วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

่ดัดฟันแฟชั่น' อันตรายถึงตาย !!??

แม้สาเหตุการเสียชีวิตของนักเรียนหญิงชั้น ม.5 จ.ขอนแก่น จะเกี่ยวข้องกับการจัด หรือดัดฟันแฟชั่นหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับวัยรุ่นทั้งหลายได้ตระหนักถึงอันตรายของความสวยงาม โก้เก๋ ที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต
ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล หัวหน้าภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปกติการจัดฟันจะเป็นการแก้ไขความผิดปกติของการเรียงตัวของฟัน เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันยื่น ฟันบนล่างไม่สบกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการบดเคี้ยวอาหาร สุขภาพของฟัน รวมทั้งเนื้อเยื่อรอบ ๆ ฟัน และยังช่วยปรับ ให้รูปลักษณะใบหน้า และการยิ้มดูดีขึ้น ผู้ให้การรักษาจะต้องเป็นทันตแพทย์เท่านั้น
การจัดฟันแฟชั่น ไม่ใช่การรักษาทางทันตกรรม แต่เป็นการพยายามใส่เครื่องมือที่เลียนแบบการจัดฟันแบบติดแน่นที่ทันตแพทย์ใช้ในการรักษาผู้ป่วย มีจุดประสงค์เพื่อความสวยงาม โก้เก๋ ทันสมัย ผู้ที่ให้บริการไม่ใช่ทันตแพทย์ ทำให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา
ในปัจจุบันจัดฟันแฟชั่น อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
ลวดร้อยลูกปัด เป็นการใช้ลวดเส้นเล็ก ๆ ร้อยลูกปัดสีต่าง ๆ มีวางจำหน่ายในตลาดนัดและแหล่งชุมชนต่าง ๆ ราคาเส้นละ 50-120 บาท เด็กและวัยรุ่นนิยมซื้อมาใส่เอง
จัดฟันแฟชั่นแบบติดแน่น เป็นการเลียนแบบการจัดฟันของทันตแพทย์ให้เหมือนมากขึ้น โดยจะมีการติดเครื่องมือ “แบ๊กเกต” เป็นโลหะรูปสี่เหลี่ยมที่มีร่องใส่ลวดจัดฟันและมีส่วนยื่นออกมาสำหรับคล้องยาง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 800-1,200 บาท สามารถเลือกสีของยาง รูปร่างของยาง เช่น รูป ดอกไม้ มิกกี้เม้าส์
จัดฟันแฟชั่นแบบถอดได้ เป็นการใช้เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือ “รีเทนเนอร์” ที่เหมือนกับทันตแพทย์ใช้ มีลักษณะเป็นแผ่น พลาสติกปิดอยู่ที่เพดาน หรือข้างลิ้น มีลวดคอยบังคับฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ มีการดัดแปลง เพิ่มแบ๊กเกตให้ติดอยู่บนลวด ขั้นตอนการทำจะต้องมีการพิมพ์ฟัน ค่าใช้จ่ายประมาณ 800-1,300 บาทต่อชิ้น สามารถเลือกสี ลายของแผ่น พลาสติก และลวดได้
อันตรายของการจัดฟันแฟชั่น มีดังนี้
อันตรายจากขั้นตอนการทำ เครื่องมือที่ใช้ เช่น ถาดพิมพ์ฟันใช้แล้วไม่ได้ล้าง หรือล้างแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรคที่มาจากน้ำลายของผู้ใช้บริการคนก่อน ผู้ทำไม่ได้สวมถุงมือ อาจติดโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี วัณโรค ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ โปลิโอ
อันตรายจากวัสดุ ลวดจัดฟันแฟชั่นที่ใช้คุณ ภาพต่ำ มีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียม และสารหนู หากสะสมในร่างกายมาก ๆ จะเป็นอันตรายต่อไต ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของเซลล์ตาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ การใช้ลวดที่เป็นสี เมื่อใส่ไว้ในปากสักระยะหนึ่ง มีการสัมผัสอาหาร ของเย็น ของร้อน แล้วสีจางลง ส่วนประกอบของสีจะเข้าสู่ร่างกาย ผ่านเข้ากระเพาะอาหาร และดูดซึมไปสะสมไว้ในร่างกาย เป็นการสะสมสารพิษไว้ในร่างกาย
อันตรายต่อฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก ในขั้นตอนการทำ จะมีการใช้หัวกรอ กรอเอาเคลือบฟันที่ดีออกไป รวมทั้งใช้กรดกัดฟัน ซึ่งจะทำให้เคลื่อนฟันบางลง ทำให้ความแข็งแรงของฟันลดลง ทำให้เสียวฟันได้ง่าย
การปรับแต่งลวดโดยผู้ที่ไม่มีความรู้จะทำให้เกิดแรงกดไปที่ตัวฟัน และฟันเคลื่อนไปจากเดิม ทำให้มีอาการปวดฟันมากอาจทำให้ฟันซี่นั้นกลายเป็นฟันตาย รากฟันละลาย อาจจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งไป เครื่องมืออาจหลุดลงคอ หรือ หลอดลม ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้การใส่เครื่องมือจัดฟันแฟชั่นมักทำให้เกิดการบาดกระพุ้งแก้ม หรือเนื้อเยื่อในช่องปากกลาย เป็นแผล เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเนื้อเยื่อในช่องปาก อีกทั้งเครื่องมือที่ใส่ในปาก จะขัดขวางการแปรงฟันและทำความสะอาดฟัน อาจทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบ บวมแดง มีกลิ่นปาก
ท้ายนี้ขอเตือนวัยรุ่นทั้งหลายว่า หากฟันไม่ได้มีปัญหาก็ไม่ควรไปจัดหรือดัดฟันแฟชั่น เพราะนอกจากจะเสียเงินโดยใช่เหตุแล้ว อาจได้รับอันตรายจากวัสดุจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐาน ถึงขั้นเสียชีวิตได้.

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แอลกอฮอล์! ดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์

มีวิจัยจากประเทศฝรั่งเศส หรือ เฟรนพาราดอกซ์ (French aradox) งานวิจัยนี้ ศึกษาคนที่ดื่มไวน์เป็นประจำ แต่มีปัญหาโรคหัวใจน้อย ทั้งๆ ที่กินอาหารไขมันสูง ความดี จึงถูกยกให้กับสารแอนติออกซิแดนท์ในไวน์แดง แต่นักวิจัยเชื่อว่าสิ่งที่ป้องกัน โรคหัวใจที่แท้จริงคือแอลกอฮอล์ในไวน์ ซึ่งน่าจะหมายความว่าไม่ว่าเบียร์ ไวน์ หรือวิสกี้ อาจให้ประโยชน์ต่อหัวใจพอๆ กันถ้าดื่มพอควร แอกอฮอล์กับหัวใจ
ข้อดี : แอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มระดับเอชดีแอลซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลที่ดี ลดการแข็งตัว ของเกร็ดเลือด ลดการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจาก เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและในผู้ที่มีประวัติหัวใจวายมาก่อน ปัจจุบันนักวิจัยชาวยุโรป เชื่อว่าแอลกอฮอล์เกี่ยวข้องกับระดับสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น สารซีอาร์พี หากทำให้ สารนี้ลดลงจะป้องกันโรคหัวใจได้
ข้อเสีย : การดื่มแอลกอฮอลล์วันละ 3 ดริ๊งค์ขึ้นไปอาจทำให้อ้วน เพิ่มความเสี่ยงโรค ความดันโลหิตสูง ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก หัวใจ ล้มเหลว ดร.ร็อค แจ็คสัน นักระบาดวิทยาไม่เชื่อในข้อดีของแอลกอฮอลล์เพราะข้อมูลการ วิจัยส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ผลได้ว่าแอลกอฮอลล์ให้ผลดีต่อหัวใจจริง
แอลกอฮอล์และสมอง .......
ข้อดี : การดื่มพอควรช่วยป้องกันความเสี่ยงอัลไซเมอร์และความจำเสื่อม เมื่อนักวิจัย แห่งศูนย์การแพทย์เบธอิสราเอดีคอเนสในรัฐบอสตัน เปรียบเทียบผู้ที่ไม่ดื่มเลยกับผู้ที่ดื่ม สัปดาห์ละ1-6 ดริ๊งค์ โดยใช้อาสาสมัคร6,000 คน พบว่าผู้ที่ดื่มมีความเสี่ยงโรคความจำ เสื่อมน้อยกว่า งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดยังแสดงว่าผู้หญิงที่ดื่มวันละดริ๊งค์มีความเสี่ยงจากส โตร๊คชนิดหลอดเลือดแดงอุดตันเพียงครึ่งเดียว
ข้อเสีย : การดื่มมากเร่งให้สมองเสื่อมเร็ว ร่างกายขาดวิตามิน บี1 ถ้ารุนแรงอาจทำให้ ความจำ การเรียนรู้ลดลง เพิ่มความเสี่ยงสโตร๊ค
แอลกอฮอล์และเบาหวาน
ข้อดี : การดื่มในระดับน้อยถึงปานกลาง ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานลงได้ 36 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานด้วย
ข้อเสีย : ทำให้อ้วนเพราะแอลกอฮลล์ให้แคลอรีสูง ซึ่งอาจนำมาสู่โรคเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ ผู้ดื่มหนักอาจเสี่ยงโรคเมตาบอลิกซินโดรม (อ้วนลงพุงร่วมกับร่างกายดื้อต่อ อินซูลิน ความดันโลหิตสูง คอเลสเทอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง รวมทั้งอันตรายต่อตับ) โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มดื่มเมื่ออายุยังน้อย
แอลกอฮล์และโรคมะเร็ง
ข้อดี : ไวน์แดงและเบียร์ดำมีสารโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์สูง (เช่นเดียวกับผลไม้ ผัก และชา) ช่วยป้องกันมะเร็งได้ ฮอพซึ่งใช้ผลิตเบียร์มีสารแอนติออก ซิแดนท์ที่ชื่อว่าแซนโทฮูมอล (xanthohumol) ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งและ เพิ่มฤทธิ์เอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านมะเร็ง
ข้อเสีย : การดื่มมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะ ตับ เต้านม และลำไส้ใหญ่ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาเน้นว่าการดื่มเพียงวันละดริ๊งค์ก็ อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้แล้ว
แอลกอฮอล์และกระดูก
ข้อดี : นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟพบว่าเบียร์มีสารซิลิคอนสูง ซึ่งช่วยสะสมแคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆในกระดูก ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสะโพก ป้องกันกระดูกแตกหัก
ข้อเสีย : ซิลิคอนพบมากในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสีและผักประเภทราก จึงไม่จำเป็นต้องดื่มจากเบียร์ เพราะแอลกอฮอล์รบกวนการสร้างกระดูกและการทำงานของ แคลเซียม วิตามินดี และฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงเพิ่มความเสี่ยงกระดูกพรุนและทำให้กระดูก แตกหักจากการหกล้มได้ง่าย
ความอ้วนกับแอลกอฮอล์
แคลอรีจากแอลกอฮอล์มักสะสมที่พุงมากกว่าแคลอรีจากอาหารชนิดอื่นๆ แต่การดื่ม น้อยกลับเป็นผลดีในการลดพุงได้ แต่ต้องเป็นวันละ 1 ดริ๊งค์เท่านั้น งานวิจัยจากคลินิกเม โยในผู้ใหญ่ 8,200 คนพบว่า ผู้ที่ดื่มวันละดริ๊งลดความเสี่ยงพุงพลุ้ยลงถึง 54 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม แต่การดื่มมากกว่า 4 ดริ๊งค์ขึ้นไปเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน 46 เปอร์เซ็นต์ เพราะแคลอรีที่ได้จากอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ยกเว้นว่า เพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น ไวน์แก้วขนาด 150 มล. หรือเบียร์ประมาณ 360 มล.(1 กระป๋อง) ให้พลังงานเฉลี่ย 100-150 แคลอรี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมเครื่องดื่มอย่าง อื่นอาจมีพลังงานสูงถึงหลายร้อยแคลอรี ยิ่งกว่านั้นเมื่อเวลาที่ดื่มสังสรรค์มักจะมีอาหารที่มี แคลอรีสูงกินร่วมด้วย จึงทำให้อ้วนได้ง่าย
การดื่มแอกอฮอล์พอประมาณให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้ แต่ไม่จำเป็นที่ต้องแนะนำให้ ดื่มเพื่อสุขภาพ ผู้ที่ควรงดได้แก่หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หรือผู้ขับขี่ยานพาหนะ ผู้ที่ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ผู้มีปัญหาไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ตับอ่อนอักเสบ หัวใจล้มเหลว หรือผู้รับประทานยาบางชนิดเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ถึงความปลอดภัยในการดื่มด้วย เพราะแอลกอฮอล์อาจมีผลรบกวนต่อการทำงานของ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีดูแลผิว หลังเผชิญแสงแดด

กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไป หรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดงได้ วิธีที่ดีที่สุด คือใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่า และอยู่ให้พ้นจากชายหาด ที่มีลมแรงสักระยะ
- ปัญหาผิวแผ่นหลังลอก จะเกิดหลังจากผ่านการอาบแดดมา ซึ่งสามารถ แก้ไขได้โดยให้ผิวสัมผัสนุ่มเนียนขึ้นได้ โดยใช้ออยล์ลูบไล้ให้ทั่ว แต่จะดียิ่งขึ้นหากใช้เกลือขัดผิวหรือบอดี้สครับสูตรอ่อนโยนขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก
- ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว
- ไหล่ เป็นจุดที่ถูกแดดเผาได้ง่าย หากคุณเปลือยไหล่อาบแดด จึงควรประคบผิวส่วนนี้ให้เย็นขึ้นด้วยการใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันสำหรับชโลมผิวหลังอาบแดดโดยเฉพาะ หรือชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรก
- ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย
ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ให้โดยไม่หวังผล

ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น และไม่ต้องร้องขอหรือคาดหวังการตอบแทนใดๆ
นี่เป็นกลวิธีที่จะช่วยให้ท่านฝึกปฏิบัติผสมผสาน การให้บริการเข้าไปในชีวิตของท่านได้
วิธีนี้จะแสดงให้เห็นว่าการทำสิ่งดีงามแก่ผู้อื่น โดยไม่คาดหวังผลตอบแทนเป็นเรื่องง่าย และทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเพียงใด
บ่อยครั้งทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวที่เราต้องการอะไรบางอย่างจากผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้ทำอะไรบางอย่างให้ผู้อื่น เช่น
"ฉันล้างห้องน้ำเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอทำความสะอาดห้องครัวบ้าง" หรือ "ผมช่วยดูแลลูกๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อาทิตย์นี้คุณควรดูแลลูกๆ บ้าง"
ดูคล้ายกับว่าเราจะสะสมคะแนนการทำความดีของเราเอง มากกว่าจะระลึกว่าการให้เป็นรางวัลในตัวของมันเอง
เมื่อทำอะไรบางอย่างที่ดีงามให้กับใครบางคนด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง ท่านจะสังเกตเห็นว่า (หากจิตใจของท่านสงบพอ) ความรู้สึกดีงามอันเกิดจากความสงบและสันติจะเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับการออกกำลังกายจะทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนเอนเดอร์ฟินส์ในสมอง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรารู้สึกดีขึ้น
การกระทำที่ประกอบด้วยความรักและความเมตตา จะช่วยปลดปล่อยความตรึงเครียดทางอารมณ์
เช่นเดียวกัน รางวัลของท่านก็คือความรู้สึกที่ได้รับรู้ว่า ท่านมีส่วนร่วมในการแสดงความรักความเมตตา
ท่านไม่จำเป็นต้องได้รับอะไรบางอย่างตอบแทนหรือแม้แต่คำว่าขอบคุณ ที่จริงแล้วท่านไม่จำเป็นแม้แต่ให้บุคคลผู้นั้นทราบว่าท่านได้ทำอะไรให้เขาบ้าง
สิ่งที่รบกวนความรู้สึกสงบสุขในจิตใจคือความคาดหวังที่จะได้รับผลตอบแทน ความคิดของเราเองที่นึกถึงแต่สิ่งที่เราต้องการ หรือควรได้รับจะรบกวนแทรกแซงความรู้สึกสงบสุขในใจ
วิธีแก้ไขก็คือการสังเกตความคิดของตัวเองว่า "ฉันต้องการอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน" ได้เกิดขึ้นแล้ว และพยายามขจัดความคิดดังกล่าวอย่างนุ่มนวล เมื่อไม่มีความคิดดังกล่าวความรู้สึกทางบวกจะหวนคืนมา
ทดลองดูว่าท่านสามารถคิดถึงอะไรบางอย่างอันดีงาม ที่ท่านสามารถทำให้กับผู้อื่นโดยไม่ต้องคาดหวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใดไดหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นการทำให้สามีหรือภรรยาประหลาดใจด้วยการทำความสะอาดโรงรถ จัดโต๊ะให้เก้าอี้เรียบร้อย ตัดหญ้าให้กับเพื่อนบ้าน หรือกลับบ้านเร็วขึ้นเพื่อช่วยดูแลลูกๆ แทนภรรยา
เมื่อทำสิ่งเหล่านั้นแล้วลองดูว่าตัวเองเกิดความรู้สึกอบอุ่นหรือไม่อย่างไร ที่รู้ว่าได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยไม่ได้คาดหวังอะไรตอบแทนจากผู้ที่ท่านช่วยเหลือ
ถ้าท่านฝึกฝนดู ผมคิดว่าท่านจะได้พบว่าความรู้สึกอันดีงาม ที่เกิดขึ้นนั้นนับเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 อันดับคนอัจฉริยะที่สุดของโลก

1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน
2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง
3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า”At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย
5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne’s Fitzroy Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป
6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า “แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด
Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่
7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17 ในปี 2008 เขาชนะรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า “ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ” อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก
8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด
Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี
9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ
William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา “Mr. Pocket Billiards” (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool
10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า ” ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว”

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด

สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด
รู้สึกไหมเวลาทำงานเยอะ คิดมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องใช้สมองในการทำงาน พอนานไปมักจะคิดอะไรไม่ค่อยจะออก หรือที่หลายคนเรียกว่าความคิดเริ่มต้นๆ ไม่ไฟแรงไอเดีย กระฉูดเหมือนเด็กใหม่ จริงๆ แล้วไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถที่จะทำให้สมองความคิด จินตนาการของคุณโลดแล่นได้เสมอๆ เพียงแค่หมั่นฝึกและพัฒนาสมองให้ถูกวิธีเท่านั้นเองค่ะ
ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อยสาระสำคัญในสมอง โดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลขและเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือเรื่องราวเก่าๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปอีกด้วย
บริหารสมองอย่างสม่ำเสมอ
รู้หรือไม่ว่ายิ่งเราใช้สมองมากและบ่อยเท่าไหร่เซลล์สมองก็จะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย หากิจกรรมยามว่างที่คุณและเพื่อนๆ ชื่นชอบ เช่น การเล่นหมากฮอสต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นคอรสเวิร์ดในเวลาว่าง
ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิดขึ้นคลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิดให้ช้าลงโดยการทำสมาธิ หลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จากนั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาทีทุกวัน รับรองว่าสมองดื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิมค่ะ!
ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคสและออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังการยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor ให้ทำงานได้ดีขึ้นแต่การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไปกลับไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบความจำด้วยเช่นกัน
จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรานั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความสามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้ายข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม สมุดโน้ตหรือโทรศัพท์มือถือก็เหมือนเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูล หรือเพิ่มพื้นที่ว่างในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำไมต้องกินผักให้หลากหลาย

ชีวจิตเราเคยเสนอหลักการรับประทานอาหารให้ครบส่วนไปแล้วซึ่งในแต่ละส่วนจำเป็นต้องรับประทานให้หลากหลาย เพราะในอาหารแต่ละอย่างจะมีสารอาหารหลักไม่เหมือนกัน การรับประทานได้มากชนิดเท่าไร ก็เท่ากับได้สารอาหารหลากหลายเท่านั้น
ผักก็เช่นเดียวกันที่ควรจะรับประทานให้หลากหลาย ไม่ใช่วันๆ สั่งแต่คะน้าหรือผักบุ้งอยู่แค่นั้น เพราะผักแต่ละชนิดก็จะให้คุณค่า แร่ธาตุแตกต่างกันออกไป
สารผัก หรือไฟโตเคมิคอล (Phytochemical) เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญวิตามินเสริมที่มีมาขายทุกวันนี้ก็ล้วนแต่สกัดมาจาก "สารในผัก" ทั้งนั้น ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงได้เกือบทุกชนิด เช่น โรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ โดยที่หาไม่ได้จากอาหารชนิดอื่นๆ (ยกเว้นธัญพืช ถั่ว และผลไม้)
สารผักแต่ละชนิดจะให้คุณค่าต่อร่างกายแตกต่างกันออกไป เช่น
*อัลลิซัลไฟด์ส (Allyl sulfides) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายให้กำจัดสารพิษได้ดีขึ้น พบมากในหอมหัวใหญ่ หอมเล็ก ต้นหอม และกระเทียม
*กลูคาเรต (Glucarate) ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง พบมากในมะเขือยาว มันฝรั่ง พริกไทย
*ดิธิโอลธิโอเนส (Dithiolthiones) และ ไอโซธิโอไซยาเนต (Isothiocyanate) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ให้ขับสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ดีขึ้น พบได้ในผักตระกูลกะหล่ำทุกชนิด
*อินโดล (Indole) ช่วยลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง เช่นมะเร็งเต้านมได้ พบในผักตระกูลกะหล่ำ
*ฟลาโวนอยด์ส (Flavonoids) เป็น ผักตัวสำคัญอีกตัวหนึ่ง เพราะเป็นสารที่ช่วยทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น และต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น (คือทำให้วิตามินบางตัวทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมุลอิสระได้) ฟลาโวนอยด์สสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น
เควอร์เซติน (Quercetin) พบมากในมะเขือเทศ มันฝรั่ง บร็อคเคอลี หอมหัวใหญ่
แกมป์เฟโรล (Kaempferol) ในผักคะน้า
*แคโรทีนนอนด์ (Carotenoid) สารกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักดีในฐานะที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่จะทำให้ผักมีสีเขียวเข้ม เหลือง ส้ม แดง หรือม่วง ประกอบด้วย
เบต้าแคโรทีน (Bata-carotene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวเก่ง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้เป็นอย่างดีพบมากในผักสีจัดๆ เช่น แครอท ผักใบเขียวทุกชนิด พริกหวานสีแดง ฟักทอง
ไลโคเพน (Lycopene) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก พบได้ในมะเขือเทศ
ลูทีน (Lutein) ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งและชะลอความเหยี่ยวย่นของผิวหนัง พบมากในผักใบเขียวทุกชนิด
ดีและมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้ารับประทานผักครบถ้วน รับรองว่าแข็งแรงและสุขภาพดีแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เกิดมาทั้งทีทำดี 3 กรรม

ทุกท่านที่เกิดมาเป็นคนนั้นจะทำอะไรถึงจะดี ก็จะขอสรุปว่า การที่เราเกิดมาเป็นคนนั้นไม่ใช่ดีเฉพาะโลกเดียว ดีมันต้องดี 2 โลก โลกที่แล้วไม่ต้องไปพูดถึง แต่ว่าโลกนี้และโลกหน้า "สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" จะทำอย่างไร เรื่องนิพพานก็ยังไม่อยากพูดถึง
"สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" ขอสรุปว่า "เกิดมาทั้งทีทำดี 3 กรรม เป็นทุนหนุนนำตายแล้วไปสวรรค์" นี่คือ "สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า"
"ดี 3 กรรม" คืออะไร
1. "กรรมกิจ" ได้แก่ หน้าที่การงานต้องดี ต้องมีความรู้ รู้แล้วเป็น คือ ไม่ใช่รู้แล้วไม่เป็น ประเภทความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เมื่อเราทำกรรมกิจในฐานะที่เราเป็นกรรมกร คือทำหน้าที่การงาน ก็ต้องทำให้ประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานนั้น ก็มีเงินมีทองใช้จ่ายใช้สอยเป็นทุน อย่างนี้ "อยู่ก็ไม่ร้อน นอนก็ไม่ทุกข์" ลูกเมียก็สบาย ลูกผัวก็สบาย ดังนั้นเรื่องกรรมกิจนี้ก็หมายถึงว่า " ทำแล้วมีเงินทองอย่างสมบูรณ์ " ก็มีความสุข
2. "กรรมบท" ข้อนี้เป็นข้อที่พัฒนาตนเองไปสู่ความเคารพนับถือ ได้แก่ มีศีล กรรมบทไม่ต้องไปพูดถึงอะไรมาก คือพูดถึง "ศีล" อย่างเดียว อย่างไรก็ตามไม้มีดอกผล คนต้องมีศีล เราจึงเห็นว่าศีลนั้นสำคัญ
1. ศีลส่งทำให้สูง
3. ศีลนำทำให้รวย
2. ศีลปรุงทำให้สวย
4. ศีลช่วยทำให้รอด
นี่ก็คือการเกิดมาเป็นคนต้องมีศีล เพราะศีลเป็นบันไดทองของชีวิต ทำให้เราได้รับความเคารพนับถือ คนไม่มีศีลนั้นใครจะไหว้ การจัดลำดับของคนนั้นเขาเรียกจัดลำดับตามศีล ไม่มีศีล เขาก็เรียก "ไอ้" เรียก "อี" แต่มีศีลเขาก็เรียก "พ่อ" เรียก "แม่" เรียก "คุณ" ดังนั้น กรรมบทเรื่อง "ศีล" เป็นเรื่องสำคัญ เป็นขั้นที่ 2
3 . "กรรมฐาน" คือ "สมถกรรมฐาน" ใจต้องนิ่ง ใจต้องแน่ ใจจะได้ไม่เน่า และเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน ต้องสว่างไม่ใช่มืดบอด เมื่อเรารู้เรื่องกรรมฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ไตรลักษณ์" ให้เห็นว่า
"อนิจจัง….ไม่เที่ยง"
"ทุกขัง….คงสภาพอยู่ไม่ได้"
"อนัตตา….ไม่ใช่ของเรา ต้องแตกสลายหายไปทุกคน"
ถ้า " 3 กรรม" นี้แล้ว "กรรมกิจ กรรมบท กรรมฐาน" ถือว่าเป็น "กรรมที่สมบูรณ์แบบ" อยู่ก็สบาย ตายก็ไปสู่สุคติ พระพุทธเจ้าสรรเสริญสำหรับบุคคลที่ทำ 3 กรรมนี้ จึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายเอาไว้เป็นข้อคิด ข้อปฏิบัติ

โ ด ย : พระพิพิธธรรมสุนทร วัดสุทัศนเทพวราราม กทม.

