วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

เหงื่อบอกโรค



เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้
พ.ญ.เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง จ.เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ
1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น

- ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย

- วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง

- เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

- โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง

- ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน
2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย
ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้
- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด
- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน
คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้

เรื่องของ"เลข 9" ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009

หากลองสังเกตรอบตัวสักนิด ณ เวลานี้ จะเห็นป้ายผ้า ป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่ขึ้นหราทั้งตามสี่แยก ห้างสรรพสินค้า และแม้กระทั่งตามวัดวาต่างๆ ชักชวนให้ทำบุญ หรือประกอบกิจกรรม กิจพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 09.09 น. ปี 2009
เพราะความเชื่อในเรื่องของ "เลข 9" ว่าเป็นเลขมงคล เป็นฤกษ์งามยามดี เป็นโชค หรืออะไรก็แล้วแต่ที่หมู่คนไทยเวลานี้นิยมยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งทางใจ
โดยเฉพาะตัวเลขที่ปรากฏบนปฏิทินของปีฉลู 2009 วันที่ 9 เดือน 9 ถือเป็นเลขสวยที่สุดของศตวรรษก็ว่าได้
ความคิดเห็นความเชื่อของเลข 999 ที่ปรากฏขึ้นนี้ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่เห็นว่าเป็น เลขมงคล จะทำการต่างๆ หรือพิธีต่างๆ ในวันนี้กันอย่างคึกคัก คนที่ยังไม่มีกิจกรรม ก็จะสรรหา คิดค้นขึ้นมาให้สอดคล้องต้องกับวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงไปยังเลข 9 อาทิ การจัดงานไหว้พระทำบุญ 9 วัด ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 หรือ ทำพิธีปลุกเสกพระศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่างๆ เป็นต้น
อีกฝ่ายเห็นว่าเป็น เลขลึกลับ น่ากลัว โดยเฉพาะในฝ่ายของคริสต์ศาสนา ที่มีบางพวกเชื่อว่าเป็นวันฟื้นคืนชีพของซาตาน- - ว่าเข้าไปโน่น
ความจริงคนถือฤกษ์ยาม วันที่ 9 เดือน 9 มีมาเกือบทุกปี พ.ศ.อยู่แล้ว เพราะถือเป็น "กระทิงวัน" ซึ่งความหมายของกระทิงวันบอกไว้ว่า เป็นวันใดวันหนึ่งที่มีเลขตรงกันสามตัวขึ้นไป
และปีนี้ปรากฏว่ามีเลข 9 ตรงกัน คือ วันที่ 9 เดือน 9 (กันยายน) ปี 2009 วันเช่นนี้ถือเป็นวันที่มีความแข็งกล้า มีความสำคัญในหลักโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
โดยเฉพาะในด้านไสยศาสตร์ สายเกจิอาจารย์ที่มีคาถาอาคม ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เรื่องเลข 9 สนุกสนานไม่แพ้กัน โดย อาจารย์หนู กันภัย เกจิอาจารย์ด้านสักยันต์ลงคาถาอาคมชื่อดัง กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า เดือนกันยายนมี "วันเสาร์ห้า" เป็นวันแข็ง ถ้าทำพิธีปลุกเสกตามวัดต่างๆ จัดว่าดี และถ้าเป็นวันเสาร์ห้าที่มีเลข 9 คือวันเสาร์ห้าในเดือน 9 แล้วยิ่งจะแรงขึ้นอีกหลายเท่า
"ยิ่งถ้าเป็น 999 ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ คือวันที่ 9 เดือน 9 แรม 9 ค่ำ ซึ่งก็คือวันที่ 9 ในเดือนกันยายนนี้ ถือเป็นเลขมงคลอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นฤกษ์ในการทำพิธีปลุกเสก หรือพุทธาภิเษกเครื่องรางของขลัง เรียกกันในวงการว่าเป็นฤกษ์ 5 มหาเศรษฐี เป็นวันธงชัย เพราะฉะนั้น ฤกษ์ที่เป็นเสาร์ห้าก็ดี หรือกระทิงวัน 999 ก็ดี จะไม่มีพวกอุบาทว์ จะไม่มีพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก จะเป็นฤกษ์ที่รุกขเทวดามาชุมนุมกัน ซึ่งทางพระสงฆ์เองก็ถือว่าเป็นวันดีวันแข็งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
อย่างไรก็ดี อาจารย์หนูบอกว่า เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลด้วย เพราะบางคนไม่ถือฤกษ์ยาม หรือมีวิธีแก้เคล็ด พร้อมยกตัวอย่างวัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือวัดหลวงพ่อโสธร มีการจัดงานประจำปีทุกปี และบังเอิญว่าวันที่จัดไปตรงกับฤกษ์วันโลกาวินาศ แต่ทางวัดก็ยังจัดโดยมีวิธีแก้ คือจัดพิธีบูชาฤกษ์
