จับมือ 'อิ๊ก' เสริฟ 4 เมนูมัดใจลูกค้า

เอไอเอสย้ำแนวคิด Always On Top และ Always Exclusive พร้อมเสริมด้วยสิ่งแปลกใหม่ เพื่อมัดใจกลุ่มเซเรเนด ล่าสุดสร้างสรรค์ 4 เมนูพิเศษโดยเชฟอิ๊ก-บรรณ บริบูรณ์พร้อมเสิร์ฟที่แบล็คแคนยอน
นางวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ เอไอเอส กล่าวว่าเซเรเนดเป็นหนึ่งในกระบวนการที่เอไอเอสดูแลลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้งานมากและอยู่นาน หรือเป็นการสร้างความผูกพันกับลูกค้าแบบยั่งยืนโดยใช้แนวคิดแบบเดิมภายใต้คอนเซ็ปต์ Always On Topและ Always Exclusiveที่สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ
'ปีที่ 6 ของเซเรเนดก็ยังใช้แนวคิดเดิม แต่หาสิ่งแปลกใหม่มาตอบสนองลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย'
เอไอเอส เซเรเนดเป็นโปรแกรมการดูแลลูกค้ากลุ่ม High Value โดยเฉพาะทั้งที่มียอดการใช้งานสูงและมีอายุการใช้งานยาวนาน เริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันนี้นานกว่า5 ปีซึ่งมีลูกค้าในกลุ่มนี้ประมาณ 9 แสนราย ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำความเป็น Always Exclusive อีกครั้ง เอไอเอสจัดแคมเปญ Serenade Menu by IK เอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารได้สัมผัสรสชาติอาหารจากเมนูพิเศษโดย อิ๊ก-บรรณ บริบูรณ์ มารังสรรค์ 4 เมนูพิเศษได้แก่ สเต๊กแซลมอนซอสโหระพา , ไข่ฟริททาทาต้มยำกุ้ง, ข้าวผัดต้มข่าไก่ และข้าวเขียวหวานทะเลผัดแห้ง ซึ่งอยู่ในเมนูอาหารของร้านแบล็คแคนยอนตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 ก.พ.2553
ลูกค้าเซเรเนดยังได้รับสิทธิพิเศษส่วนลดอาหาร 10% ง่ายๆ เพียงแสดงโทรศัพท์มือถือที่ร้านแบล็คแคนยอน และคาเฟเนโร บายแบล็คแคนยอนทุกสาขาทั่วประเทศซึ่งขณะนี้มีกว่า 203 สาขา
'ช่วงแรกของการทำเซเรเนดมีการรับรู้จากตลาดประมาณ 37% แต่ขณะนี้มีมากถึง 92% เพราะลูกค้าได้สัมผัสจริงทำให้ยอดลูกค้าเซเรเนดที่ออกจากระบบมีเพียง0.5% เท่านั้นในขณะที่ยอดลูกค้าเอไอเอสทั้งระบบที่เลิกใช้บริการมีประมาณ 4% ซึ่งต่ำกว่าตลาดมาก แสดงให้เห็นว่าแนวทางการดูแลลูกค้าของเอไอเอสเดินมาถูกทางแล้ว'

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อินเทลอัดแคมเปญการตลาดออนไลน์ หนุนสร้างแบรนด์บน 3 แกนหลัก