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ผงชูรส ประโยชน์และโทษ

สารปรุงแต่งรสอาหาร ผงชูรสมีที่มาเริ่มจากในปี พ.ศ.2451 ศาสตราจารย์ ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล ประเทศญี่ปุ่น ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดจากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ คือ กรดกลูตามิก และเมื่อลองชิมพบว่ามีรสใกล้เคียงกับซุปสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นอาหารประจำวันของชาวญี่ปุ่นที่บริโภคกันมาหลายร้อยปี จึงตั้งชื่อรสชาติของกรดกลูตามิกที่สกัดได้ว่า "อูมามิ" หลังจากนั้นได้จดสิทธิบัตรการผลิตกรดกลูตามิกในปริมาณมากๆ อันเป็นที่มาของอุตสาหกรรมผงชูรสในปัจจุบัน ผงชูรสมีการขายในเชิงพาณิชย์ครั้งแรก ภายใต้ชื่อการค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อายิโนะโมะโต๊ะ หมายถึง แก่นแท้ของรสชาติ ผลิตโดยใช้วิธีการย่อยแป้งสาลีด้วยกรด เพื่อให้ได้กรดอะมิโนแล้วจึงแยกกลูตาเมตออกมาภายหลัง
กระบวนการผลิตในปัจจุบันเริ่มจากใช้ขบวนการย่อยสลายแป้งมันสำปะหลังทางเคมี โดยใช้กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริกที่อุณหภูมิ 130 องศาเซลเซียส จนได้สารละลายน้ำตาลกลูโคส จากนั้นผ่านกระบวนการหมักโดยใช้ยูเรียและเชื้อจุลินทรีย์จนได้แอมโมเนียกลูตาเมต ส่งผ่านกระบวนการทางเคมีต่อโดยใช้กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก จนได้เป็นกรดกลูตามิก และผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีโดยใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ จะได้สารละลายผงชูรสหยาบ นำไปผ่านขบวนการฟอกสีโดยใช้สารฟอกสี จนเป็นสารละลายผงชูรสใส แล้วผ่านขั้นตอนสุดท้ายด้วยการทำให้ตกผลึกจนกลายเป็นผลึกผงชูรส
อาการแพ้ผงชูรส หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ไชนีสเรสทัวรองซินโดรม" (Chinese Restaurant Syndrome) หรือ "โรคภัตตาคารจีน" เพราะร้านอาหารจีนมักใช้ผงชูรสกันมากนั่นเอง จะมีอาการชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก
ประโยชน์ผงชูรสคงแค่เพิ่มความอร่อย แต่มีโทษมหันต์ถ้ากินในปริมาณมากเกินไป กำหนดไว้ไม่ควรบริโภคเกิน 2 ช้อนชาต่อวัน หากบริโภคมากเกินไปผงชูรสจะไปทำลายสมองส่วนควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำลาย ระบบประสาทตา สายตาเสีย ก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะอาหารที่หมักผงชูรสแล้วนำไปปิ้ง ย่าง นอกจากนี้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ถ้าบริโภคมากเกินไปจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรสด้วย
วิธีการเลือกซื้อไม่ควรใช้ผงชูรสปลอม และเลือกซื้อผงชูรสที่ในภาชบรรจุนะปิดผนึกเรียบร้อย

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

ในชีวิตมีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ผ่านเข้ามา
มีทั้งดี....มีทั้งไม่ดี
มีทั้งที่ถูกใจ....แต่ไม่ถูกต้อง
และที่ถูกต้อง....แต่ไม่ถูกใจ
แล้วสิ่งที่ดีที่สุดที่ไขว่คว้ากันอยู่ตรงไหน?
บางคนบอกว่า....สิ่งที่ดีที่สุด คือ.....
การได้รักใครสักคนที่ตนคิดว่าดี ว่าใช่ ถูกใจ
โดยไม่คิดถึงความถูกต้อง....
บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือ....
การได้ทำตามใจอย่างที่ตนต้องการ
โดยไม่คำนึงว่า ผู้อื่นจะรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของตน....
บางคนบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ....
การได้มีทรัพย์สมบัติมากมาย....
โดยไม่คำนึงว่า....จะได้มาอย่างไร....ต้องการมีเพียงให้ทัดเทียมคนอื่นเท่านั้น
บางคนบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุด คือ....
การใช้ชีวิตคุ้มค่า กับการได้กินได้เที่ยว....ในที่หรู ๆ
ได้ใช้ชีวิตในสังคมที่ฟุ้งเฟ้อ หรูหรา
โดยไม่สนใจหรอกว่า จะใส่หน้ากากแบบไหนเข้าหากัน
เคยถามตนเองบ้างไหม?....
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ให้ความสุขกับเราได้จริงหรือ?
เปล่าเลย....หากแต่ในความสุขที่แท้จริงในชีวิต....
คือการได้....ทำในสิ่งที่มีอยู่รอบตัวให้ดีที่สุด
เพราะเราจะไม่เสียใจเลย....หรือ อาจมีบ้างก็น้อยนิด
เมื่อเราต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปก็เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา....
ถึงแม้วันนี้ เราจะพบสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว....แต่วันหน้า ยังมีสิ่งที่ดีกว่า รอเราอยู่ ไม่ใช่หรือ?....
ที่มาขอขอบคุณ ทำดี.net และ ธรรมะดิลิเวอรี่.com

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตำนานสยอง...ของ...ซานฟรานซิสโก

ซานฟรานซิสโก เป็นนครที่สวยงามอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องแวะไปเยือนเมื่อมาถึง รัฐแคลิฟอร์เนีย แสงสียามราตรีทำให้นครแห่งนี้มีชีวิตชีวาเช่นเดียวกับมหานครอีกหลายๆ แห่งของสหรัฐ ทว่าในคืนที่หมอกลงจัดคล้ายเงาภูตผีหลายคนอดหวนนึกไปถึงตำนานสยองของซานฟรานซิสโกขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ตำนาน...เรือผีสิง ตำนานฝีเท้าปีศาจ และ เสียงโซ่ตรวน ที่ดังกึกก้องในคุกที่ไร้นักโทษ ตำนานเหล่านี้เล่าขานกันมานานจนกลายเป็นตำนานคู่บ้านคู่เมืองของซานฟรานซิสโกไปแล้ว ใครอยากรู้ อ่านดูเลยจ้า!
ตำนาน...เรือผีสิง
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของซานฟรานซิสโกก็คือ สะพานโกลเด้นเกท ซึ่งครั้งที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ในปี ค.ศ.1937 เคยได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ขวา) ทุกวันนี้โกลเด้นเกทก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่เชิดหน้าชูตาของนครแห่งนี้ นอกเหนือจากการเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในการเชื่อมต่อซานฟรานซิสโกเข้ากับมารินเคาน์ตี้ ทางตอนเหนือ โดยมีรถแล่นไปมาวันละไม่ต่ำกว่า 120,000 คัน
ทว่า การจราจรบนท้องน้ำเบื้องล่างใต้สะพานลงไปราว 220 ฟุต กลับไม่ราบรื่นเหมือนการจราจรบนสะพาน เพราะช่องแคบโกลเด้นเกทซึ่งเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก และอ่าวซานฟรานซิสโก (ซ้าย) มีกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และแคบมากเพียง 1 ไมล์เท่านั้น ซึ่งหมอกยังลงจัดมากจนทำให้เรืออับปางมากกว่า 100 ลำ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนทิศทางลมและกระแสน้ำอย่างฉับพลัน
คนที่พำนักในย่านนั้นมักจะเห็นเรือสมัยโบราณแล่นไปมาจนต้องโทร.แจ้ง 911 อยู่เสมอ แต่เมื่อตำรวจมาถึงกลับไม่พบเรือประหลาดเหล่านั้น ในปี 1942 ทหารเรือของเรือรบหลวงเคนนิสัน ยืนยันว่าเห็น “เรือผีสิง” แล่นในช่องแคบในสภาพที่ผ้าใบขาดวิ่น แต่กลับแล่นได้เร็วจนหายลับไปกับตา
ตำนาน...เหมืองปีศาจ
ในปี 1848 ซานฟรานซิสโกเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่มีคนอาศัยเพียง 800 คน แต่ในเมืองใกล้ๆ กันมีการค้นพบ เหมืองทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพียง 2 ปีให้หลังบรรดานักแสวงโชคแห่กันเข้ามาขุดทอง และอพยพย้ายถิ่นมาอาศัยที่ซานฟรานซิสโกมากมายถึง 25,000 คน บางส่วนของเมืองจึงเป็น สุสานเก่า ซึ่งเมื่อมีการขยายเมืองในเวลาต่อมา สุสานบางแห่งก็ได้ถูกยกเลิกไป
ตำนาน...เหมืองปีศาจ เล่าว่า สุสานเก่าในเขตรัสเชียนฮิลล์ ซึ่งฝังศพกลาสีชาวรัสเซียในยุคแสวงโชค ได้ถูกย้ายออกไปเพื่อใช้สร้างอาคารใหม่ๆ อาทิ สถาบันศิลปะ ซานฟรานซิสโก (บน) ในปี 1926 หลังจากนั้นก็จะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในตึก อาทิ มีเสียงฝีเท้าในยามค่ำคืนทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ในตึก หรืออุปกรณ์ช่างจู่ๆ ก็หมุนได้เองโดยไม่มีใครไปเปิด
นักศึกษาบางคนเห็นแสงไฟประหลาดที่หอคอยของสถาบันทำให้โจษจันกันไปว่า...บางทีวิญญาณของกลาสีที่ยังวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นอาจจะส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่า...อย่ามารบกวนพวกเขาอีก
ตำนาน...คุกหลอน
เกาะอัลคาทราซ เป็นเกาะร้างในอ่าวซานฟรานซิสโก (บน) ซึ่งใช้เป็นคุกทหารก่อนจะกลายมาเป็นเรือนจำของซานฟรานซิสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1934 (ล่าง) โดยมีระบบการควบคุมนักโทษที่รัดกุม ยากแก่การหลบหนี อัล คาโปน เจ้าพ่อคนดังของอเมริกาก็ถูกส่งตัวมาชดใช้กรรมที่คุกแห่งนี้นานถึง 29 ปี
แม้จะเป็นเรือนจำที่คุมเข้มที่สุด แต่นักโทษก็ยังไม่วายคิดหนี โดยกระโจนลงสู่สายน้ำที่เย็นยะเยือก และเชี่ยวกรากของอ่าวซานฟรานซิสโก หมายจะให้น้ำพัดพาตัวเองไปขึ้นฝั่ง ทว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายกลางน้ำมักจะถูกจับกุมได้ก่อนขึ้นฝั่งเสมอ
เกาะอัลคาทราซหมดสภาพการเป็นเรือนจำในปี 1963 แล้วพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะ แต่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเกาะนี้มักจะได้ยินเสียงโซ่ตรวนดังแว่วๆ หรือได้ยินเสียงแบนโจดังมาจากห้องคุมขัง เจ้าพ่ออัล คาโปน ในขณะที่หลายคนยืนยันว่า เกิดอาการขนลุก เย็นสันหลังวาบขึ้นมาเฉยๆ เมื่อได้เห็นเงาวูบๆ วาบๆ และบริเวณที่ยืนอยู่ก็เย็นยะเยือกขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับคุกหลอนที่อัลคาทราซได้ตอกย้ำความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย...โดยเฉพาะการรับโทษทัณฑ์ในภพอื่นของอดีตนักโทษแห่งอัลคาทราซ
...ตายแล้วก็ยังต้องถูกจองจำแบบนี้...บางทีอาจเป็นอุทาหรณ์ให้คนชั่วคิดกลับตัวกลับใจเสียใหม่ก็เป็นได้