"สำหรับผมแล้วเห็นว่าวันของคนไทยเราดีทุกวัน ตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ดีทุกวันก็ถือว่าดี ส่วนเลข 9 ก็เป็นความเชื่อของคนไทย ที่เชื่อว่าเลข 9 ตามตำราเป็นเลขดีเลขมงคล ขณะที่คนจีนกลับบอกว่า เลข 8 ดี จริงๆ แล้วอย่าไปยึดติดตัวเลขอะไรกันมาก วันไหนก็ดีทุกวัน ขอให้ยึดถือทำความดีเป็นที่ตั้ง เราจะทำความดีจุดธูปไหว้พระ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวันไหน ทองย่อมเป็นทองแม้อยู่ในน้ำครำก็เป็นทอง หากมีเวลาอยากให้ไปทำบุญกันให้มากๆ ไม่ว่าวันไหนก็ตาม เช่นตอนนี้ที่วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ กำลังจะสร้างโรงทาน ใครอยากไปทำบุญไปได้ทุกวัน เวลา.."
ส่วนความเชื่อในทางโหราศาสตร์นั้น "นงนภัส ลิมวิภา" หมอดูที่เรียกตัวเองว่า "มิติแห่งจิตสัมผัส" พูดถึงเรื่องของเลข 9-9-9 ว่า ในวันที่ 9 กันยายนนี้ตามตำราจีนถือว่าเป็นวันธงชัย เหมาะแก่การทำงานมงคลต่างๆ
แต่คนไทยส่วนมากจะคิดว่าเลข 9 เป็นสัญลักษณ์ของดาวเกตุ-ดาวเกตุเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดาวมงคลคุ้มครอง ในความเห็นของตน เลข 9 เหมือนดาบสองคม ถ้าปฏิบัติดีเลขก็จะส่งเสริม แต่ถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่ดี เลข 9 ก็จะไม่ส่งผลอะไร
"จริงๆ แล้วในหลักของตัวเลขวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 มันคือ 9 สามตัวบวกกันแล้วจะได้ 27 ความหมายของศาสตร์ ตัวเลข 27 ร้ายแรงมาก หมายถึงความเป็นอัปมงคล มีแต่เรื่องสูญเสีย โรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตมีแต่ปัญหา แต่ไม่ต้องกังวลอะไรมาก คนเราจะทำความดีวันไหนก็ได้ เพราะวันไหนก็ดีทั้งนั้น ถ้าพร้อม เมื่อพร้อมใจก็สบายไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่นลงตัว"
นงนภัสกล่าวเพิ่มเติมในแง่ของโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาในปีที่มีเลข 999 ปี 2552 ว่า สถานการณ์ทั่วไปไม่ถึงกับรุนแรงวิปโยค แต่จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง วุ่นวาย และน่าเบื่อหน่ายพอสมควร"ที่น่าห่วงคือเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำและไฟ น่าห่วงมากที่สุด ขอให้อย่าประมาทในภัยธรรมชาติ จะรุมกระหน่ำพอสมควร แต่อย่าได้ตกใจกับข่าวต่างๆ มากเกินไป มีสติ แล้วทุกอย่างจะแก้ไขได้ จากนี้ไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น จะมีดีเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังเหนื่อยมาก ไม่มีใครช่วยได้นอกจากช่วยตัวเอง โดยการใช้จ่ายอย่างพอเพียง ลดสิ่งที่ไม่จำเป็นลงบ้างแค่นี้ก็ดำรงชีพอยู่ได้แล้ว"ส่วนช่วงปลายปี 2552 ในเดือนธันวาคม นงนภัสบอกว่า จะมีเหตุการณ์ขัดแย้งหนัก ขอให้ทุกคนใจเย็น ใช้ธรรมในการดำรงสติและชีวิต โดยเฉพาะรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน จะสร้างความรักความสุขให้เกิดขึ้น เหตุการณ์ไม่ดีก็จะอ่อนลงไม่ทำร้ายกันในที่สุด
"อยากแนะนำให้ทุกคนสวดมนต์บท มงกุฎพระพุทธเจ้า วันละ 18 จบ จะแคล้วคลาดปลอดภัย และอย่าลืมแผ่เมตตาให้สรรพสิ่งด้วย" สาวผู้มีมิติแห่งจิตกล่าวทางด้านพระพุทธคุณ พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เขตสาทร ซึ่งขณะนี้กำลังมีงานพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พูดถึงเรื่องของเลข 9 ในเดือนกันยายนนี้ ว่า ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ยึดถือตัวเลขอะไรทั้งนั้น ฉะนั้น ความเชื่อเรื่องเลข 9 เป็นความเชื่อของประชาชน คือวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 เป็นตัวเลขที่สวย "อาตมาว่าการทำความดีไม่ต้องไปยึดกับตัวเลข ทำดีได้ทุกวัน การทำความชั่ววันไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 ถ้าประชาชนได้ร่วมกันทำความดีเพื่อประเทศชาติ ก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม ทางโบราณเขามีกำหนดเอาไว้ตามหลักสถิติ ก็ว่ากันไป ยกตัวอย่างวัดเสาร์ห้ามขึ้นบ้านใหม่ ทำไปแล้วมีเรื่องเดือดร้อน หรือแต่งงานวันพุธไม่ดี ปูที่นอนส่งตัววันพุธไม่ดี อาตมาเองไม่เคยเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ อาตมาเชื่อมั่นตามหลักพระพุทธเจ้าสอน ทุกวันเป็นวันดีหมด เวลาญาติโยมมากราบพระ อยากจะได้วันไหนก็เป็นเรื่องที่ญาติโยมกำหนดเอาเอง ว่าวันไหนทำแล้วสบายใจก็ทำ"หลวงพ่อศิษย์ตถาคตยังบอกด้วยว่า เวลานี้ทางวัดยานนาวาได้จัดกิจกรรมในวันเสาร์-อาทิตย์ มีพระมาเทศนา สอนธรรมะ สอนปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาให้ประชาชนได้สักการะบูชากัน"ถ้าอยากทำความดีก็มา ไม่ว่าวันไหน เดือนไหน ตัวเลขอะไร ดีทั้งนั้น อาตมาขอแนะนำ"เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ ใครเชื่ออย่างไหนก็ทำอย่างนั้น แต่เรื่องของความดี ทำดีได้ดี เป็นเรื่องจริง เป็นของจริง