อินเทลเปิดตัวกิจกรรม ‘Innovator of Thailand’ หนึ่งในแคมเปญการตลาดออนไลน์ล่าสุด หนุนการสร้างแบรนด์ใน 3 แกนหลัก สร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับอนาคต
นางดรรชนีพร พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า อินเทลได้มีการเปิดตัว 'Innovator of Thailand' หรือผู้สร้างสรรค์วัตกรรมเพื่ออนาคตของไทย ซึ่งเป็นกิจกรรมการตลาดบนสื่อออนไลน์ล่าสุดในประเทศไทย ภายใต้แคมเปญการตลาดที่ใหญ่สุดของอินเทลที่มีชื่อว่า "Sponsors of Tomorrow" (SOT) เพราะมีการทำการตลาดทั้งในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อเอาท์ดอร์ รวมทั้งโปรโมชันส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลือกซื้อโปรเซสเซอร์ของอินเทลเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยแคมเปญการตลาดออนไลน์นี้ จะเปิดตัวครั้งแรกในงาน Commart Comtech Thailand'09 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 พฤศจิกายน 2552 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ทั้งนี้ การสร้างแบรนด์ของอินเทลจะทำบน 3 แกนหลัก คือ มาสเตอร์แบรนด์อินเทล ซัปแบรนด์ซึ่งเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ที่นำออกสู่ตลาด เช่น คอร์ i5 คอร์ i7 เป็นต้น และโปรดักต์แบรนด์ซึ่งก็คือตัวชิป แต่การสร้างแบรนด์ใน 3 ส่วนนี้ เป้าหมายหลักคือชื่ออินเทล
"การสร้างแบรนด์เราจะใช้สื่อต่างๆ ทั้งที่เป็นออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักอินเทลมากขึ้น โดยสองส่วนแรกเราจะใช้สื่อทั้งสองประเภทห้าสิบห้าสิบ ส่วนสุดท้ายจะโคกับพาร์ตเนอร์ โดยเน้นต่างจังหวัดเป็นหลักเพราะการใช้สื่อออนไลน์ยังไม่มากนัก"
สำหรับกิจกรรม Innovator of Thailand ได้สะท้อนความมุ่งมั่นและตอกย้ำให้เห็นความเป็นผู้นำของอินเทลในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับอนาคต โดยมุ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสำหรับไมโครโปรเซสเซอร์ หรือชิป ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันให้เกิดรูปแบบชีวิตที่ทันสมัยสำหรับยุคดิจิตอลที่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ อินเทลไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ผลิตชิปแต่เป็นผู้สร้างสรรค์อนาคตและคิดค้นเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบาย รวมทั้งสร้างหลายสิ่งจากจินตนาการให้เป็นเรื่องจริงได้
"แคมเปญการตลาดตัวล่าสุดนี้เป็นการปรับให้ผู้บริโภคสามารถเข้าใจว่านวัตกรรมที่อินเทลได้สร้างขึ้นมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วนั้น เป็นการนำความทันสมัย หรือรูปแบบชีวิตในอนาคตมาสู่ปัจจุบัน และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร นอกจากนี้ ยังต้องการชี้ให้ผู้บริโภคเห็นว่าอินเทลไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีมาสู่ผู้ใช้งานทุกคนอีกด้วย"
กิจกรรมครั้งนี้จะมุ่งเน้นการใช้สื่อออนไลน์เป็นหลักเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่หันมาบริโภคสื่อออนไลน์ และ social network มากขึ้น โดยมีการสร้างหน้าเว็บเพจและเนื้อหาที่เป็นภาษาไทย พร้อมทั้งกิจกรรมประกวดความคิดสร้างสรรค์มาให้แฟนๆของอินเทลได้ร่วมสนุกด้วย
"งบการตลาดปีนี้อินเทลได้มากขึ้นแต่ต้องมีไอเดียไปเสนอ การทำแคมเปญครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการขายของ แต่ต้องการทำให้ความเข้ากับผู้บริโภคมากกว่า"

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“คณิตศาสตร์ประกันภัย" รับประกันเรียนเลขไม่ตกงาน

พ่อแม่ที่มีลูกเก่งเลขอาจลังเลที่จะให้ลูกเรียนคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง เพราะไม่รู้ว่าจบแล้วจะทำงานอะไร ขณะที่ "นักคณิตศาสตร์ประกันภัย" กำลังเป็นที่ต้องการและขาดแคลนอย่างมาก สำหรับบริษัทเงินทุนและประกันภัย การันตีรายได้ 6 หลัก ซึ่งมีคนไทยเพียง 6 คนเท่านั้นที่มีคุณวุฒินี้
ธุรกิจประกันโตก้าวกระโดดสวนทางวิกฤตเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมประกันชีวิตเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เพราะผ่านผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาได้ถึง 2 ครั้งอย่างดีมาก โดยหลังวิกฤตปี 2540 บริษัทการเงินต่างๆ ล้มไปจำนวนมาก แต่บริษัทประกันชีวิตยังมีการเติบโตทุกปีเป็นตัวเลข 2 หลัก และในปี 2552 ขณะที่บริษัทอื่นเติบโตติดลบ แต่บริษัทประกันเติบโตถึง 15% ซึ่งคาดว่าจะเป็นเลขเดียวกันนี้ถึงสิ้นปี
ข้อมูลจากพันธ์พร ทัพพะรังสี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวไว้ในวงเสวนา "วิทยาศาสตร์ทำเงิน" (ประกันไม่ตกงาน)” เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา
“ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ฯ เติบโตแบบก้าวกระโดดมาตลอดในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่น่าจะต่ำกว่า 25% เบี้ยประกันภัยปีแรกอยู่ที่ 300 ล้านบาทต่อปี ตอนนี้เบี้ยประกันอยู่ที่ 700 ล้านบาทต่อดือน เหตุผลนั้นแม้อุตสาหกรรมจะไม่ได้รับความสนใจนัก แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์มากถ้ารู้จักใช้ ช่วงปี 2540-2541 อัตราการถือครองกรมธรรม์อยู่ที่ 12-13% สิ้นปี 2551 ขึ้นมาถึง 20% เมื่อเปรียบเทียบประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นอัตราการถือครองกรมธรรม์อยู่ที่ 130% ดังนั้นเรายังมีความสามารถที่จะเติบโตไปอีกมาก" พันธ์พรกล่าว
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสของไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ฯ ยังบอกด้วยว่า อุตสาหกรรมประกันภัยทั้งระดับโลก และในระดับประเทศขาดแคลนนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งเป็นที่ต้องการของทุกบริษัท พร้อมทั้งรับรองว่าผู้ที่เรียนทางด้านนี้ไม่ต้องหางาน เพราะจะมีคนเข้าไปหาเอง โดยอัตราเงินเดือนจะเพิ่มค่าจ้างในส่วนที่เป็นสาขาขาดแคลนด้วย
ทางด้านพิเชษฐ เจียรมณีทวีสิน นักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายคณิตศาสตร์ประกันภัย บริษัทอเมริกันอินเตอร์เนชันแนลแอสชัวรันส์ จำกัด หรือเอไอเอ เพิ่งเข้ามาประจำสาขาประเทศไทยได้ไม่กี่วัน หลังจากประจำอยู่ที่ฮ่องกง 6 ปี โดยเขาได้บอกกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการว่า นักคณิตศาสตร์ประกันภัยหรือแอคชัวรี (Actuaries) คือนักวิเคราะห์ความเสี่ยง ที่มีทักษะทั้งด้านคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ การเงิน และมีความเชี่ยวชาญในการประเมินผลกระทบทางการเงินจากความไม่แน่นอนในปัจจุบันและเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