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

น้ำตกทีลอซู

น้ำตกทีลอซ ูเกิดจากลำห้วยกล้อท้อไหลมาจากผืนป่าบริเวณทิศตะวัตตกติดชายเแดนพม่า ลำน้ำทั้งสายตกลงจากหน้าผาสูงกลางป่าทึบของป่าทุ่งใหญ่ในเขตพื้นที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นน้ำตกที่ยิ่งใหญ่มีชื่อว่า น้ำตก ทีลอซู มีความสูงประมาณ 300 เมตร เมื่อภาพความสวยงามและยิ่งใหญ่ของน้ำตกทีลอซูปรากฎสู่สายตาแก่นักท่องเที่ยวจึงทำให้ชื่อเสียงของทีลอซูโด่งดังในเวลาอันรวดเร็ว ผู้คนมากมายต่างได้ยินเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของน้ำตกทีลอซู ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวมากมายได้เข้าไปสัมผัสแล้วกลับมาบอกเล่าถึงความสวยงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่น้ำตกทีลอซูที่เคยยิ่งในใหญ่ครั้งนั้นหดหายไปบ้างเนื่องจากเกิดหน้าผาถล่มเพราะฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ปริมาณน้ำมีมาก หน้าผารับน้ำหนักไม่ไหวจึงถล่มพังลงมา นั่นเป็นเวลาที่ผ่านมานานแล้ว ถึงแม้หน้าผาน้ำตกจะถล่มไปแล้วถึงสองครั้งแต่ความสวยงามของที่ลอซูที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ยังสวยงามเกินพอที่นักท่องเที่ยวจะได้เข้าไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต
ปัจจุบัน น้ำตก ทีลอซู อยู่ในพื้นที่การดูแลของเขตรักษาพันธุ์ป่าอุ้มผาง น้ำตกทีลอซูไม่ใช่อุทยานแห่งชาติ เป็นเพียงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งมีกฎระเบียบการเข้าไปในพื้นที่เคร่งครัด จุดประสงค์เพื่อปกป้องป่าไว้ไม่ให้ถูกทำลายจากการเข้าไปของมนุษย์
แต่ก่อนนั้นการเดินทางเข้าไปยากลำบาก ต้องล่องแพไม้ไผ่เข้าไปจนถึงจุดหนึ่งซึ่งต้องขึ้นบกและเดินเท้าเข้าไปด้วยความยากลำบาก ต่อมาเริ่มมีถนนดินตัดเข้าไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ แต่เส้นทางก็เพียงถนนดิน เมื่อถึงฤดูฝนถนนก็จะชำรุดเสียหายยากต่อการเดินทาง ปัจจุบันความยากลำบากของการเดินทางเข้าน้ำตกทีลอซูกลายเป็นตำนานเพราะเมื่อปี พ.ศ. 2546 มีการปรับปรุงเส้นทางใหญ่ ทำเป็นถนนลูกรังอัดแน่นอย่างดีมิใช่เส้นทางที่มีแต่หล่มโคลนเหมือนแต่ก่อน ถึงแม้ถนนดีเดินทางเข้าไปง่ายแต่ความเป็นธรรมชาติยังคงถูกรักษาไว้ด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด ถนนเข้าน้ำตกทีลอซูจะถูกปิดในช่วงฤดูฝนและจะเปิดให้เข้าอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน การเข้าไปชมน้ำตกไม่สามารถนำอาหาร ขนม และขวดน้ำเข้าไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำติดตัวไปจะต้องฝากไว้ที่จุดตรวจ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้ำตกทีลอซูยังคงสะอาดปราศจากขยะ
การเดินทางจากอุ้มผางสู่ ทีลอซู
การล่องแพยังเป็นการเดินทางที่เป็นอมตะสำหรับการเดินทางในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เริ่มฤดูฝนไปจนถึง 1 พฤศจิกายน เส้นทางเข้าทีลอซูถูกปิด การเดินทางเดียวที่ทำได้คือการล่องแพ แต่ก่อนใช้แพไม้ไผ่แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เรือยางลำใหญ่ปลอดภัยกว่าและยังเป็นการอนุรักษ์ จากตัวเมืองอุ้มผางจะต้องลงเรือยางล่องมาตามลำน้ำแม่กลอง ผ่านบ่อน้ำร้อนและแก่งต่างๆ ตลอดเส้นทางที่ล่องเรือผ่านมีทัศนียภาพที่สวยงามและยังคงเป็นธรรมชาติมากๆ เมื่อล่องมาถึงครึ่งทางนักท่องเที่ยวก็จะได้เห็นความสวยงามของน้ำตกทีลอจ่อที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงลงสู่ลำน้ำแม่กลอง ถัดจากนั้นมาไม่ไกลก็จะผ่านน้ำตกสายรุ้ง หากเดินทางไปในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะเห็นรุ้งกินน้ำที่เกิดจากแสงที่ตกกระทบกับละลองน้ำของสายน้ำตก นอกจากนี้ยังมีน้ำตกริมทางให้ได้หยุดแวะเล่นน้ำกันอีกด้วย ระยะเวลาสำหรับการล่องเรือยางประมาณ 3-4 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความแรงของกระแสน้ำในแต่ละช่วงเวลา เมื่อขึ้นจากเรือยางจะต้องเดินเท้าต่อไปยังจุดกางเต็นท์พักแรมที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ประมาณ 1 กิโลเมตรแรกเป็นเส้นทางเดินผ่านป่า ช่วงที่เหลือเป็นถนนลูกรังอัดแน่น สภาพเส้นทางมีขึ้นเนินเป็นบางช่วงโดยเฉพาะช่วงแรกๆ จะเป็นการเดินขึ้นเนินเป็นส่วนใหญ่ ช่วงกลางและท้ายจะเป็นทางลงเนิน วันถัดมาจึงจะได้ชื่นชมกับความงามของน้ำตกทีลอซู ตอนเดินทางกลับก็จะต้องเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมเพื่อกลับมาลงเรือยางล่องต่อไปยังจุดที่ลำน้ำบรรจบกับถนน แล้วขึ้นรถกลับสู่รีสอร์ที่พัก
สำหรับการเดินทางในช่วงเวลาที่ถนนเปิดให้รถเข้าจะมีการเดินทางเป็น 2 แบบ ส่วนใหญ่จะนิยมล่องเรือยางไปยังจุดที่ขึ้นบก จากนั้นก็ขึ้นรถต่อไปยังจุดกางเต็นท์ ขากลับก็นั่งรถกลับตรงไปยังรีสอร์ที่พักในตัวเมืองอุ้มผาง สบายๆ ไม่ต้องเดิน แต่ช่วงเวลานั้นจะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงวันหยุดโดยเฉพาะวันหยุดเทศกาล ถ้าหากไปในช่วงเวลาดังกล่าวก็ต้องยอมรับสภาพว่าบรรยากาศของการแค้มปิ้งพักแรมไม่ค่อยดีเท่าไร
อีกแบบหนึ่งสำหรับผู้มีเวลาน้อยและนิยมประหยัด คือการขับรถรวดเดียวจากตัวเมืองอุ้มผางไปยังจุดกางเต็นท์ จากนั้นเดินเท้าเข้าไปเที่ยวน้ำตกแล้วขับรถกลับ
ถึงแม้ช่วงเวลานั้นเส้นทางจะเปิด นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถเข้าไปได้แต่การล่องเรือยางเป็นการเดินทางที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยมมากที่สุดเกือบ 99% ทั้งนี้เพราะการล่องเรือยางเป็นรสชาติของการเดินทางไปน้ำตกทีลอซู เหมือนการเดินทางในรุ่นแรกเริ่ม และนักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงามของบรรยากาศป่าเขาริมทาง เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทัชมาฮัล

ถ้าถามว่า “ความรักคืออะไร“…. อย่าคิดหาคำตอบให้เสียเวลา…เพราะว่าเราจะไม่ได้ความหมายที่แท้จริงเลย คำๆ นี่ไม่มีแม้กระทั่งคำจำกัดความของตัวมันเอง เรารู้แต่เพียงว่า “ความรัก” นั้น สามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้ทุกสิ่ง
ทัชมาฮัล คือตัวอย่างของตำนานแห่ง “ ความรัก” ที่ปราศจากนิยามคำนี้ ผู้ที่สร้างตำนานความรักอันยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์ชาห์ญะฮาน กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมเลกุล ที่ทรงโปรดให้สร้าง ตาซมะฮัล หรือ ทัชมาฮัลขึ้นเป็นอนุสรณ์แทนความรักที่พระองค์มีต่อมเหสีคือ พระนางมุมตาซ มะฮัล จนสถานที่แห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่งดงามที่สุดในโลก
กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ทรงเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ญะฮางงีร์ ทรงประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1592 เป็นที่ร่ำลือตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงเคร่งขรึม ในพระทัยเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความเป็นคนอมทุกข์ของพระราชโอรสสร้างความหนักพระทัยให้กับพระราชบิดาเป็นอย่างมาก กษัตริย์ญะฮางีร์ ทรงแนะนำให้พระราชโอรสดื่มน้ำจัณฑ์และหาความสำราญพระทัยด้านต่างๆ มาสู่พระราชโอรส แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชาห์ ญะฮาน ยังทรงเคร่งขรึมไม่เบิกบานพระทัยเช่นเดิม
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายได้เสด็จประพาสตลาดและได้พบกับสาวน้อยวัย 14 ปี นามว่า อรชุนด์ บาโน เบคุม เป็นบุตรสาวของ อะซีฟ ข่าน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1592 และมีเชื้อสายเปอร์เซีย เพียงได้เห็นดวงหน้าของนางครั้งแรกเจ้าชายก็เกิดรักแรกพบขึ้นที่ตลาดนั่นเอง 3 ปีให้หลัง พิธิอภิเษกสมรสของเจ้าชายก็ถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 หลังจากพิธีอภิเษก อรชุนด์ บาโน เบคุม ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า มุมตาซ มะฮัล ซึ่งแปลว่า อัญมณีแห่งปราสาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าชายก็ทรงเปลี่ยนไป เพราะเบิกบานพระทัยยิ่งนัก อีกทั้งสองพระองค์ก็เป็นคู่รักที่ไม่เคยแยกจากกันเลย ในปี ค.ศ. 1628 เจ้าชายเสด็จขึ้นครองราชบังลังก์ ทรงพระนามว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โดยมีพระนางมุมตาซ มะฮัล เป็นพระมเหสีคู่พระทัย พระนางทรงเป็นทั้งคู่คิดและที่ปรึกษา และ มีส่วนในการช่วยเหลือพระสวามีในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรทั่วหล้า
พระนางมุมตาซ มะฮัล ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 14 พระองค์ หลังจากทรงให้กำเนิดพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในช่วงปี ค.ศ. 1631 พระนางได้เสด็จร่วมกรีธาทัพกับพระสวามี ณ เมืองเดคข่าน แต่ระหว่างเสด็จกลับพระนครพระนางก็ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในที่สุดขบวนเคลื่อนพระศพสู่พระนครนั้น ถูกจัดอย่างเอิกเกริกมโหฬาร ตลอดเส้นทางที่เคลื่อนขบวนมีการโปรยทานแก่คนยากจน เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าใกล้กรุงอาครา ผู้ที่อาลัยรักพระนางต่างมาสมทบมากขึ้นจนเป็นขบวนแห่พระศพที่ยิ่งใหญ่มาก
กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้นำอาหารมาเลี้ยงแก่ประชาชนทั้งหลายอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่ง การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระมเหสีสุดที่รักสร้างความโทมนัสตรอมพระทัยให้กับกษัตริย์ชาห์ ญะฮานเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่ทรงเสวยและไม่ทรงพระบรรทม ทรงแต่ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องนุ่มห่มสีขาวเป็นการไว้ทุกข์ และทรงเสด็จเยี่ยมหลุมฝังศพของพระนางทุกวันศุกร์ด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์แห่งความรักขึ้นมาอย่างวิจิตรอลังการ และให้ชื่อเรียกว่า ตาซ มะฮัล สร้างอยู่บนพื้นที่ 42 เอเคอร์ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา
ในการก่อสร้างนั้น กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้ระดมช่าง ศิลปิน และสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าฝีมือดีเยี่ยมที่สุดจากหลายๆ ที่ ประมาณ 20,000 คน ใช้เวลาการในก่อสร้าง 22 ปี สิ้นค้าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปประมาณ 45 ล้านรูปี พระอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างด้วยศิลาขาวทั้งหมดมีโดมทรงกลมเด่นอยู่ตรงกลาง สูงถึง 72 เมตร บริเวณโดยรอบมีผนังศิลาแลงล้อมรอบ ประตูทางเข้าวางอยู่บนฐานศิลาแลง บริเวณทางเข้ามีสระน้ำหินอ่อนสีขาวรอบทางเดินเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์
ตำแหน่งที่เป็นที่วางพระศพของพระนางมุมตาซ ทำเป็นแท่นรูปบัวตูม ส่วนหีบพระศพเป็นหินอ่อนสีขาวแกะสลักอย่างงดงาม หลังจากที่เป็นที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จแล้ว กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ได้เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้เสมอๆ จนกระทั่งในค.ศ. 1658 ก็ทรงล้มป่วย พระราชโอรสองค์ที่ 3 คือ ออรังเซป ก็ตั้งตนขึ้นครองราชบัลลังก์แทน และจับกษัตริย์ชาห์ ญะฮาน พระราชบิดา กักขังไว้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1666 ก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างที่ถูกกักขังอยู่กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน เฝ้าแต่นั่งจ้องมองดูกระจกชิ้นเล็กๆ ที่ส่องสะท้อนออกไปเห็นทัชมาฮัล พระองค์สวรรคตพร้อมด้วยกระจกที่กำแน่นอยู่ในพระหัตถ์ และ พระบรมศพของพระองค์ก็ได้ถูกนำไปฝังในทัชมาฮัล เคียงข้างกับพระมเหสีสุดที่รัก ตามพระประสงค์ที่ทรงต้องการจะอยู่เคียงคู่กันตราบชั่วนิจนิรันดร์ ตำนานอันเลื่องลือของความรักที่ปรากฏไปทั่วโลกเรื่องนี้
ยังมีเรื่องเล่าในอีกแง่มุมหนึ่งเกิดขึ้นมาที่ว่ากันว่ากษัตริย์ชาห์ ญะฮาน สร้างทัชมาฮัลขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงหลักมนุษยธรรม และทัชมาฮัลก็กลายเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะในการสร้างทัชมาฮัล กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ระดมช่างฝีมือดีมาเป็นจำนวนมากและมีกฎว่าต้องสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลา ถ้าสร้างไม่เสร็จก็จะถูกลงโทษ และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อสร้างทัชมาฮัลเสร็จแล้ว ช่างทุกคนก็ถูกฆ่าตาย จนหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ไปสร้างสถานที่ที่งดงามเช่นนี้เลียนแบบไว้ที่ไหนอีก
บ้างก็ว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน อาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างทัชมาฮัลให้ยิ่งใหญ่เพื่อความรัก แต่มีแผนการที่จะสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เพื่อสนองความต้องการ - ของตัวเอง และในการสร้างทัชมาฮัลนี้ ทำให้ประเทศอินเดียต้องสูญเสียเงินที่จะมาสร้างความเจริญให้กับประเทศ ไปถึง 250 ปี อย่างไรก็ตาม โลกก็ได้ให้รางวัลสำหรับ - ความยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ด้วยการจัดให้ทัชมาฮัล เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตราบมาจนถึงปัจจุบันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตำนานพญานาค

นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล
นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า
ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู
เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน
ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม
ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ
พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้
พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย
พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ
จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี


ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ
จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต ทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่างๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย
ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง
ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช
ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์
นาคให้น้ำ
พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา
เกี่ยวข้องกับคนไทย
เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค
พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนา
ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา
พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความรักที่แม่ให้ มีค่าเท่าไหร่กัน?


เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า... บ้านหลังหนึ่ง … มีสองแม่ลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนพ่อนั้น ตายไปนานแล้ว แม่ต้องคอยหาเลี้ยงดูลูกน้อย จนเติบใหญ่ และส่งเสียได้เรียนหนังสือ จนจบการศึกษา
แต่… หลังจากลูกชายเรียนจบ มีงานทำดีๆ ก็ยังขอเงินแม่ใช้อยู่ พอแม่ถามว่า "เงินเดือนแต่ละเดือนไปไหนเหรอลูก เหลือเก็บบ้างไหม?"... คำตอบที่ได้ฟังจากปากลูกชายคือ "เที่ยวหมดแล้วครับแม่ … เงินเดือนผมก็น้อย ค่าเลี้ยงสาวยังไม่พอเลย แม่จะเอาอะไรกับผมนักหนาเนี่ย! อย่ายุ่งกับผมได้ไหม?"
พอแม่ได้ฟังดังนั้น ก็เงียบ !!! และก็พูดว่า "ที่แม่พูดไม่ใช่แม่อยากได้ตังค์เจ้า … แต่แม่กลัวว่าเจ้าจะไม่รู้จักใช้เงิน เผื่อยามฉุกเฉิน จะได้ไม่ต้องเดือดร้อน หรือ เผื่อลูกไม่มี ขาดเหลือ อะไรแม่จะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ และ แม่ …" ยังไม่ทันที่แม่จะพูดจบลูกชาย ก็เดินจากไป…
อยู่มาวันหนึ่ง . . . ลูกชายก็เดินเข้าไปหาแม่ในครัว พร้อมยื่นกระดาษที่เขียนข้อความไว้จนเกือบเต็มหน้าให้คุณแม่ของเขาอ่าน ซึ่งมีใจความว่า...
ค่าตัดหญ้า 5.00 บาท
ค่าทำความสะอาดห้องผม อาทิตย์นี้ 1.00 บาท
ค่าซื้อของให้แม่ 2 .50 บาท
ค่าดูแลน้องชาย 2.50 บาท
ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาท
ค่าได้คะแนนดี 5.00 บาท
ค่ากวาดสนาม 2.00 บาท
รวมค้างชำระ 19.00 บาทถ้วน
ปล.แม่จ่ายให้ผมด้วย (โห... ทำงานมีเงินเดือนกะเงินแค่นี้ยังขอแม่นะเนี่ย!!!! เฮ้อ...น่าเศร้าใจจริงๆ) … เมื่อคุณแม่อ่านเสร็จแล้วก็หยิบปากกาขึ้นมา เธอพลิกกระดาษไปด้านหลังแล้วเขียนว่า... เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง… ไม่คิดเงิน
เวลาที่แม่พยาบาลลูก และสวดมนต์ให้ลูก … ไม่คิดเงิน
ค่าที่ลูกทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา... ไม่คิดเงิน
ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า พาเที่ยว... ไม่คิดเงิน
แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้… ไม่คิดเงินหรอกจ้ะลูก
เมื่อรวมทั้งหมดเป็นราคาเต็มของความรัก…ไม่คิดเงินเหมือนกัน
และเมื่อลูกชายได้อ่านสิ่งที่คุณแม่เขียนไว้ ก็อึ้ง !. . . น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา เขาสบตากับแม่แล้วจึงพูดว่า... " แม่ครับผมรักแม่จริงๆ นะครับ" แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตว่า... …จ่ายหมดแล้ว... แม่จ่ายหมดแล้ว... แต่... แต่ว่า... ลูกยังทอนให้ไม่หมดครับแม่... !!

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันแม่ 12 ประเทศ

ประเทศไทย
วันแม่แห่งชาติ ตรงกับวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยริเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2519 โดยคณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จนถึงปัจจุบัน
สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่คือ ดอกมะลิ ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2475 เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร) กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพระราชทานนามว่า “สิริกิต์” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรีแห่ง กิติยากร”

ประเทศญี่ปุ่น
วันแม่ของประเทศญี่ปุ่นตรงกับวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ในวันนี้ ลูก ๆ จะมอบดอกคาร์เนชั่นสีแดงหรือของขวัญให้กับคุณแม่ เพื่อแสดงความระลึกถึงบุญคุญของท่าน
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ( Kougou Michiko) (20 ตุลาคม 2477 ) เป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น เคียงคู่สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปรากฏองค์ให้ประชาชนชาวญี่ปุ่น ชื่นชมพระบารมีบ่อยครั้งที่สุดและทรงท่องเที่ยว เสด็จเยือนที่ต่างๆ ในโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น


ประเทศเดนมาร์ก
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม คือวันแม่ของประเทศ เดนมาร์ก
ปัจจุบันเดนมาร์กเป็นราชอาณาจักรโดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญเป็นประมุข คือ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2515(ค.ศ.1972) และทรงเป็นพระประมุขแห่งเดนมาร์กลำดับที่ 52
ทรงเป็นพระมารดาของพระราชโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าชายเฟรเดอริก (HRH Crown Prince Frederik) และเจ้าชายโจคิม (HRH Prince Joachim)


ประเทศเนเธอร์แลนด์
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม คือ วันแม่ของประเทศ เนเธอร์แลนด์
สมเด็จพระราชินีบีทริกซ์ แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Beatrix of the Netherlands) ประสูติเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2481 โดยทรงขึ้นครองราชย์ ต่อจากสมเด็จพระราชินีจูเลียนา ซึ่งทรงลงจากราชบัลลังก์ ด้วยการสละราชสมบัติ โดยตลอดระยะเวลา ที่พระองค์ทรงอยู่บนราชบัลลังก์ พระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นราชินีดัชต์ ที่ทรงเคร่งครัดต่อหลักธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งสาธารณชนเอง ต่างชื่นชมในความเป็นมืออาชีพของพระองค์ และหลายๆ คนยกย่องว่า "พระองค์ทรงเป็นราชินีดัชต์ที่ชาญฉลาดที่สุด"


ประเทศเบลเยียม
ที่เมืองแอนท์เวิร์ป ในเบลเยียม วันที่ 15 สิงหาคม เป็นวันครองราชสมบัติและเป็นวันแม่ของประเทศ
ชีวิตของ พระราชินีเปาลา ราวกับเทพนิยาย หลายคนกล่าวว่าเธอคือ ซินเดอเรลล่าในชีวิตจริง เพราะเธอเป็นอีกสตรีสามัญชนที่ได้มีโอกาสอภิเษกสมรสกับเจ้านายในราชวงศ์
สมเด็จพระราชาธิบดีอัลเบิร์ตที่2 ทรงอภิเษกสมรสกับ ดอนนา เปาลา มาร์เกริตา มาเรีย-อันโตเนีย คอนซิลยา รัฟโฟ ดี กาลาเบรียเมื่อในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 ณ กรุงบรัสเซลส์
สมเด็จพระราชินีเปาลาทรงเป็นพระมารดาของพระโอรสพระธิดา3พระองค์ คือ เจ้าชายฟิลิป เจ้าฟ้าหญิงแอสตริดแห่งเบลเยียม เจ้าชายโลรองต์


สหราชอาณาจักร
อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเดย์) คือ วันแม่ ของ สหราชอาณาจักร
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II of the United Kingdom เอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี 21 เมษายน พ.ศ. 2469) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งรัฐที่ปกครองตนเองโดยอิสระสิบหกรัฐ โดยทรงมีราชบัลลังก์และพระอิสริยยศในแต่ละแห่งอย่างเท่าเทียมกัน พระองค์ทรงประทับร่วมกับพระราชวงศ์อังกฤษในสหราชอาณาจักร ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์มีลักษณะดั้งเดิมทางประวัติศาสตร์
นอกเหนือจากสหราชอาณาจักรแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จาเมกา บาร์เบโดส หมู่เกาะบาฮามาส เกรนาดา ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตูวาลู เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ แอนติกาและบาร์บูดา เบลิซ และเซนต์คิตส์และเนวิส ซึ่งมีข้าหลวงใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในแต่ละแห่ง ในสิบหกประเทศซึ่งพระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เป็นที่รู้จักว่า เครือจักรภพอังกฤษและมีประชากรวมกันทั้งหมดจำนวน 128 ล้านคน


ประเทศสเปน
วันแม่ของประเทศสเปน คือ วันอาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม
สมเด็จพระราชินีโซเฟีย สมเด็จพระราชินีโซเฟียทรงเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระราชาธิบดีพอลที่ 1 กับสมเด็จพระราชินีเฟรดเดอริกา แห่งสาธารณรัฐเฮลเลนิก (กรีซ) เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี 2481
ทรงสำเร็จการศึกษาด้านกุมารเวชศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ทรงพระปรีชาสามารถด้านภาษาต่าง ๆ รับสั่งได้ทั้งภาษากรีก อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส ทรงสนพระทัยโบราณคดี ศิลปะ และดนตรี เป็นอย่างมาก
ดังจะเห็นได้จากทรงเป็นประธานสถาบันดนตรีหลายแห่ง นอกจากนี้ยังโปรดกีฬาเรือใบ โดยทรงเป็นสมาชิกทีมชาติกรีซในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2503 ณ กรุงโรม แต่ไม่โปรดการทอดพระเนตรกีฬาสู้วัวกระทิงซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติของสเปน เสวยเฉพาะอาหารทะเลและอาหารมังสวิรัติ และโปรดข้าวสวยทรงเป็นพระมารดาของพระโอรสและพระธิดา 3 พระองค์คือ เจ้าชายเฟลิเป เจ้าหญิงเอเลน่า เจ้าหญิงคริสติน่า


ประเทศนอร์เวย์
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ เป็นวันแม่ของนอร์เวย์
สมเด็จพระราชินีซอนยาแห่งนอร์เวย์(Sonja av Norge พระนามเดิม: Sonja Haraldsen ซอนยา เฮรัลด์เซ็น ประสูติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 ณ กรุงออสโล) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ เป็นพระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์
พระองค์ทรงเป็นสามัญชน ทรงเป็นบุตรีของนายคาร์ล ออกัส เฮรันด์เซ็น กับ นางเดกนี อูริชเซ็น พระองค์ได้หมั้นหมายกับมกุฏราชกุมารฮารันด์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2511
หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าโอลาฟที่ 5 ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 ซอนยาได้กลายเป็นสมเด็จพระราชินี พระนางทรงเป็นพระมารดาของพระธดาและพระโอรส2พระองค์ คือ เจ้าหญิงมาร์ธา หลุยส์และมกุฏราชกุมารฮากอน แม็กนัส