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

“ความลับ” ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก!

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ประเทศญี่ปุ่น” เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากกว่า 20 ปีแล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คนเลยทีเดียว และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ
นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้คล็ดลับว่าทำไม “คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้มีการทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคนญี่ปุ่นว่า
...เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?
…เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?
…และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?
กระทั่งพบ “ความลับ” ว่า “อาหารญี่ปุ่น” คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ - ซุปมิโซะ – เต้าหู้ – สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย
และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวามาอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจน้อยกว่าส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั้วโลก
นั่นเพราะชาวโอกานาวามีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรเอธิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือดและโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ยังยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย
"อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะหรืออาหารวัคซีน ที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกานาวามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

ในขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600 กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท
เรื่องที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ดอทคอม ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า
ผม : ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแดดแบบนี้เล่า
ตา : (ยิ้ม) จะไปอยุธยา
ผม : ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ
ตา : ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว
ผม : เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ
ตา : เขาจ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง
ผม : แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว
ตา : คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ
ผม : ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ
ตา : ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว
ผม : ลูกๆ ไม่มีเหรอตา
ตา : มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย
ผม : แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแถวบ้านทำล่ะ
ตา : ตาไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา
ผม : แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง
ตา : ตาเดินมาเรื่อยๆ
ผม : เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ
ตา : (ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)
ผม : แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน
ตา : หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม)
ผม : แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา
ตา : อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา
ผม : แล้วตากินอะไรอยู่
ตา : เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ ไม่เอาตังค์ตาด้วย
ผม : (สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม
ตา : (ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า
ผม : แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)
ตา : น้ำกินตาเอง
หลังจากนั่งคุยกับตาแกไปเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ "รอยยิ้ม" ที่เห็นฟัน 1 ซี่ ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้ พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น) ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา ในใจแกคงคิดว่าต่อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง …
...และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง ว่าวันนี้คุณ "พอเพียง" แค่ไหนกัน ? ทั้งนี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้ แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ของ...ไข่ไก่ใบกลมๆ

ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน...??????
ถามทีไรเป็นอันต้องทะเลาะกันทุกทีไป

แต่ว่าลองมาดู 5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่กันดีกว่า
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่าง ๆได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง

รู้ประโยชน์ของเจ้าไข่ฟองกลมๆ แบบนี้แล้วก็อย่าลืมรับประทานไข่ไก่กันทุกวันนะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ทำไมใครๆ ก็ "ชูสองนิ้ว"



เคยสัยรึเปล่าคะว่าทำไม เวลาที่เราต้องการให้กำลังใจใครหรือให้กำลังใจตัวเอง (ประมาณว่า "สู้ๆ สู้ตาย") หรือแม้กระทั่งเวลาถ่ายรูปกับเพื่อนเราจะต้องมีท่าบังคับอย่างท่า "สู้ตาย" ชู 2 นิ้ว อยู่เสมอ... ทำไมต้องชูสองนิ้วด้วยล่ะ ชูสามนิ้วไม่ได้เหรอ???
สำหรับการชู 2 นิ้ว หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า "V sign" นั้น เป็นที่รู้จักกันดีในความหมายของ "ชัยชนะ" คือ V แทนคำว่า Victory ค่ะ ถ้าน้องๆ ลองไปเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ของตัวเองน้องๆ จะพบว่าตั้งแต่เราเกิดมาเราถ่ายภาพด้วยท่าชู 2 นิ้วไว้มากมายโดยที่เราไม่รู้ตัว คิดอะไรไม่ออกก็ชู 2 นิ้วไว้ก่อนแล้วกัน ^^

นอกจากนี้การชูสองนิ้วยังหมายถึง "สันติภาพ" และ "การดูถูกท้าทาย" ได้อีกด้วย ...โดยหากเราไปแสดงอากัปกิริยาด้วยการ ชูสองนิ้วแต่หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง ในสหราชอาณาจักรอย่างอังกฤษ สกอตแลนด์แล้ว ถือว่าเป็นการแสดงท่าทางดูถูกต่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ค่ะ
โดยความหมายของการทำเช่นนี้นั้น จะเหมือนกับการที่เราไปทำท่าที่หยาบคายอย่างการ "ชูนิ้วกลาง" (The Finger) ให้คนอื่นเลยทีเดียว ซึ่งพฤติกรรมนี้ถือว่าร้ายแรงและเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมากเลยล่ะ

ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา การชู 2 นิ้วนั้นจะใช้กันในความหมายที่ว่า เป็นการแสดงสันติภาพมากกว่า โดยเริ่มได้รับความนิยมมาจากการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดสันติภาพในช่วงทศวรรษที่ 1960
สำหรับประเทศในทวีปเอเชียนั้น ส่วนใหญ่จะใช้กันตอนถ่ายรูปโดยไม่ได้มีความหมายอะไรซ่อนอยู่เลย (กลายเป็นท่าฮิตไปซะอย่างงั้น -..-”) แต่ในเวลาต่อมา ผู้คนนอกทวีปเอเชียเริ่มหันมาชู 2 นิ้วตอนถ่ายรูปกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากบรรดาการ์ตูนของญี่ปุ่นที่ไปได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆ นั่นเอง
นอกจากนี้บางคนยังเชื่อว่า การที่ชาวญี่ปุ่นนิยมชู 2 นิ้วนั้นต้องการสื่อถึงเรื่องสันติภาพ หลังจากที่ญี่ปุ่นโดนบอมบ์ด้วยระเบิดปรมณูไป (และที่สำคัญหลายคนมักจะคิดว่าการชูสองนิ้วถ่ายรูปนั้นจะทำให้ตัวเองน่ารักเหมือนสาวญี่ปุ่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้คนดูดีทุกคนหรอกค่ะ 55)

สำหรับจุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น ไม่มีการบันทึกเอาไว้อย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ก็เป็นที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่า จุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น เริ่มจากพลธนูชาวเวลส์ ที่ต่อสู่ร่วมกับอังกฤษในการสู้รบที่หมู่บ้านอกินคอร์ต ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1415 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งมีการกล่าวไว้ว่า ทหารฝรั่งเศสจะตัดนิ้วมือข้างขวาของพลธนูชาวเวลส์ที่ถูกจับตัวได้ไป 2 นิ้ว จนไม่สามารถยิงธนูได้อีก ด้วยเหตุนี้ บรรดาพลธนูชาวเวลส์ที่ยังไม่ถูกจับตัวจึงชูนิ้ว 2 นิ้วเป็นการดูถูกท้าทายทหารของฝรั่งเศส
ไม่น่าเชื่อเลยนะคะเนี่ยว่าท่าชู 2 นิ้ว ที่เราใช้เป็นท่าบังคับในการถ่ายรูปกัน จะมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานขนาดนี้แถมยังมีความหมายที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อีกต่างหาก... ว่าแต่ต่อไปนี้เวลาจะชู 2 นิ้ว ก็ระวังหน่อยแล้วกันนะคะ อย่าชูผิดด้านล่ะไม่อย่างนั้นล่ะ มีเรื่องแน่ค่ะ 555+

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ปากเป็นเอก เลขเป็นโท

ทำสิ่งใดได้ ค่อยควรพูดสิ่งนั้น...
ทำสิ่งใดไม่ได้ อย่าริอาจพูดสิ่งนั้น...
คนไม่ทำ ดีแต่พูด บัณฑิตกำหนดรู้ทัน...
ทำได้ทำดียิ่ง เผยความจริงพูดมาเถิด
คนรู้จะชูเชิด ใช่แล้วชอบสิ่งที่ทำ
ทำไมได้ควรงด ขืนโป้ปดเขาจะขำ
พร่ำเพรื่อพูดระกำ จะระทมเพราะวาจา
ผู้รู้ท่านดูเห็น ชายนี้เป็นคนมุสา
น่าละอายเอือมระอา พูดแต่ปากยากจะทำ ฯ
คนชอบคุยโม้โอ้อวด "จอมโว" ถ้าทำได้สำเร็จตามที่คุย
โม้ก็ไม่เป็นไร ผู้คนอาจจะรู้สึกหมั่นไส้บ้าง.....
แต่ก็ยอมยกนิ้วให้..."เออ มันเก่ง"...
จอมโววาดลวดลายได้สวย ปลอดภัย...
แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ รับรองหูต้องร้อนฉ่า ด้วยเสียงด่าขรม
ผู้คนพากันสมน้ำหน้า ไม่สมค่าราคาคุย....
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด โดยเฉพาะเรื่องการแข่งขันขับเคี่ยว
อย่าเพิ่งมั่นใจ...เราคิดว่าเราเก่ง แต่มีคนเก่งกว่าเรา
เราคิดว่าเราแกร่ง แต่มีคนแกร่งกว่าเรา...
"เหนือฟ้ายังมีฟ้า"...(เหนือกระดาษมีซาลาเปา)
สำหรับคนฉลาด....หากถูกไถ่ถาม....
จะไม่ออกตัวรับประกันความสำเร็จล่วงหน้า...
เพราะรู้ว่า มันพลิกผันได้ทุกเวลา...
ชัยชนะเฉือนกันแค่ปลายจมูก...
ตกเพียงแต้มเดียวก็ร่วงเสียแล้ว จึงมักพูดว่า....
"ผมจะทำให้ดีที่สุด ทำสุดความสามารถ"
เพราะหากไม่ประสบความสพเร็จ ผู้คนก็ยังเห็นใจ..
ไม่ด่าซ้ำเติม ถึงกระนั้น...แม้ประสบผลสำเร็จ
การคุยโวโอ้อวดก็ไม่ใช่เรื่องดี คนอาจจะให้บทเรียนราคาคุย
"แชมป์ถูกชกนอกเวที"
ดูสิ ทนสนับมือได้ไหม...?
จริงอยู่ แชมป์ได้มายาก แต่ยากยิ่งกว่านั้น...
คือ การรักษาแชมป์...และเมื่อถึงบทอวสานจะลงอย่างไรดี
ควร..."ตายแบบศพสวย".....
ดูเหมือนคนเราไม่ตระหนักเรื่องนี้...
คน..."พูดดีทำไม่ได้"...มากกว่าคน..."พูดดีทำได้"
นโยบายเพ้อฝัน ดังนั้น...
ก่อนจะพูดเรื่องอะไร ควรพิจารณาดูสักนิดว่า...
ตนอาจสามารถหรือเปล่า....?
ทำไม่ได้น่าอับอายขายหน้า...
ผู้รู้แย้มสรวล นึกสงสารอยู่ในใจ
จอมโวหมดลวดลาย ตกม้าตายเสียแล้ว....ฯ
~บทความจากหนังสือพิมพ์...'คม ชัด ลึก'...คอลัมภ์...ขุมทรัพย์ในพระไตรปิฎก....โดย...พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์~