3G ทีโอทีโดนรัฐเตะถ่วง

'มาร์ค' ไม่เคลียร์ 3G โยนบอร์ดกทช.ถกใหม่ 3 ประเด็น มติครม.เศรษฐกิจเตะถ่วงโครงการ 3Gทีโอที ให้รอความชัดเจนจากกทช.ก่อน แถมไม่ค้ำประกันเงินกู้ 1.6 หมื่นล้านบาท ทำทีโอทีวุ่นปรับแผนใหม่ กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไทยโมบาย ผู้บริหารโครงการ 3G ทีโอทีรับแปลกใจกับมติครม.เศรษฐกิจที่ออกมาแบบนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีสัญญาณที่ดีมาโดยตลอด
วานนี้ (3 พ.ย.) นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ ยังไม่เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอผลการวิเคราห์ความเสี่ยง และผลกระทบพร้อมแนวทางแก้ไขจากการออกใบอนุญาตบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม (3G) เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคำถามถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งองค์กรกสทช. โดยเห็นว่ายังไม่มีความชัดเจนใน 3 ประเด็น แต่ละประเด็นมีข้อสังเกตดังนี้
1. จะต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการกทช. (บอร์ดกทช.)ในบ่ายวันที่ 4 พ.ย.นี้ ในส่วนของภาพรวมของการประมูลคลื่นความถี่ของ กทช. ซึ่งในเชิงกฎหมายนั้นจะต้องไปดูว่า กทช. มีอำนาจสามารถออกใบอนุญาตได้ตามกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการคัดเลือกกรรมการ กทช. ทดแทนกรรมการที่หมดวาระและที่ลาออกซึ่งกทช.ควรพิจารณาหารือข้อกฎหมายกับคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ชัดเจนในส่วนของสถานะและอำนาจหน้าที่ของกทช. และกสทช.ตามรัฐธรรมนูญ และประเด็นการประมูลคลื่นความถี่ และการให้ใบอนุญาตจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้ามาร่วมงานฯ พ.ศ.2535 หรือไม่ แต่หากไม่มีการหารือ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้เชิญมาหารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมกำหนดเวลา 2 สัปดาห์ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงไอซีที รับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขสัมปทานระหว่างเอกชนกับ บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท.โทรคมนาคมให้ถูกต้องตามขั้นตอน ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ครม.เห็นชอบไปก่อนหน้านั้น
2. ประเด็นการกำหนดเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่ 3G ที่ชัดเจนนั้น ขณะนี้กทช.ยังอยู่ระหว่างการนำประเด็นข้อห่วงใยของครม.เศรษฐกิจไปรับฟังความคิดเห็นกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งกทช.จะต้องกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจน ในการเข้าประมูลของผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับทีโอที และกสท เช่นหากผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานจะเข้าประมูลใบอนุญาตดังกล่าว คู่สัญญาภาคเอกชน ต้องดำเนินการแปรสัญญาให้เรียบร้อยก่อนการเข้าประมูลใบอนุญาต ซึ่งจะทำให้ปัญหาการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบสัญญาสัมปทานไปสู่การออกใบอนุญาตและจะช่วยลดปัญหาการโอนฐานลูกค้า และปัญหาการใช้ทรัพย์สินที่ได้รับโอนจากสัญญาสัมปทาน เป็นต้น
นอกจากนี้ขอให้ กทช.พิจารณารับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นมูลค่าใบอนุญาต 3G เมื่อเปรียบเทียบกับสัญญาสัมปทานเดิมด้วย ทั้งนี้ กทช.ได้ให้ข้อมูลว่า เงื่อนไขในการให้ใบอนุญาต 3G จะมีความชัดเจนภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากมีการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องโดยคาดจะชัดเจนต้นเดือนธันวาคมนี้
3. ที่ประชุมขอให้กระทรวงไอซีที ยังรอการพิจารณาของบอร์ด กทช. เพื่อรอความชัดเจนในข้อกฎหมาย และเงื่อนไขของการเปิดประมูลการดำเนินการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการลงทุนพัฒนาโครงข่าย 3G ของกทช.ที่ชัดเจนก่อนที่ทีโอทีจะดำเนินการลงทุน แต่หากเงื่อนไขออกมามีผลกระทบต่อการลงทุนของทีโอที อย่างมีนัยสำคัญต่อผลตอบแทนทางการเงินของโครงการและหาก ทีโอทีมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแผนธุรกิจที่แตกต่างจากเงื่อนไขเดิม ที่ครม.ให้ความเห็นในปี 2551จะต้องนำเสนอครม.พิจารณาก่อนดำเนินการลงทุนต่อไป