ประเทศสวีเดน
อาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่ของประเทศ สวีเดน
พระราชินีซิลเวียเสด็จพระราชสมภพเป็นสามัญชน มีพระนามาภิไธยเดิมว่า ซิลเวีย เรนาเท่ ซอมเมอร์ลาท ทรงเป็นลูกคนเดียวของนายวาลเท่อร์ ซอมเมอร์ลาทและนาง อลิซ โซอาร์ส์ เดอร์ โทเลโด
สมเด็จพระราชินีซิลเวียทรงเป็นธิดาของนักธุรกิจชาวเยอรมัน เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี 2486 ทรงเป็นอีกหนึ่งสตรีที่สร้างตำนานระหว่างสามัญชนกับราชวงศ์
ทรงเป็นประธานมูลนิธิและกองทุนต่าง ๆ ซึ่งดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือเด็ก เด็กพิการ ผู้ป่วยทางจิต และการต่อต้านยาเสพติด รับสั่งได้ 6 ภาษา คือ เยอรมัน สวีเดน อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส และยังทรงศึกษาภาษามือเพื่อทรงสื่อสารกับผู้พิการทางหู โปรดอาหารไทยเป็นพิเศษ เช่น หมี่กรอบ ผัดไทย ต้มข่าไก่ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม มีโอกาสปรุงอาหารไทยถวายในโอกาสต่าง ๆ หลายครั้ง


ประเทศกาตาร์
วันที่ 10 พฤษภาคม วันแม่ของประเทศ กาตาร์
พระราชินีเชคเคาะเมาซา บินด์ เนเซอร์ อัสมิสนัด เชคเคาะห์เมาซา เป็นพระชายาพระองค์ที่ 2 ในเชคฮามัด บินคอลิฟะห์ อัลซานี เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์
พระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นราชินีที่ทรงศิริโฉมงดงามที่สุดพระองค์หนึ่งในโลก
ทรงสำเร็จการศึกษาด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐกาตาร์ ทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสิทธิสตรีในกาตาร์ รวมทั้งการถวายคำแนะนำแด่เจ้าผู้ครองรัฐในการพัฒนาประเทศ
ทรงเป็นพระมารดาของ พระโอรส 4 พระองค์ และพระธิดา 3 พระองค์


ประเทศมาเลเซีย
วันที่ 10 พฤษภาคม วันแม่ของประเทศมาเลเซีย
สมเด็จพระราชินีตวนกู เฟาซิอะห์ บินตี อัลมาร์ฮูม เติงกู อับดุล รอชีด รายาประไหมสุหรี อากง สมเด็จพระราชินีทรงเป็นพระธิดาของเชื้อพระวงศ์สายสุลต่านรัฐกลันตันและตรังกานู ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรเพื่อการกุศลหลายองค์กร รวมทั้งองค์กรสตรีมุสลิมแห่งรัฐปะลิส
พระองค์ทรงเป็นพระมารดาของของพระราชโอรส 1 พระองค์และพระราชธิดา 1 พระองค์


ประเทศจอร์แดน
วันที่ 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) เป็นวันแม่ของจอร์แดน
สมเด็จพระราชินีราเนีย อัลอับดุลเลาะห์ พระมเหสี หรือในอดีต นางสาวราเนีย อัล ยาซิน เป็นอีกหนึ่งสตรีสามัญชนที่ได้มีโอกาสอภิเษกสมรสกับเจ้านายในราชวงศ์
ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจจาก อเมริกัน ยูนิเวอซิตี้ กรุงไคโร สาธารณรัฐอียิปต์ ทรงมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของสตรีให้มีความเม่าเทียมกับบุรุษ จนได้รับการขนานพระนามจากสื่อมวลชนว่าเป็น “a mover and shaker” ที่มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิสตรีในโลกอาหรับ

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เกร็ดน่ารู้ถนอมสายตา

เชื่อว่าคนทำงานต้องหนีไม่พ้นการใช้สายตาจับจ้องจอคอมพิวเตอร์เนื่องจากต้องตรวจเอกสารซึ่งบางฉบับตัวหนังสือก็เล็กนิดเดียว จึงไม่แปลกเลยที่สายตาของหลายๆ คนจะเริ่มมีปัญหา บ้างสายตาก็สั้นขึ้น บ้างก็ยาวขึ้น
เชื่อว่าคนทำงานต้องหนีไม่พ้นการใช้สายตาจับจ้องจอคอมพิวเตอร์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันกันเลยทีเดียว ต่างกันก็แค่ใครจะใช้คอมพิวเตอร์นานกว่าเท่านั้นเอง บางคนยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เนื่องจากต้องตรวจเอกสารซึ่งบางฉบับตัวหนังสือก็เล็กนิดเดียว จึงไม่แปลกเลยที่สายตาของหลายๆ คนจะเริ่มมีปัญหา บ้างสายตาก็สั้นขึ้น บ้างก็ยาวขึ้น นอกจากนี้ บางคนทำงานแล้วเครียดมากๆ ยิ่งส่งผลให้ประสาทตาทำงานหนักเข้าไปอีก ทำให้เกิดอาการปวดหัว แถมปวดเมื่อยตามตัว อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานที่จะต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสายตาทุก 1-2 ปีจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก แต่กว่าคุณจะมีเวลาไปพบแพทย์ เรามีคำแนะนำเล็กน้อยมาฝาก เพื่อช่วยถนอมสายตาคุณให้ดีไปนานๆ ดังนี้

- รับประทานผัก ผลไม้มากๆ โดยเฉพาะผักพวกที่มีใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม
- หากจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ อ่านหนังสือ หรือใช้สายตาทำงานหนัก ให้หมั่นพักสายตาเป็นระยะๆ
- ควรสวมแว่นตากันแดดที่สามารถกรองแสงจ้าได้ 75-90% และป้องกันรังสี UV-A หรือUV-B ได้ 99-100% จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นต้อกระจก แต่ไม่ควรสวมแว่นตาตอนค่ำๆ หรือในที่ร่ม เพราะจะทำให้ตาต้องทำงานหนักกว่าปกติในการปรับให้รับแสง
- หากใส่คอนแทคเลนส์ แล้วเกิดอาการคัน ระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา หรืออาจเปลี่ยนมาใช้คอนแทคเลนส์ชนิดรายวัน เพื่อลดอาการแพ้ที่จะเกิด
- หากคุณเคืองตาบ่อยๆ จากการมองแสงสะท้อน ก็ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อแนะนำเลนส์แว่นที่สามารถลดแสงสะท้อนเหล่านี้ไม่ให้แยงตามากไป หรืออาจติดตั้งโคมไฟในบ้านให้มากขึ้น หรือหลอดไฟที่มีกำลังวัตต์สูงๆ เพื่อช่วยกำจัดลำแสงสะท้อนที่มาจากไฟดวงอื่น
- ผู้สูงอายุมักมองเห็นจุดเล็กๆ ลอยหรือแสงวาบ จากประสาทตาที่เสื่อมไปตามอายุ แต่ในบางกรณีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น จอตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน อาการเริ่มแรกของความผิดปกติของเรตินา เป็นต้น ดังนั้นไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบปรึกษาแพทย์ทันที
ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะหากเรามองไม่เห็นก็คงทำกิจกรรมต่างๆ ได้ลำบาก ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท เราควรไปตรวจเช็คสายตาเป็นประจำทุกปี เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีไปตลอดชีวิตของคุณ

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สถาปัตย์มหัศจรรย์! โลกตะลึง 10 ตึกประหลาด

สถาปัตย์มหัศจรรย์! โลกตะลึง 10 ตึกประหลาด
"สถาบันสถาปัตยกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา" พยากรณ์ล่าสุดว่า ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำและภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา จะส่งผลให้ลักษณะการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในช่วง 2-3 ปีจากนี้ลดการออกแบบหวือหวาลงไปเพื่อประหยัดต้นทุน โดยหันไปเน้นรูปแบบเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้นิตยสารเทคโนโลยีเครื่องยนต์กลไกเล่มดัง "พ็อพพิว ลาร์เมคานิก" จึงตระเวนสรรหาตึกแปลกประหลาดพิสดาร ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ด้านสถาปัตยกรรมและแรงโน้มจากทั่วโลกมาให้ได้ยลโฉมกันบางส่วนดังนี้
1. 30 St. Mary Axe (30 เซนต์ แมรี่ แอ็กซ์)
ตึกระฟ้าเจ้าของสถิติอาคารสูงอันดับ 2 ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดทำการปี 2547 มีชื่อเล่นว่า "ตึกแตง" เพราะรูปทรงคล้ายแตง กลมมนทั้งตึก โครงสร้างเต็มไปด้วยกระจก เฉพาะภายนอกติดตั้งกระจกกินพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร
2. The Egg (ดิ เอ้ก)
อาคารทรงไข่ผ่าครึ่ง ที่ตั้งศูนย์ศิลปะการแสดงเมืองอัลเบนี่ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีโรงละครอยู่ภายใน 2 โรง ความจุรวม 892 ที่นั่ง ยากที่ใครจะเลียนแบบ เพราะมีโครงสร้างรับน้ำหนักซับซ้อนมาก 3. Flintstone House (ฟลินต์สโตน เฮาส์)
บ้านจัดสรรในเมืองเบอร์ลินเกม รัฐแคลิ ฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างเลียนแบบบ้านในการ์ตูนยอดฮิตในอดีต "มนุษย์หินฟลินต์สโตน" ออกแบบโดย วิลเลียม นิโคลสัน เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน 4. The Crooked House (เดอะคร้กเก็ดเฮาส์)
อาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจเมืองโซพอต ประเทศโปแลนด์ มองดูมีสัดส่วนบิดเบี้ยวสุดๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพบ้านเรือนในหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ตรงหลังคาออกแบบตั้งใจให้เหมือนเกล็ดมังกร 5. Basket Building (บาสเก็ตบิลดิ้ง)
สำนักงานใหญ่บริษัทลองกาเบอร์เกอร์ เมืองนิวอาร์ก สหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการขายตะกร้า ซึ่งก็คือที่มาของอารมณ์นึกสนุกสร้างตึกเป็นทรงตะกร้านั่นเอง 6. Guggenheim Museum (กุกเกนไฮม์ มิวเซียม)
พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ เมืองบิลเบา ประเทศสเปน รังสรรค์โดย แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกชื่อดังระดับโลกชาวแคนาดา ออกแบบให้ดูสับสนวุ่นวาย มองแล้วเดาไม่ออกว่าเส้นสายโครงสร้างจะไปจบตรงไหน 7. Dancing House (แดนซิ่งเฮาส์)
"บ้านเต้นระบำ" กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ผลงาน แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกแคนาดา และวลาโด มิลยูนิช เพื่อนสถาป นิก มีชื่อเล่น "จิงเจอร์แอนด์เฟร็ด" ตามที่มีการออกแบบได้แนวคิดจากท่าเต้นพลิ้วไหวคู่กันของ จิงเจอร์ โรเจอร์ส และเฟร็ด แอสแตร์ สองนักเต้นชื่อดัง 8. Lotus Temple (โลตัสเทมเปิ้ล)
"วัดดอกบัว" หรือ "โลตัสเทมเปิ้ล" ในกรุง นิวเดลี อินเดีย หนึ่งในศาสนสถานที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในอินเดีย 9. Cube House (คิวบ์เฮาส์)
บ้านทรงลูกบาศก์เชื่อมต่อกัน 38 หลังในนครร็อตเทอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ เกิดจากแนวคิดเวลามองหมู่แมกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ร่วมกัน 10. Library of Alexandria (ไลบรารี่ ออฟ อเล็กซานเดรีย)
ห้องสมุดเมืองอเล็กซานเดรีย อียิปต์ มีความสูง 11 ชั้น ลักษณะอาคารสื่อถึงภาพดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ เปรียบได้กับการเข้ามาแสวงหาเพิ่มพูนปัญญา ณ สถานที่แห่งนี้

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อย่ามองโลกกว้างเกิน...อย่ามองโลกแคบเกิน