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

รู้ไว้ วัยรุ่นสมัยนี้เสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง

เพื่อน ๆ ที่นี่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ามากขนาดนี้ แต่คนเราก็ขยันเป็นโรคกันได้เรื่อย ๆ แม้แต่บางคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมาก ๆ บางครั้งโรคภัยก็มาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ได้คาดหมายก็ยังมีเลย
ฉะนั้นสาว ๆ บางคนที่คิดว่าตัวเองแข็งแรง ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ ก็อย่าชะล่าใจไปล่ะ เพราะชีวิตคนเราสมัยนี้นั้น เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อย่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ ลองไปดูกันว่าวัยรุ่นสมัยนี้นั้น เสี่ยงต่อโรคภัยอะไรกันบ้าง
สิว ถือเป็นเรื่องเบสิคที่วัยรุ่นส่วนมากต้องเจอะเจอกันบ้างในชีวิต เพราะช่วงวัยรุ่นนี้เป็นช่วงที่ฮอร์โมนยังไม่คงที่ ทำให้บางครั้งก็เกิดสิวอย่างไม่ตั้งใจได้ บางคนอาจจะเป็นแค่เล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจจะเป็นมากหน่อย ยิ่งบางคนเป็นประเภทไฮเปอร์จัด วัน ๆ ทำแต่กิจกรรมนู่นนี่ จนเวลาพักผ่อนน้อย ยิ่งไปกันใหญ่ สิวตามรังควานกันไม่เลิก วิธีแก้ไขมีง่าย ๆ ก็คือ ปล่อยให้มันเกิดและดับไปเอง โดยที่เราพยายามหักห้ามใจอย่าไปยุ่งกับมันโดยเด็ดขาด แต่โดยมากแล้วมักทำกันไม่ค่อยได้ ต้องขอล้วงแคะแกะเกากันสักเล็กน้อยถึงจะหนำใจ ผลที่ได้ก็คือ รอยแผลเป็นจากสิวนั่นเอง หรืออาจจะไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก็โอเคนะ เพราะคุณหมอจะได้ช่วยแนะนำวิธีที่ถูกต้องแก่เราได้