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อินเทลอัดแคมเปญการตลาดออนไลน์ หนุนสร้างแบรนด์บน 3 แกนหลัก

อินเทลเปิดตัวกิจกรรม ‘Innovator of Thailand’ หนึ่งในแคมเปญการตลาดออนไลน์ล่าสุด หนุนการสร้างแบรนด์ใน 3 แกนหลัก สร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับอนาคต
นางดรรชนีพร พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า อินเทลได้มีการเปิดตัว 'Innovator of Thailand' หรือผู้สร้างสรรค์วัตกรรมเพื่ออนาคตของไทย ซึ่งเป็นกิจกรรมการตลาดบนสื่อออนไลน์ล่าสุดในประเทศไทย ภายใต้แคมเปญการตลาดที่ใหญ่สุดของอินเทลที่มีชื่อว่า "Sponsors of Tomorrow" (SOT) เพราะมีการทำการตลาดทั้งในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อเอาท์ดอร์ รวมทั้งโปรโมชันส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลือกซื้อโปรเซสเซอร์ของอินเทลเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยแคมเปญการตลาดออนไลน์นี้ จะเปิดตัวครั้งแรกในงาน Commart Comtech Thailand'09 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 พฤศจิกายน 2552 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ทั้งนี้ การสร้างแบรนด์ของอินเทลจะทำบน 3 แกนหลัก คือ มาสเตอร์แบรนด์อินเทล ซัปแบรนด์ซึ่งเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ที่นำออกสู่ตลาด เช่น คอร์ i5 คอร์ i7 เป็นต้น และโปรดักต์แบรนด์ซึ่งก็คือตัวชิป แต่การสร้างแบรนด์ใน 3 ส่วนนี้ เป้าหมายหลักคือชื่ออินเทล
"การสร้างแบรนด์เราจะใช้สื่อต่างๆ ทั้งที่เป็นออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักอินเทลมากขึ้น โดยสองส่วนแรกเราจะใช้สื่อทั้งสองประเภทห้าสิบห้าสิบ ส่วนสุดท้ายจะโคกับพาร์ตเนอร์ โดยเน้นต่างจังหวัดเป็นหลักเพราะการใช้สื่อออนไลน์ยังไม่มากนัก"
สำหรับกิจกรรม Innovator of Thailand ได้สะท้อนความมุ่งมั่นและตอกย้ำให้เห็นความเป็นผู้นำของอินเทลในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับอนาคต โดยมุ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสำหรับไมโครโปรเซสเซอร์ หรือชิป ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันให้เกิดรูปแบบชีวิตที่ทันสมัยสำหรับยุคดิจิตอลที่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ อินเทลไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ผลิตชิปแต่เป็นผู้สร้างสรรค์อนาคตและคิดค้นเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบาย รวมทั้งสร้างหลายสิ่งจากจินตนาการให้เป็นเรื่องจริงได้
"แคมเปญการตลาดตัวล่าสุดนี้เป็นการปรับให้ผู้บริโภคสามารถเข้าใจว่านวัตกรรมที่อินเทลได้สร้างขึ้นมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วนั้น เป็นการนำความทันสมัย หรือรูปแบบชีวิตในอนาคตมาสู่ปัจจุบัน และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร นอกจากนี้ ยังต้องการชี้ให้ผู้บริโภคเห็นว่าอินเทลไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีมาสู่ผู้ใช้งานทุกคนอีกด้วย"
กิจกรรมครั้งนี้จะมุ่งเน้นการใช้สื่อออนไลน์เป็นหลักเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่หันมาบริโภคสื่อออนไลน์ และ social network มากขึ้น โดยมีการสร้างหน้าเว็บเพจและเนื้อหาที่เป็นภาษาไทย พร้อมทั้งกิจกรรมประกวดความคิดสร้างสรรค์มาให้แฟนๆของอินเทลได้ร่วมสนุกด้วย
"งบการตลาดปีนี้อินเทลได้มากขึ้นแต่ต้องมีไอเดียไปเสนอ การทำแคมเปญครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการขายของ แต่ต้องการทำให้ความเข้ากับผู้บริโภคมากกว่า"

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตรวจพบเชื้อหวัด 2009 ในแมวเป็นครั้งแรก!

สหรัฐตรวจพบไวรัสไข้หวัดใหญ่2009ใน แมวเป็นครั้งแรก ชัดเจนว่าได้รับเชื้อไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1 จากเจ้าของ
ตวแพทย์ในรัฐไอโอวาของสหรัฐตรวจพบไวรัสไข้หวัดใหญ่2009ในแมวเป็นครั้งแรก แมวตัวดังกล่าวเป็นเพศผู้มีอายุ 13 ปี มีความชัดเจนว่าได้รับเชื้อไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1 จากเจ้าของ เพราะพบว่ามีสมาชิก2ใน3คนของครอบครัวนี้เคยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมาก่อนทีมงานสัตวแพทย์และนักวิชาการของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐไอโอวา ยืนยันผลการตรวจหลังจากติดตามประวัติของครอบครัวนี้และเฝ้าสังเกตอาการเป็น เวลา 5 วัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สัตวแพทย์ให้ยาปฏิชีวนะแก่แมวตัวนี้แล้วพบว่าอาการดีขึ้นมาก