การกระทำที่ผ่านมา มาตรวจสอบดูว่าอะไรมันผิด อะไรมันถูกจะได้แก้ไขลงไป การดำเนินชีวิตของเราไม่ใช่ว่าจะมีวันนี้วันเดียวเราจะต้องอยู่ในโลกนี้อีกช้านาน การที่เราจะอยู่ในโลกนี้อย่างช้านาน ถ้าเราไม่ได้มีการพินิจพิจารณา การใคร่ครวญทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆ สมกับเป็นผู้รู้ สมกับเป็นบัณฑิต ถ้าเราทำอะไรลงไป ตัดสินอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด ความเสียหายตกอยู่กับบ้านเมืองตกอยู่กับวงศาคณาญาติ ฉะนั้น...เรามาเพื่อพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลว่า การคิดอย่างไรถึงจะคิดถูก คิดแบบไหนที่คิดผิด ด้วยวิธีการต่างๆ หลักการคิด ถ้าเราคิดแบบนักปราชญ์บัณฑิต แบบผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเป็นแบบไหน แบบฉบับของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ถึงเรียกว่า...'สัมมาทิฏฐิ' การคิดชอบ การดำริชอบ ฉะนั้น...การที่เรามีโอกาสเข้ามาศึกษาธรรมวินัย ก็ใคร่ครวญดูจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก ถ้าหากเราไม่ใคร่ครวญดู อะไรที่เกิดขึ้นมาก็ผ่านไปเปล่าๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้น...การปฏิบัติ การที่เข้ามาศึกษาธรรมวินัย ไม่ได้เข้ามาศึกษาธรรมวินัยหรอก แต่เข้ามาศึกษาตนเอง เข้ามาศึกษาดูกาย ดูใจ ทำไมเราต้องมาศึกษาดูมัน เะราะทางธรรมชาติของคนจะชอบปล่อยมันไหลไปในทางต่ำ เมื่อมันไหลไปในทางต่ำ มันก็จะไหลไป ฉะนั้นต้องพยายามมองโลกกว้าง อย่ามองว่าโลกกว้างเกินไป
อย่ามองว่าโลกแคบเกินไป พยายามมองตามหลักของ'มัชฌิมา' มองโลกในท่ามกลาง ถ้าเรามองโลกท่ามกลางแล้วมันอยู่ที่ไหน อยู่ที่เรารู้เราก็บี้เข้าไป บี้เข้าไป เรารู้อยู่ในกายหรือนอกกาย ถ้าเรารู้อยู่ในกายเราก็บี้เข้าไปในกายเรา ดูกายเราว่ามีส่วนประกอบต่างๆ อย่างกรรมฐาน และพยายามสังเกตุเรื่องต่างๆ ของทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลก จะเกิดขึ้นตามลำพัง หรือเกิดจากการปรุงแต่งของคนก็ตาม มันเกิดขึ้นมาจากตรงไหนก็ตาม อย่าสนใจจนเกินไปและอย่าปล่อยไปจนเกินไป ให้ดูตามหลักของ...มัชฌิมา ฉะนั้น หลักการภาวนา...คำสอนของพระพุทธเจ้าทันสมัยมาตลอด หลักการภาวนาก็ได้พูดมาหลายวิธีการ บัดนี้ก็มาสำรวจดูกายของเรา ใจของเรา มันมีปกติแล้วหรือยัง เอาอะไรมาเป็นเครื่องสำรวจเอาศีล-สมาธิ-ปัญญา...มาเป็นเครื่องสำรวจมัน ถ้าหากได้สำรวจแล้วจะเห็นความบกพร่องของเรา....ฉะนั้น...การใคร่ครวญ การมีสติ การทำความเข้าใจกับตัวเรา...การมาวัด ไม่ได้มาทำอย่างอื่น การมาวัดมาเพื่อทำความเข้าใจกับตัวเราว่า...เราจะดำเนินชีวิตแบบไหน มันถึงจะเป็นไปแบบมีความสุข สงบ...ท่านถึงว่า...อกาลิโก คือ การไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสมัย...เรามาศึกษาเมื่อไหร่ก็รู้....
~~พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ~~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

6 โรคใหม่ที่มากับมือถือ

ในยุคนี้ จะเรียกว่าโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของชาวไทยก็ไม่น่าจะผิดแปลกนัก แต่รู้หรือไม่ว่า ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าโทรศัพท์มือถือที่ว่าก็สร้าง "โรค" ให้กับคุณได้เหมือนกัน
โดย Modern Mom เล่มใหม่นำมาเล่าให้ฟังว่า สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กและเยาวชน แล้วพบว่า พวกเขาเหล่านี้ได้ "โรคใหม่" มาหลายอย่างด้วยกัน
1. คือ "โรคเห่อตามแฟชั่น" เพราะต้องเปลี่ยนโทรศัพท์ให้ทันกับรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา ส่งผลให้เกิดโรคที่

2. คือ "โรคทรัพย์จาง"

3. คือ "โรคขาดความอดทนและใจร้อน" เพราะการโทร.ปุ๊บติดปั๊บ ทำให้กลายเป็นคนเร่งรีบและไม่รู้จักรอคอย

4. คือ "โรคขาดกาละเทศะและไร้มารยาท" เพราะโทร.หาคนที่อยากคุยด้วยโดยไม่ดูเวลาควรไม่ควร

5. ได้แก่ "โรคขาดมนุษยสัมพันธ์" เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จนไม่ใส่ใจคนรอบข้าง

6. "โรคไม่จริงใจ" เพราะการพูดคุยทางโทรศัพท์ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าตา ท่าทาง และสายตา

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันแม่แห่งชาติ


วันแม่แห่งชาติ
ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี

วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย
แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำอย่างไรจึงจะมีอายุที่ยืนยาว และสุขภาพแข็งแรง

อาหารธรรมชาติ ทุกวันนี้บรรดานักวิขาการและปัญญาชนที่หันมารับประทาน " อาหารธรรมชาติ " เลิกบริโภคเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง ได้ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเชื่อถือลัทธิใดๆ แต่เป็นเพราะเหตุผลทางธรรมชาติวิทยาที่ท่านเหล่านั้นค้นพบ แล้วจึงปฏิบัติตามความรู้นั้นด้วยความมั่นใจ เนื้อหาในบทความนี้กล่าวถึงอาหารที่ธรรมชาติได้เอื้ออำนวยแก่มวลมนุษย์ ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะสม ถูกต้องตามที่ธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ต้องการ โดยทำการรวบรวมจากผลการวิจัย และข้อมูลต่างๆทางวิชาการโดยคุณศิริชัย ค้าดี ขอผลบุญกุศลที่เกิดจากวิทยาทานจงมีแด่คุณศิริชัยและครอบครัวตลอดจนทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทความนี้ เนื่องจากการนำเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตอาจส่งผลให้มีผู้อ่านเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้ทุกท่านที่เข้ามาศึกษาได้โปรดน้อมใจขอบคุณผู้ที่ทำการค้นคว้า ศึกษา เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมด้วย ทุกท่านด้วยเทอญ 1. ทำอย่างไรจึงจะมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง หากจะถามว่าใครบ้างอยากอายุสั้น ? ก็คงไม่มีใคร… ทุกคนล้วนอยากมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้เพราะเป็นยอดปรารถนาอย่างหนึ่งของมนุษย์ ดังจะได้ยินคำอวยพรที่คุ้นหูกันอยู่บ่อยๆว่า "ขอให้อายุมั่นขวัญยืน อย่าได้เจ็บไข้ ขอให้อยู่จนแก่จนเฒ่า" นั่นก็แสดงว่า ทุกคนล้วนไม่อยากเจ็บก่อนตาย ไม่อยากตายก่อนแก่ คนเราแม้จะมีเงินทองมากมายล้นฟ้าเหลือคณานับ แต่ถ้าอายุสั้นเสียแล้วจะมีความหมายอะไรเล่า ถ้าหากอายุยืนยาวแต่กลับเต็มไปด้วยโรคภัยมาเบียดเบียน เช่นนี้แล้วชีวิตก็คงหาความสุขไม่ได้ โรคภัยไข้เจ็บล้างผลาญเงินทองและทำลายความสุขในชีวิตไปจนหมดสิ้น บางคนล้มป่วยคราวเดียวเงินทองที่สะสมมาตลอดชีวิตก็ยังไม่พอที่จะรักษาเยียวยา เพราะฉะนั้นการมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงจึงเป็นมงคลแก่ชีวิตประการหนึ่งที่ทุกคนมุ่งมั่นปรารถนา อายุเท่าไหร่ล่ะ…จึงจะเรียกว่าเป็นคนที่อายุยืน ? จากการสำรวจอายุเฉลี่ยของคนในแต่ละส่วนของโลกเป็นอย่างนี้ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศรัสเซีย ผู้คนมีอายุยืนถึง 120 ปี ไม่เพียงแต่พวกเขาจะอายุยืนเท่านั้น ทุกคนยังมีพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีอีกด้วย จากรายงานสำรวจพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ซึ่งมี อากาศดี แสงแดดดี มีน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารจำพวก เมล็ดธัญญพืช ผักและผลไม้เป็นหลัก ทุกคนได้ออกกำลังกายด้วยการทำงาน อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาได้มาจากธรรมชาติรอบข้าง เช่น ผักสด ผลไม้ น้ำผึ่งป่า และอื่นๆ การเพาะปลูกผักที่นำมาเป็นอาหารไม่เคยใช้ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงใดๆเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยให้สามารถเลี้ยงเป็นอาหาร ทำให้เนื้อสัตว์เป็นของหายากที่ไม่นิยมบริโภคกันเลยตั่งแต่บรรพบุรุษมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายในหมู่บ้านนี้จะรู้สึกโศกเศร้าเสียใจมาก หากว่ามีผู้เสียชีวิตลงในขณะที่มีอายุ 80 - 90 ปี พวกเขาจะพากันกล่าวว่า " โถ…ช่างอายุสั้นจริงๆ " ที่เมืองฮันซ่าซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน ชาวเมืองนี้รับประทานแต่อาหารมังสวิรัติ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลยสืบต่อกันมาเป็นพันๆปีแล้ว แต่ทว่าความเป็นอยู่ในการเพาะปลูกเริ่มมีผลกระทบจากมลภาวะของสิ่งแวดล้อมตามแบบชุมชนเมือง มีการใช้วิทยาการต่างๆเช่น ใส่ปุ๋ยเคมี และพ่นยาฆ่าแมลงในการเกษตร ดังนั้นจึงพบว่าอายุเฉลี่ยของคนเมืองนี้ลดลงเหลือประมาณ 90 - 100 ปีเท่านั้น แต่ครั้นคณะสำรวจได้เดินทางไปยังแถบขั้วโลกเหนืออันเป็นที่อยู่ของชาวเอสกีโม ทุกคนก็ต้องพากันประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้คนที่นั่นมีอายุไม่เกิน 40 ปี ! ร่างกายของพวกเขาทรุดโทรมต้องป่วยเป็นโรคต่างๆมากมาย มีรูปร่างแคระแกรนสุขภาพไม่แข็งแรง อายุเฉลี่ยของคนในหมู่บ้านนี้เพียง 27 ปีครึ่งเท่านั้น คณะสำรวจพบว่าลักษณะภูมิประเทศที่เป็นน้ำแข็งทั้งหมด และอากาศซึ่งหนาวจัดเป็นเหตุให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชผักชนิดใดได้เลย ชาวบ้านทั้งหมดต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์ ดังนั้นอาหารหลักที่ต้องบริโภคไปตลอดชีวิต ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ทุกประเภท ล้วนได้มาจากสัตว์ร่างกายและผิวหนังของพวกเขาไม่มีโอกาสได้รับแสงแดดเลย เราลองหันมาดูข้อมูลสถิติอายุของคนในทวีปเอเซียดูบ้าง พบว่าอายุเฉลี่ยของคนเอเซียอยู่ในระหว่าง 50 - 60 ปี และส่วนใหญ่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไขข้อ โรคตับ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และอื่นๆ จากการสำรวจพบว่า ในทวีปเอเซียแม้ภูมิประเทศจะอุดมสมบูรณ์ดี มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แต่ทว่าในการเพาะปลูก เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มากจนน่ากลัว น้ำและอากาศในแหล่งชุมชนเมืองมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น อาหารหลักของประชากรส่วนใหญ่เป็นอาหารพืชผักและเนื้อสัตว์ในอัตราส่วนที่เท่าๆกัน พบว่าอายุเฉลี่ยของคนในเมืองสั้นกว่าผู้คนที่อยู่ในชนบท อาหารของคนในชนบทโดยมากเป็นพืชผักผลไม้และมีโอกาสบริโภคเนื้อสัตว์กันน้อย แต่แม้ว่าชาวชนบทจะสามารถปลูกพืชผักต่างๆได้เองแต่พวกเขาก็ไม่ได้บริโภคให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ดังนั้นชาวชนบทจำนวนไม่น้อยจึงยังคงเป็นโรคขาดสารอาหาร และเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆเมื่ออายุย่างเข้าวัยกลางคน จากตัวอย่างดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายพากันฉงนสงสัยว่า ทำไมยิ่งนานวันวิทยาการเจริญก้าวหน้าขึ้น แต่อายุของคนกลับถดถอยสั้นลงเรื่อยๆ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุของคนในแต่ละถิ่นไม่เท่ากัน มีสุขภาพดีเลวต่างกัน ทำอย่างไรจึงจะมีอายุที่ยืนยาวและสุขภาพที่แข็งแรง