โรคภูมิแพ้ ถือเป็นโรคฮิตอันดับต้น ๆ ของคนเมืองเลยทีเดียว เพราะเดี๋ยวนี้นั้น อากาศบริสุทธิ์ในเมืองนั้นหายากเต็มที ไหนจะควันพิษทั้งจากรถยนต์ ทั้งจากการทำงานต่าง ๆ อีกสารพัด ล้วนแต่ส่งผลให้สาว ๆ เมืองกรุงเป็นโรคภูมิแพ้กันหลายรายเลยทีเดียว วิธีการแก้ไขนั้นก็ต้องพยายามทำความสะอาดบ้านเรือนของเราให้สะอาดก่อน ที่นอนหมอนมุ้งก็ต้องทำความสะอาดเป็นประจำ นอกจากนี้การออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ช่วยได้ แต่ทางที่ดีก็คือไปพบแพทย์จะดีที่สุดจ้า
โรคกระเพาะ อันนี้เชื่อแน่ ๆ ว่าหลาย ๆ คนอาจจะกำลังเป็นอยู่เลย ส่วนใหญ่มักเกิดจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือวัยรุ่นบางคนอาจจะอยากลดความอ้วน แล้วเลือกวิธีอดอาหาร ทำให้อาจจะเป็นโรคกระเพาะที่ว่านี้ได้ วิธีหลีกเลี่ยงก็ง่าย ๆ เลย แค่ทานอาหารให้เป็นเวลาเท่านั้นเอง นอกจากนี้ สำหรับสาว ๆ ที่อยากผอม แนะนำให้ทานอาหารตามปกติ แต่ลดปริมาณลงรึ่งหนึ่งแทน จะช่วยได้มากกว่า หรือไม่เช่นนั้นก็แนะนำให้ทานอาหารวัน 4 - 5 มื้อ แต่ทานมื้อละเล็กน้อยแทนจะดีกว่างดรับประทานอาหารไปเลย เพราะนอกจากเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะแล้ว คุณอาจจะได้โรคอนาร็อกเซีย (การรับประทานอาหารผิดปกติ) หรือบูลิเมีย (ปฏิเสธอาหาร) เป็นของแถมมาด้วยก็ได้

โรคติดต่อทางเพศ อันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโรคฮิตของวัยรุ่นสมัยนี้เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระแสการมีกิ๊กหลาย ๆ คนหรือเปล่า เลยทำให้วัยใสวัยโจ๋ทั้งหลายพากันเป็นโรคติดต่อทางเพศเยอะมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากขึ้นทีเดียว นอกจากนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ หลายคนเน้นทานยาคุมเพียงอย่างเดียว เพราะหวังป้องกันการตั้งครรภ์อย่างเดียว โดยอาจจะลืมไปว่าการทานยาคุมกำเนิดนั้น ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ก็จริง แต่ไม่อาจจะป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ได้เลย ทางที่ดีหันมาใช้ถุงยางอนามัยจะดีกว่า เพราะป้องกันได้ทั้งโรคแถมยังป้องกันการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
อ่านกันแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติด้วยนะจ๊ะ เพราะโรคเดี๋ยวนี้มีมากมายหลายโรคเหลือเกิน การหวังจะพึ่งพาการทานยาเพียงอย่างเดียวคงจะไม่ได้ผลเสียแล้ว ดังนั้นการหมั่นใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองจึงเป็นการดีที่สุดนะจ๊ะ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ห้ามทำหลังมื้ออาหาร


1. ห้ามสูบบุหรี่ มีผลการทดสอบที่พิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า การสูบบุหรี่หลังรับประทานอาหาร เทียบเท่ากับ การสูบบุหรี่ถึง 10 ม้วน (โอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่า)
2. ห้ามทานผลไม้ทันที การทานผลไม้ทันทีหลังอาหาร จะทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควร ทานผลไม้หลังทานอาหารไปแล้ว 1-2 ชั่วโมงหรือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง
3. ห้ามดื่มชา เพราะมีผลทำให้การย่อยสารโปรตีนในอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปนั้นเป็นไปยากขึ้น
4. ห้ามคลายเข็มขัด เพราะการคลายเข็มขัดหลังมื้ออาหาร จะทำให้ลำไส้บิดตัวและอุดตันได้
5. ห้ามอาบน้ำ การอาบน้ำจะเพิ่มแรงดันเลือดไปสู่มือ แขนขาและทั่วตัว ดังนั้น จำนวนเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารจึงลดลง ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารของกระเพาะเราแย่ลง
6. ห้ามเดินไปมา ผู้คนมักบอกเสมอว่า การเดิน 100 ก้าวหลังรับประทานอาหาร จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เลย การเดินจะส่งผลให้ ระบบย่อยของเรา ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เราทานเข้าสู่ร่างกายได้
7. ห้ามหลับทันที เพราะอาหารที่เราทานเข้าไป จะไม่สามารถย่อยได้เลย ดังนั้นจะทำให้เกิดเชื้อโรค หรือ เกิดลมในกระเพาะและลำไส้ของเราได้

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

10 อันดับเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลก....