รศ.เบรต สปอนเซลเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญจุลชีววิทยาเกี่ยวกับสัตว์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงจำนวนแมวที่ติดเชื้อและอันตรายจากเชื้อที่ติดจากแมวไป สู่มนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าจะมีอันตรายไม่มากนัก เขาเชื่อว่าจะมีการนำแมวมาตรวจมากขึ้นเพื่อหาการติดเชื้อ

หน่วยงานสาธารณสุขของรัฐไอโอวาเตือนประชาชนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 ว่าสามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อไปยังมนุษย์และสัตว์บางชนิดได้ โดยที่สัตว์เลี้ยงจะมีความใกล้ชิดกับคนป่วยและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มาก
ก่อนหน้านี้สัตวแพทย์วินิจฉัยพบว่าแมวสามารถติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกเอช 5 เอ็น 1 แต่ในกรณีแมวอายุ 13 ปี ตัวนี้เป็นครั้งแรกที่ตรวจพบไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และบ่งบอกเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาด

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ค่าของใจสำคัญยิ่งกว่า....

ค่าของใจสำคัญยิ่งกว่าความสมหวังทั้งหลาย
'ใจ'...เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้มีปัญญาเห็นค่าของใจสูงกว่าค่าของสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงพร้อมจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพิ่มพูนความดีงามให้แก่จิตใจตน สมเด็จพระบรมศาสดาก็ได้ทรงเสียสละอย่างยิ่งยวดเพื่อค่าสูงยิ่งของใจ คือเพื่อให้ทรงได้มาซึ่ง...'ใจที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง' ทรงเสียสละราช-สมบัติ ทรงเสียสละพระมเหสี พระปิโยรสเพียงพระองค์เดียวทรงเสียสละความสุขมากมายเหลือจะประมาณ ซึ่งทรงมีอยู่เหนือมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก เพื่อความพ้นทุกข์ทางพระ-หฤทัย นี้ก็เพราะทรงเห็นค่าของใจสูงกว่าค่าของทุกสิ่งทุกอย่างดังกล่าวแล้ว
ผู้ไม่สมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเกิดความทุกข์ เพราะความไม่สมหวังนั้นมีวิธีคิดที่น่าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่จิตใจตนเองอย่างที่สุด คือคิดว่าถ้านำความไม่สมหวังนั้นมาเป็นทางดำเนินไปถึงความมีค่าเพิ่มพูนขึ้นของจิตใจ ก็จะได้ประโยชน์กว่าถ้าสมหวังแล้วจิตใจไม่มีค่าขึ้น คือไม่ดีขึ้นกว่าระดับเดิม
ความไม่สมหวังจะทำให้ค่าของจิตใจเพิ่มขึ้นอย่างไร มีอธิบายดังนี้ ถ้าความไม่สมหวังเกิดขึ้น แล้วทำสติให้รู้ทัน ว่าเป็นสิ่งเกิดขึ้นแล้วผ่านไปแล้ว ควรไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น อยากให้ไม่เกิดขึ้นเช่นนั้น แต่อยากให้เกิดเป็นอีกอย่างหนึ่งคือเป็นความสมหวังเช่นนี้นับว่าเป็นการเพิ่มค่าให้แก่จิตใจ คือทำให้จิตใจปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ แม้เพียงในเรื่องเดียวก็นับว่าเป็นการดียิ่งแก่จิตใจ ทำให้จิตใจดีขึ้น เพิ่มค่าขึ้น
ดังนั้น เมื่อเราไม่สมหวังเกิดขึ้นในเรื่องใด แทนที่จะปล่อยใจให้ต่ำลงเพราะความเสียใจ ก็ควรรีบคิดเสียในทันที...ว่าค่าของใจสำคัญยิ่งกว่าความสมหวัง... ไม่ว่าเรื่องยิ่งใหญ่เพียงใดทั้งนั้นโดยถือความผิดหวังนั้นเองเป็นบันได จะถือว่าเป็นการตกบันไดพลอยโจนก็ยังดี คือไหนๆก็ผิดหวังแล้ว คิดเสียให้ได้ว่าผิดหวังนั่นแหละดี ก็ไม่เป็นไรจะเป็นการตกบันไดพลอยโจนที่น่าจะยินดีทำทั่วกัน ดีกว่าที่จะตกบันไดแล้วยังนำความเศร้าเสียใจมาเป็นอาวุธทิ่มแทงใจตนเองให้เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีกกว่าเป็นไหนๆ พึงใช้สติปัญญาพิจารณาให้ดีในเรื่องนี้เพราะมิใช่ไม่สำคัญ
ความจริงเป็นเรื่องสำคัญของทุกคน เพราะทุกคนต้องประสบความไม่สมหวังอยู่เกือบตลอดเวลา ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ หนักบ้าง เบาบ้าง ต่างกันเท่านั้น การหาวิธีช่วยตนเองเพื่อป้องกันและเพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดทุกข์ เพราะความไม่สมปรารถนาจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรละเลย ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจึงสมควร
'ใจที่สงบ'...เป็นใจที่มีค่า ความเสียดายความเสียใจ และความทุกข์ความโกรธแค้น ขุ่นเคือง ล้วนเป็นเหตุแห่งความไม่สงบของจิตใจทั้งสิ้น แม้ดูใจตนเองเพียงนิดเดียวก็จะแลเห็นว่าความจริงมีอยู่เช่นนี้ เวลาเสียใจหรือเวลาโกรธจะไม่สงบ จะวุ่นวาย หวั่นไหว พยายามเชื่อว่าใจที่สงบเป็นใจที่มีค่า เชื่อเมื่อไรแล้วก็ให้เชื่อต่อไปว่าความเสียใจก็ตาม ความไม่สบายใจก็ตาม นั่นแหละทำให้ใจไม่สงบ ทำให้ใจลดค่าลง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ให้เชื่อต่อไปอีกว่า ไม่ว่าจะเกิดความผิดหวังมากมายเพียงใดก็ตาม ถ้ารักษาใจให้สบายได้แล้วนั่นแหละเป็นการยกระดับค่าของจิตใจตนให้สูงขึ้น เป็นการปฏิบัติที่ผู้มีปัญญาทั้งหลายปฏิบัติกันอยู่โดยทั่วไป...ฯ

~สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทำไมแป้นพิมพ์ ไม่เรียง A B C ...

? ? ? ทำไม ตัวอักษรในแป้นพิมพ์ทั้งของเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ ถึงไม่เรียงกันตามลำดับอักษรเช่น A B C
สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียง ที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้) ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย
การเรียงลำดับ อักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่ เสมอ ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868 จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักใช้มาผสมเป็นคำ ร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัท เรมิงตันอาร์มคอมพานี ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ใน เวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK ซึ่งเคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าในปี 1956 ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป
ทั้ง นี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทำไมมดถึงต้องเดินแล้วเอาหนวดแตะกัน

ที่มดเดินแล้วเอาหนวดแตะกัน นั้นเป็นเพราะว่ามดต้องการสื่อสารกัน
มดสื่อสารกันได้อย่างไร??
เป็นเวลากว่า 30 ปีมาแล้ว ที่นักกีฏวิทยาและนักมดวิทยาได้ศึกษาแมลงสังคมและมด และก็ได้ลงความเห็นว่ามดมีรูปแบบการสื่อสารระหว่างกันทั้งหมด 12 แบบด้วยกันได้แก่
1. การเตือนภัย หรือบอกเหตุอันตราย
2. การดึงดูดความสนใจทั่วไป
3. การบอกตำแหน่งแหล่งอาหารและรัง
4. การช่วยเหลือตัวอ่อนเวลาลอกคราบ
5. การแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันอาหารเหลว
6. การแลกเปลี่ยนอาหารที่เป็นของแข็ง
7. อิทธิพลของกลุ่มที่มีทั้งการสนับสนุนและยับยั้งกิจกรรมที่ให้กระทำ
8. การยอมรับวรรณะของมดร่วมรัง และแบ่งแยกมดพวกที่บาดเจ็บหรือตาย
9. การกำหนดวรรณะโดยมดราชินี
10. การควบคุมการแข่งขันการสืบพันธุ์ของกลุ่ม
11. การกำหนดอาณาเขตของรังและตำแหน่งของรัง
12. การสื่อสารเรื่องเพศ
รูปแบบการสื่อสารเหล่านี้ก็โดยใช้ “สารเคมีในร่างกาย” (หรือที่เราเรียกว่า “ฟีโรโมน”) ที่มีกลิ่นแตกต่างกันไปเป็นหลัก โดยอวัยวะส่วนที่สัมผัสและรับรู้กลิ่นนี้ได้ดีก็คือ “หนวด” นั่นเอง มดจะใช้หนวดในการสื่อสารกัน เราคงคุ้นเคยที่เห็นมดเวลาเจอกัน จะใช้หนวดแตะกัน นั่นคือการสื่อสารกัน พฤติกรรมที่เราเห็นนั้นคือ มันกำลังถ่ายเทอาหารหรือของเหลวให้แก่กัน อาจเป็นตัวหนึ่งให้อีกตัวหนึ่งรับหรือการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
สารเคมีเปรียบเสมือนกลิ่นประจำตัวที่ทำให้มดสามารถแยกแยะตัวอื่นได้ว่า เป็นมดกลุ่มเดียวกันหรือมาจากต่างกลุ่มกัน กลิ่นของสารเคมียังช่วยให้มันแยกแยะวรรณะได้ คือทำให้มันรู้ว่าพี่น้องมันตัวไหนเป็นมดงาน ตัวไหนเป็นมดเพศผู้ ตัวไหนเป็นมดเพศเมีย หรือตัวไหนเป็นมดราชินี อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าตัวอ่อนที่เป็นน้องของมันนั้นอยู่ในระยะไหนแล้ว เพราะถ้าใกล้ลอกคราบมันก็จะมาช่วยด้วย เพราะปกติในรังนั้นก็มืดอยู่แล้ว และการมองเห็นของมดก็ไม่ค่อยดี การสัมผัสโดยรับรู้จากกลิ่นทำให้เป็นการกำหนดพฤติกรรมของมันไปด้วยในตัว
เมื่อมดออกนอกรัง โลกใบใหญ่อันกว้างขวางของมันนั้น มันรับรู้ได้โดยใช้สารเคมีนี้ช่วย ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจสิ่งรอบตัว หรือแหล่งอาหาร เมื่อมันพบแล้วมันก็ยังต้องพึ่งเส้นทางจากสารเคมีนั่นเองเพื่อใช้เป็นเส้น ทางกลับรังไปบอกพรรคพวกและเดินเส้นทางเดิมโดยไม่หลงทางเพื่อไปลากอาหารกลับ รัง เราอาจเรียกทางนี้ว่า “เส้นทางมด” ซึ่งก็เป็นเส้นทางของสารเคมีจากตัวมันนั่นเอง
อีกทั้งเมื่อรังของมันถูกคุกคามจากศัตรูภายนอก ก็เป็นสารเคมีนี้อีกนั่นแหละที่มีบทบาท โดยมดราชินีจะเป็นผู้ส่งสัญญาณเตือนภัยออกไปเพื่อให้มดงานทั้งหลายมาปกป้อง เธอและไข่
จะเห็นได้ว่า สารเคมีจากตัวมดนี้ มีบทบาทต่อวิถีชีวิตพวกมันมากทีเดียว