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุ๊ปเลือด มีประโยชน์มาก

เลือด : สายธารแห่งชีวิต
ในร่างกายของเรามีเลือดอยู่ประมาณ 3.8 - 4.9 ลิตร หรือคิดเป็น 7 % ของน้ำหนักตัว พลาสมาเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณถึง 55 % ของเลือด มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองที่ประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ ฮอร์โมน แอนติบอดี และของเสีย ทำหน้าที่ช่วยให้เม็ดเลือดไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ส่วนเม็ดเลือด ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่ เกร็ดเลือด เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มปิดที่ปากบาดแผล (ไม่อย่างนั้น เลือดอาจจะไหลออกจนหมดตัวได้) เม็ดเลือดขาว ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และศัตรูต่าง ๆ ของร่างกาย ถือเป็นตัวภูมิคุ้มกันที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ เม็ดเลือดแดง ที่เราเห็นเป็นสีแดงของเลือดนั้นแท้จริงคือฮีโมโกบิน(Hemoglobin) เม็ดสีที่ประกอบด้วยธาตุเหล็กซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่จับโมเลกุลของออกซิเจน(ฮีโมโกบิน 1 โมเลกุลสามารถจับออกซิเจนได้ถึง 4 โมเลกุล) ช่วยลำเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ และถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ว่ากันว่าในร่างกายเรามีเม็ดเลือดแดงอยู่ประมาณ 25 ล้านล้านเม็ดเลยทีเดียว ในเม็ดเลือดแดงนี้เองมีโปรตีนสำคัญชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอนติเจน ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้าง แอนติบอดี สารสองตัวนี้มีความสำคัญในการถ่ายเทเลือดจากอีกคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เพราะหากแอนติเจนกับแอนติบอดีเข้ากันไม่ได้แล้ว ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดอาจเสียชีวิตได้
เรื่องน่ารู้ของกรุ๊ปเลือด
เลือดของคนเราแบ่งออกเป็น 4 กรุ๊ปตามระบบ เอบีโอ( ABO system) ได้แก่ กรุ๊ป A กรุ๊ป B กรุ๊ป AB และกรุ๊ป O การถ่ายเลือดนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อแอนติเจนและแอนติบอดีของเลือดตรงกันหรือเข้ากันได้ หลักเกณฑ์ในการถ่ายเลือดมีอยู่ว่า
* คนที่มีเลือดกรุ๊ป A ซึ่งมีแอนติเจน A และมีแอนติบอดี B สามารถรับเลือดกรุ๊ป A และ O ได้
* คนที่มีเลือดกรุ๊ป B มีแอนติเจน B และแอนติบอดี A สามารถรับเลือดกรุ๊ป B และ O ได้
* คนที่มีเลือดกรุ๊ป AB มีทั้งแอนติเจน A และ B แต่จะไม่มีแอนติบอดี สามารถรับได้ทุกกรุ๊ป แต่ให้ใครไม่ได้เลย
* ส่วนคนที่มีเลือดกรุ๊ป O ไม่มีแอนติเจน แต่มีแอนติบอดีทั้ง A และ B สามารถให้เลือดได้กับทุกกรุ๊ป แต่รับได้เฉพาะเลือดกรุ๊ปเดียวกันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เลือดกรุ๊ป O จึงได้ชื่อว่าเป็นนักบุญนั่นเอง
กรุ๊ปเลือดเหล่านี้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม ลูกจะมีเลือดอยู่ในกลุ่มที่ตรงกับพ่อหรือแม่อย่างน้อยคนใดคนหนึ่ง การตรวจเลือดจึงมักเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งในการพิสูจน์หาพ่อแม่ที่แท้จริง
นอกจากนี้หลายคนอาจสงสัยว่าเวลาไปตรวจเลือด คุณหมอมักเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัวต่อจากผลกรุ๊ปเลือดด้วย เช่น กรุ๊ป B Rh+ หรือกรุ๊ป O Rh- เป็นต้น จริง ๆ แล้วเป็นการบอกชนิดของแอนติเจนที่พบในเลือดอีกชนิดหนึ่งนอกจากแอนติเจน A และ B เรียกว่า อาร์เอชแฟกเตอร์(Rh factor)

แอนติเจนชนิดนี้มีอยู่ในพลเมืองโลกประมาณ 85 % ส่วนที่เหลือไม่มี ดังนั้นใครที่ตรวจพบว่ามีอาร์เอชแฟกเตอร์อยู่ คุณหมอก็จะเขียนต่อท้ายกรุ๊ปเลือดว่า Rh+ แต่สำหรับคนที่ไม่มีแอนติเจนชนิดนี้ ก็จะถูกระบุว่า Rh- ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรต้องรู้ไว้อย่างยิ่ง หากผู้หญิงที่มีกรุ๊ปเลือด Rh- แต่งงานกับผู้ชายกรุ๊ปเลือด Rh+ จะทำให้ทารกในครรภ์ได้รับอันตราย เพราะแอนติบอดีในเลือดของแม่อาจถ่ายผ่านไปยังเลือดของทารกที่มีอาร์เอชแฟกเตอร์ แล้วทำปฏิกิริยาต่อกันอาจถึงกับแท้งได้ ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทารกปลอดภัย ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจมีลูก สามี - ภรรยาควรจูงมือกันไปตรวจเลือดเพื่อลดความเสี่ยงนี้
นอกจากนี้คนที่มีกรุ๊ปเลือด Rh- ไม่สามารถรับเลือดที่มี Rh+ ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายถึงชีวิต และเนื่องจากกรุ๊ปเลือด Rh- หาได้ยากมาก เมื่อมีอุบัติเหตุฉุกเฉินกับคนเหล่านี้ขึ้น จึงต้องขอความช่วยเหลือจากธนาคารเลือด หรือขอบริจาคจากคนที่กรุ๊ปเลือดตรงกัน ที่เราได้ยินบ่อย ๆ ทางสถานีวิทยุ จส.100 นั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากของ Dr. Peter J. D'Adamo นายแพทย์ด้านธรรมชาติบำบัดชาวสหรัฐอเมริกา ยังค้นพบอีกว่า การกินอาหารและใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปเลือดนั้น ๆ สามารถช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้
Dr. Peter J. D'Adamo เขียนหนังสือออกมาหลายเล่มเพื่อเผยแพร่แนวความคิดเกี่ยวกับการกินอาหารให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด เล่มหนึ่งที่โดดเด่นของเขามีชื่อว่า "Eat Right For Your Type" ได้อธิบายว่า เม็ดเลือดทั้ง 4 กรุ๊ปของคนเรามีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อาหารของคนแต่ละกรุ๊ปเลือดจึงแตกต่างกันด้วย ดังนี้

กรุ๊ป O
เจ้าของแนวคิดได้อธิบายที่มาของคนกรุ๊ปเลือด O ว่า เป็นกรุ๊ปเลือดที่เก่าแก่ที่สุดโดยมาจากมนุษย์กลุ่มแรกของโลก ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร จัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างแข็งแรง อาหารเด่น ๆ ของคนกลุ่มนี้คือ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของคนกรุ๊ป O มีความเป็นกรดสูง จึงสามารถย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ง่าย สามารถกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้โดยไม่มีปัญหาเมื่อเทียบกับกรุ๊ปอื่น ๆ ดังนั้นอาหารที่ควรเลี่ยงคือ อาหารที่จะเข้าไปเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารให้มากขึ้นโดยไม่จำเป็น เช่น เครื่องดื่มประเภทเบียร์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือผลไม้ที่มีความเป็นกรดสูง จากหนังสือของ Dr. Peter J. D'Adamo กล่าวว่า คนกรุ๊ปเลือดนี้มีลักษณะของความเป็นผู้นำสูง มุ่งมั่น จริงจัง เข้มแข็ง อดทนอดกลั้น และชอบวางแผน เป็นกรุ๊ปเลือดที่เหมาะกับการออกกำลังกายหนัก ๆ ได้เกือบทุกประเภท เพราะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างแข็งแรง เลือดไหลเวียนดี อัตราการเต้นของหัวใจสูง จึงควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง
กรุ๊ป A
เป็นกลุ่มที่พัฒนามาจากคนกรุ๊ปเลือด O คือเมื่อหมดยุคล่าสัตว์ก็เริ่มต้นตั้งถิ่นฐาน และรู้จักการเพาะปลูกพืช กินผักผลไม้เป็นอาหารหลักแทนเนื้อสัตว์ ลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้จะตรงกันข้ามกับคนกรุ๊ปเลือด O คือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ หากกินอาหารประเภทเนื้อโดยเฉพาะเนื้อแดงเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ย่อยยาก จึงไม่เหมาะกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ไส้กรอก แฮม กุนเชียง ฯลฯ เท่าใดนัก นม เนย ไข่ก็จัดเป็นอาหารที่กินได้เป็นครั้งคราว เพราะมีโปรตีนที่ย่อยยากเช่นกัน ซึ่งอาจเลี่ยงมาเป็นน้ำนมถั่วเหลืองแทน อาหารที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้ที่สุดคือผักและผลไม้ ซึ่งควรจะกินให้มากกว่าอาหารประเภทอื่น เมล็ดธัญพืชเป็นแหล่งโปรตีนที่สามารถชดเชยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีโดยเฉพาะถั่วเหลือง ถั่วลิสง เครื่องดื่มประเภทกาแฟมีสรรพคุณเพิ่มกรดในกระเพาะ ส่วนชาเขียวช่วยในการย่อยอาหารได้ คนกลุ่มนี้มักเป็นมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ชอบความสมบูรณ์แบบ บางครั้งชอบเรียกร้อง และครุ่นคิดกับเรื่องตัวเอง แต่ก็มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สูง และให้ความร่วมมือกับผู้อื่นดี เป็นกลุ่มที่เหมาะกับกินอาหารแบบมังสวิรัติที่สุด แต่มักเจ็บป่วยง่าย ดังนั้นจึงควรป้องกันเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และดูแลระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาก ซึ่งการออกกำลังกายจะช่วยได้ แต่คนกรุ๊ปเลือดนี้ไม่เหมาะกับการออกกำลังกายแบบหนัก ๆ เพราะธรรมชาติมักเป็นคนเหนื่อยง่าย จึงควรเลือกเล่นกีฬาเบา ๆ เช่น โยคะ รำมวยจีน กอล์ฟ เต้นรำ ยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น
กรุ๊ป B
หลังจากที่มนุษย์ได้ตั้งถิ่นฐานและเพาะปลูกแล้ว ก็เริ่มเลี้ยงสัตว์เอง กินเนื้อและนมของสัตว์ที่เลี้ยงไว้ ร่างกายได้มีวิวัฒนาการมากขึ้น จนเกิดเป็นกลุ่มเลือดกรุ๊ป B คนกลุ่มนี้จึงค่อนข้างจะกินอาหารได้หลากหลาย ทั้งผัก ผลไม้ นม เนย ไข่(ได้ไม่มากนัก) และเนื้อสัตว์ ซึ่งจะมีก็แต่เนื้อไก่เท่านั้นที่เลกตินไม่เข้ากับกรุ๊ปเลือดกรุ๊ปเลือดนี้มักมีปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้นกันบกพร่องและไวรัส อาหารที่ควรได้รับเป็นพิเศษ ได้แก่ ผักใบเขียว ข้าวซ้อมมือ เนื่องจากมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันโรคผื่นคัน อาหารที่มีแคลเซียมสูง เครื่องดื่มสมุนไพรอย่างชาเขียวจัดว่าส่งผลดีต่อเลือดกรุ๊ปนี้อย่างมาก การออกกำลังกายจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น หากเน้นเรื่องทำสมาธิและผ่อนคลายจิตใจควบคู่ไปด้วยจะดีมากคนกรุ๊ปเลือด B มักมีนิสัยรักอิสระไม่ขึ้นอยู่กับใคร มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นนักวางแผน เชื่อมั่นและเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ยืดหยุ่น ประนีประนอม ไม่แข็งกร้าว ซึ่งก็จะเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ดี
กรุ๊ป AB
เป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดหลังสุด ค้นพบเมื่อประมาณ 1,000 - 1,500 ปีมานี้เอง มีลักษณะคล้ายกรุ๊ป A และกรุ๊ป B รวมกัน ดังนั้นอาหารที่ดีต่อคนกรุ๊ปเลือด A และ B ก็จะดีต่อกรุ๊ป AB ด้วย แต่ก็มีอาหารหลายอย่างที่ควรเลี่ยง เช่น เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก อาหารประเภทไส้กรอก แฮม กุนเชียง เพราะกระเพาะอาหารของคนกรุ๊ปเลือดนี้ไม่สามารถผลิตน้ำย่อยโปรตีนได้ดีเท่ากรุ๊ป O โปรตีนที่เหมาะสมควรมาจากเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา นมและผลิตภัณฑ์จากนม อาหารทะเล สาหร่าย เต้าหู้ ไข่ แต่ต้องไม่กินในปริมาณมากนัก ถั่วที่มีคุณต่อกรุ๊ปเลือดนี้คือ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง สามารถกินทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ กรุ๊ปนี้มีระบบภูมิคุ้มกันค่อนข้างอ่อนแอ จึงควรกินผักและผลไม้สดมาก ๆ ชาเขียว ไวน์แดง เป็นเครื่องดื่มที่ให้ผลดีต่อคนกลุ่มนี้ คนกรุ๊ปเลือด AB มักเป็นกลุ่มที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย แต่ก็น่าไว้วางใจ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้ดี เป็นกรุ๊ปที่ไม่เหมาะกับการออกกำลังกายแบบใช้แรงมากเช่นเดียวกับกรุ๊ปเลือด A แต่ก็ควรสลับกับการออกกำลังกายที่ใช้แรงบ้าง เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายนอกจากนี้ การทดลองของ Dr. Peter J. D'Adamo ยังพบว่า เลกตินของเนื้อหมู มะพร้าว แป้งขัดขาว ไม่เข้ากับกรุ๊ปเลือดใด ๆ เลย
แต่ที่สำคัญ หากจะรับไปปฏิบัติคงต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียดเสียก่อน เพื่อให้ทางที่เลือกนี้เป็นทางที่ถูกและปลอดภัยสำหรับตัวคุณเอง