บนโลกของเรานี้ ช่างมีอารยธรรม และประวัติศาสตร์ที่น่าชื่นชมอยู่มากมายจริงๆ เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่าก่อนหน้าที่จะมาเป็นเราอย่างทุกวันนี้ มนุษย์เค้ามีประวัติศาสตร์อะไรกันบ้าง
อันดับ 1 Rome
ถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุด เชื่อว่าทุกคนต้องคิดถึงกรุงโรมแน่ๆ ที่นี่มีอะไรหลายอย่างมากมาย เคยเป็นจักรวรรดิที่รุ่งเรืองมาก และมีอารยธรรมที่ก้าวไกลกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ประชากรอยู่กันอย่างแสนสบาย เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่ทั้งเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมาก ที่สุดของโลก
อันดับ 2 Athens
เอเธนส์ สถานที่เกิดของประชาธิปไตย ปรัชญา และโอลิมปิก ช่างเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจริงๆ เลย และได้สร้างอะไรหลายๆ ตกทอด มาถึงชาวโลกมากมายด้วย มีทั้งวิหารพาเธนอนที่สวยงาม และมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่น่าชมจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่นั่นจะสลายไปก็ตาม แต่อิทธิพลที่ตกทอดมา ไม่เคยจางไปไหนเลยจริงๆ
อันดับ 3 Constantinople
คอนสแตนติโนเบิล เมืองที่จักรพรรดิเมื่อก่อนสร้างไว้ เพื่อมาอยู่อาศัยสลับกับโรม เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งใหญ่โต ร่ำรวยไปด้วยอารยธรรม มหาวิทยาลัย โบสถ์ ฯลฯ มากมายจริงๆ
อันดับ 4 Babylon
อันนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ เมืองบาบิโลน ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดๆ เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงจริงๆ และมีจุดเด่น ที่สุดก็คือ สวนลอยแห่งบาบิโลน นั่นเอง
อันดับ 5 Cuzco
เมื่อก่อนมีคำว่า All roads in the Incan empire lead to Cuzco ก่อนที่จะมาเป็น All roads lead to Rome เมืองแห่งนี้มีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมาก และเคยเป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูทีเดียว
อันดับ 6 Tenochtitlan
เมืองแห่งตำนาน ที่เคยเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่ที่เม็กซิโก ได้รับความเชื่อว่าเมื่อก่อนมีคนอาศัยถึงสามแสนคนทีเดียว และพวกสเปนก็อพยพเข้ามา นำอารยธรรมมากมายเข้ามาเผยแพร่ สืบต่อมาจนวันนี้
อันดับ 7 Thebes
เมื่อพูดถึงอียิปต์ คนมักคิดถึงไคโรเป็นหลัก แต่ว่าหัวใจหลักของที่นี่คือเมืองที่อยู่แถวแม่น้ำไนล์อย่าง ธีปส์ ที่เป็นเมืองหลวงมากว่า 4500 ปี มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง คาร์นัค และลัคซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี
อันดับ 8 Great Zimbabwe
ที่อัฟริกานี้เอง เกิดเมืองก่อนพวกยุโรปเสียอีกแน่ะ เมืองนั้นชื่อว่าซิมบับเว เชื่อกันว่ามีอารยธรรมที่พร้อมมูลทุกอย่าง มีการพบหลักฐานของการสร้างรูปปั้น และสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมายเป็นจักรวรรดิย่อยๆ เลยละ
อันดับ 9 Xi'an
ซีอาน เป็นเมืองที่เข้มแข็ง และแข็งแกร่งมาก ที่เมืองนี้มีสิ่งที่น่าตื่นตาคือกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นกว่า 3,000 รูป ว่ากันว่าสุสานของพระองค์ก็อยู่แถวนี้ด้วย และถ้าหาเจอ ก็น่าจะมีสมบัติอยู่มากมายทีเดียว
อันดับ 10 Cahokia
ว่ากันว่าเมืองชื่อเก๋นี้มีคนอาศัยอยู่สามหมื่นคนทีเดียว ตั้งอยู่ที่แถวรัฐอิลลินอยส์ แถวๆ อเมริกาเหนือ และเรียกได้ว่าเป็นเมืองแรก จริงๆ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ที่นี่มีอารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เกิดขึ้น มีสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกให้รู้ถึงความเจริญที่เคยมีมาในอดีต น่าสนใจมาก ทีเดียว