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัตินางนพมาศ

นางนพมาศ เป็นธิดาของพระศรีมโหสถกับนางเรวดี
บิดาเป็นพราหมณ์ปุโรหิตในสมัยพระยาเลอไท นางนพมาศได้ถวายตัวเข้ารับราชการในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ในยุคสุโขทัย เป็นที่โปรดปรานจนได้เป็นสนมเอกตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นางนพมาศได้เขียนตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขึ้นเพื่อเป็นหลักประพฤติปฏิบัติตนในการเข้ารับราชการของนางสนมกำนัลทั้งหลาย
เรื่องนี้แต่งด้วยร้อยแก้วแต่มีคำประพันธ์ลักษณะเป็นกลอนดอกสร้อยแทรกอยู่บ้าง ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นใหม่ในมัยรัตนโกสินทร์ เพราะภาษาที่ใช้แตกต่างจากภาษาที่ใช้ในวรรณคดีที่แต่งในยุคเดียวกันคือ คือศิลาจารึกหลักที่ 1 และ ไตรภูมิพระร่วง
เนื้อเรื่องในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวถึงประเพณีต่างๆ ของไทย
เช่น การประดิษฐ์ พานหมากสองชั้นรับแขกเมือง การประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) เพื่อใช้ในพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป (ลอยกระทง) ซึ่งประเพณีนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หนังสือนางนพมาศ
และนางนพมาศได้ทำคุณงามความดีเป็นที่โปรดปรานของพระร่วง มีอยู่ 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เข้าไปถวายตัวอยู่ในวังได้ห้าวัน ก็ถึงพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป (ลอยกระทง) นางได้คิดประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) มีนกเกาะดอกไม้สีสวยๆ ต่างๆ กัน เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงมาก
ครั้งที่ 2 ในเดือนห้ามีพิธีคเชนทร์ศวสนาน เป็นพิธีชุมนุมข้าราชการทุกหัวเมือง มีเจ้าประเทศราชขึ้นเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย ในพิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงรับแขกด้วยเครื่องหมากพลู นางนพมาศได้คิดประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้งดงาม พระร่วงทรงโปรดปรานและรับสั่งว่า ต่อไปผู้ใดจะทำการมงคลก็ดี รับแขกก็ดี ให้ใช้พานหมากรูปดังนางนพมาศประดิษฐ์ขึ้น ซี่งเป็นต้นเหตุของพานขันหมากเวลาแต่งงาน ซึ่งยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน
ครั้งที่ 3 นางได้ประดิษฐ์พนมดอกไม้ถวายพระร่วงเจ้าเพื่อใช้บูชาพระรัตนตรัย พระร่วงทรงพอพระทัยในความคิดนั้น ตรัสว่าแต่นี้ต่อไปเวลามีพิธีเข้าพรรษาจะต้องบูชาด้วยพนมดอกไม้กอบัวนี้
นางนพมาศเป็นบุคคลที่ได้สมญาว่า "กวีหญิงคนแรกของไทย" ดังเช่นที่เขียนไว้ว่า "ทั้งเป็นสตรี สติปัญญาก็น้อยกว่าบุรุษ แล้วก็ยังอ่อนหย่อนอายุ กำลังจะรักรูปและแต่งกาย ซึ่งอุตสาหะพากเพียร กล่าวเป็นทำเนียบไว้ ทั้งนี้เพื่อหวังจะให้สตรีอันมีประเภทเสมอด้วยตน พึงให้ทราบว่าข้าน้อยนพมาศ กระทำราชกิจในสมเด็จพระร่วยงเจ้ากรุงมหานครสุโขทัย ตั้งจิตคิดสิ่งซึ่งเป็นการควรกับเหตุ ถูกต้องพระราชอัชฌาสัยพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ปรากฎชื่อแสียงว่าเป็นสตรีนักปราชญ์ ฉลาดในวิชาช่างอยู่ชั่วกัลปาวสาน " นี่คือนางนพมาศ สนมเอกของสมเด็จพระร่วงเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันลอยกระทง

ประเพณีลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญ (วันขึ้น 15 ค่ำ) เดือน 12 (ตามปฏิทินทางจันทรคติ) ประมาณเดือนพฤศจิกายน ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อแม่พระคงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไปการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเทศกาล"สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง"เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน นอกจากจะมีกิจกรรมเด่น ในหลายพื้นที่ เช่น งานลอยกระทงกรุงเทพมหานคร, ประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย,ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่, ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวงฯ จังหวัดตาก และประเพณี ลอยกระทงตามประทีป จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้แล้วยังเป็นการส่งเสริมประชาสัมพันธ์งานประเพณีลอยกระทงให้เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวในระดับนานาชาติ (World Events) โดยการผสมผสานกิจกรรมใหม่ ๆ ขึ้น เช่น เทศกาลโคมไฟนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทางของนักท่องเที่ยวตลอดเดือนต่อไป
วัตถุประสงค์
1.เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟู ประเพณี อันดีงามของไทย(โดยเฉพาะประเพณีลอยกระทงของแต่ละท้องถิ่น) ไว้สืบทอดต่อไป
2.เพื่อส่งเสริมให้งานประเพณีลอยกระทง เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว โดยสามารถนำเสนอในรายการนำเที่ยวเป็นประจำทุกปี ในอนาคตอย่างยั่งยืน
3.เพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวและรายได้ พร้อมทั้งขยายวันพักของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
4.เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศในช่วงเทศกาลประเพณีลอยกระทง และการท่องเที่ยวทางน้ำตลอดเดือนพฤศจิกายนกิจกรรมรูปแบบการจัดงานลอยกระทงของจังหวัดนครปฐม ได้เน้นการส่งเสริมและอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามของไทย ได้แก่
1. เชิญชวนให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งราชการและเอกชนประดิษฐ์กระทงส่งเข้าประกวด โดยแบ่งเป็นประเภทสวยงามและประเภทความคิด กำหนดขนาด เส้นผ่าศูนย์ กลางไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ประเภทสวยงามต้องประดิษฐ์ด้วยดอกไม้สด ส่วนประเภทความคิดไม่จำกัดวัสดุ ผู้ส่งกระทงเข้าประกวดต้องจัดขบวน แห่โดยตั้งขบวนจาก เทศบาลเมืองนครปฐม ไปยังพระราชวังสนามจันทร์ให้ประชาชนได้ชมความสวยงามและเป็นการเชิญชวนให้คนมาร่วมงานกระทง ที่แห่มานั้นจะนำมาลอยไว้ ในสระเพื่อรอให้คณะกรรมการตัดสินให้รางวัล
2. เชิญชวนให้หน่วยงานต่าง ๆ ประดิษฐ์โคมแขวนส่งเข้าประกวด เพื่อเป็นการฟื้นฟู ประเพณีงานจุดประทีปโคมไฟเมื่อครั้งสุโขทัย ให้อนุชนรุ่นหลังได้ ทราบ ว่างานลอยกระทงในสมัยโบราณมีความยิ่งใหญ่สวยงามเพียงใด โคมแขวนนั้นมีจุดประสงค์เพื่อบูชาพระรัตนตรัย การส่งโคมแขวนนั้นมีจุดประสงค์ เพื่อบูชา พระรัตนตรัย การส่งโคมแขวนประกวดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกับกระทง คือ ประเภทสวยงามทำด้วยดอกไม้สด กับประเภทความคิดไม่จำกัดวัสดุ
3. จัดให้มีการแสดงและการละเล่นทางวัฒนธรรมไทย เช่น การแสดงบนเวทีประเภท ดนตรีไทย นาฏศิลป์ไทย การละเล่นของคนไทยภาคต่าง ๆ และการประกวด นางนพมาศ เป็นต้น
4. มีการเล่นเพลงเรือ โดยมีเรือเพลงชายและหญิง ลอยในสระน้ำร้องเพลงเรือโต้ตอบกัน เป็นการสาธิตการเล่นเพลงเรือแบบโบราณ เพื่อรักษาการละเล่นแบบ เก่าไม่ ให้สูญหายและเป็นการเพิ่มความสนุกสนานของงานยิ่งขึ้น
5. มีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟ และไฟพะเนียง เพื่อสร้างบรรยากาศรื่นเริงแบบไทย ๆ ให้มีสี สันสวยงามยิ่งขึ้น นับว่างานลอยกระทงเป็นงานพิธีเก่าแก่ของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ สมควรที่ทุกจังหวัดได้ร่วมมือกันจัดงานนี้อย่างพร้อมเพรียงกันทั้งนี้นอก จากสืบทอด ประเพณี ที่ดีงามให้คงอยู่ต่อไปแล้วยังสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งช่วยปลูกฝังให้ประชาชนรักษาดูแลแม่น้ำลำคลองไม่ให้เน่าเสีย ทั้งยังรณรงค์ ให้ใช้ วัสดุธรรมชาติในการประดิษฐ์กระทงลอย เช่น ใบตองและหยวกกล้วย ตามแบบโบราณไม่ควรใช้วัสดุที่ย่อยสลายยาก เช่น โฟม พลาสติกต่าง ๆ เป็นต้น